"ไม่รู้ว่าท่านลุงครั้งนี้จะเจออุปสรรคมากไหม"ฟู่จาวหนิงส่งเสิ่นเสวียน กลับไปบนรถม้าพร้อมเซียวหลันยวน แต่ก็ยังกังวลอยู่บ้าง"เขารับมือได้ ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก""หลักๆ คือสุขภาพเขายังไม่ได้ดีขึ้นอย่างสมบูรณ์""เจ้าไม่ใช่ว่าให้ยาไปตั้งมากมายแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทิ้งองครักษ์อีกหกคนให้ติดตามมา ถึงตอนนั้นเจ้าสกัดยาแล้วให้พวกเขาส่งไปก็ยังได้"เสิ่นเสวียนเองก็ทิ้งองครักษ์วิชายุทธ์ยอดเยี่ยมไว้ให้ฟู่จาวหนิงถึงหกคน พอบวกกับคนคุ้มครองเรือนที่ตนเองพามาอีกสองคน และยังมีเฉินซานอีก นางก็มีคนแล้วถึงเก้าคนเสิ่นเสวียนคิดอะไรอยู่เขาเองก็เข้าใจแค่ให้ข้างกายฟู่จาวหนิงมีคนอยู่ ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาเขา เช่นนี้นางก็จะยิ่งมีการรับประกัน และรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้นหรือก็คือ เขายังไม่ถูกเชื่อมั่นอย่างสนิทใจนั่นเองแต่ว่าเซียวหลันยวนเองก็ไม่สนใจที่เขาโดนวางยาพิษตอนเด็กในครั้งนั้น ก็มีการยืนยันจากปากผู้บัญชาการกองธงมู่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับลัทธิเทพทำลายล้างช่วงนี้พวกเขาเองก็ตรวจสอบฮูหยินอาวุโสโหวจวิ้นอันกับคนข้างกายนางแล้ว ที่บังเอิญก็คือ สาวใช้ที่ติดตามฮูหยินอาวุโสเข้าวังในตอนนั้น หรือก็คื
ดังนั้นเขาจึงคิดจะให้คนเหล่านี้ตามไปจนถึงที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน"หุบเขาซานชิง?"ฟู่จาวหนิงขมวดคิ้ว "นั่นไม่ใช่ว่าอันตรายมากหรอกหรือ? ท่านคิดจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อพวกเขา?"เขาอยากจะบีบคนที่คิดจะลงมือพวกนั้นให้ลงมือหรือ? จัดการทิ้งไปด้านหนึ่งก่อนแบบนี้?แต่จะยืนยันได้อย่างไรว่ามีแค่ฝ่ายเดียวที่ลงมือ? ถ้าเผื่อพวกกลุ่มสำนักอื่นพวกนั้นลงมือขึ้นมาพร้อมกันด้วยล่ะ? พวกเขาเองก็อันตรายมากด้วยเช่นกัน"ข้าไม่สามารถลงมือจัดการพวกเขาทิ้งได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นยังเปลืองแรงมากด้วย" เซียวหลันยวนอธิบายกับนาง "ดังนั้นจึงจะให้โอกาาสลงมือที่เหมาะสมกับพวกเขาสักครั้ง จากนั้นค่อยควานหาตัวปลาในน้ำขุ่น ให้พวกเขามาอยู่ด้วยกันแล้วตีกันเอง"ฟู่จาวหนิงตาเป็นประกาย ตอนนี้เข้าใจความหมายของเขาแล้ว"ท่านจะให้พวกเขามากัดกันเองหรือ?""กัดกันเอง?" เซียวหลันยวนยิ้มขึ้นมา "คำพูดนี้ใช้ได้เหมาะสมจริงๆ ใช่ ให้กัดกันเอง แล้วถ้าดวงดีหน่อย ไม่แน่อาจจะจัดการพวกเขาทิ้งได้ในคราวเดียวเลย"ฟู่จาวหนิงสนใจขึ้นมา "จะจัดการพวกเขาในครั้งเดียวก็ไม่ใช่จะทำไม่ได้ ใช้ยาเป็นอย่างไร!""อื๋อ? เจ้ามีพอใช้กับคนมากขนาดนี้เลยหรือ?"ทำไมจะไม
เซียวหลันยวนรู้มาตลอดว่าพิษที่ตนเองติดมานี้มีภัยถึงชีวิตเพียงแต่หลายปีมานี้เขาก็คอยให้คนออกไปค้นหาวัตถุดิบยา หาหมอไปทั่วมาโดยตลอด ท้ายสุดพอมาเจอกับฟู่จาวหนิง และได้รับเลือดกวางกับไหมใจโลหิตมา นางก็จัดการสะกดพิษตัวนี้เอาไว้ให้กับเขาถ้าไม่มีนาง เขาตอนนี้คงจะทนไม่ไหวไปแล้ว คงได้นอนแผ่อยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้อย่างแน่นอนแต่ว่าพิษนี้ก็ยังไม่มีทางแก้ ตอนนี้ทำได้เพียงยืดเวลาออกไปเท่านั้นเขาไม่คิดว่าตนเองจะไม่เป็นไรจริงๆ ถึงอย่างไรแผลเป็นพิษใบหน้าแผลนั้นก็ยังอยู่มาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ก็เหมือนจะหนักข้อขึ้นด้วยแผนเป็นพิษนั้นลามกว้างแล้ว ตอนนี้มาถึงกลางใบหน้าเรียบร้อยยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เขาสวมหน้ากากไว้ตลอดยังพอได้ แต่ตอนนี้ช่วงเวลาสวมหน้ากากก็สั้นลงเรื่อยๆ พอสวมไว้นานหน่อยแผลเป็นพิษก็จะคันขึ้นมา คันเอามากๆยังดีที่ช่วงนี้พวกเขาออกมาจากเมืองหลวง กำลังเร่งระยะทาง ตอนอยู่บนรถม้าเขาก็เจอแค่ฟู่จาวหนิงเท่านั้นจึงสามารถปลดหน้ากากลงได้แต่พอเข้าเมือง ผ่านพวกหมู่บ้าน เขาก็ยังต้องสวมมันขึ้นมาถ้าผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง แผลเป็นพิษนี้คงจะขยายไวขึ้นไปอีก สีกับลวด
"ถ้าหากจะปกป้องชีวิตข้าเช่นนี้จริงๆ ก็ใช้ใบหน้าเถอะ"เซียวหลันยวนแม้ว่าในใจจะเจ็บปวด แต่เขาไม่ใช่คนอ่อนแอแบบนั้น ตัดสินใจออกมาทันที"ยอมให้ใบหน้านี้ยับเยินไป ก็ยังดีกว่าทำให้ข้าเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต" เซียวหลันยวนอธิบาย "ขอแค่ข้ายังขยับตัวได้อย่างอิสระ เผื่อถ้าเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร ข้าก็ยังช่วยเหลือได้ทันท่วงที"ถึงอย่างไร เขาก็ยังสวมหน้ากากไปหานางได้ฟู่จาวหนิงฟังคำพูดเขาแล้วรู้สึกแปลกๆด้วยระยะห่างระหว่างพวกเขา เขาต้องมาหาอย่างทันท่วงที?ความหมายของคำพูดเขา ก็คือหลังจากนี้พวกเขาจะไม่อยู่ด้วยกันแล้วหรือ?"เซียวหลันยวน ท่านหมายความว่าอย่างไร?""ข้าก่อนหน้านี้อันที่จริงก็เจอกับหมอเทวดาหลายคนในงานประชุมหมอใหญ่" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น "พวกเขาเคยหารือกันแล้ว ถ้าหากติดไปแล้วพักหนึ่งก็จะแก้ไม่ได้ สามารถใช้ยาผสานเข้ากับกำลังภายใน บีบให้มาอยู่ที่ขาทั้งสอง เช่นนี้ขาทั้งสองจะใช้การไม่ได้ เดินเหินก็ไม่ได้ แต่รักษาชีวิตไว้ได้"ฟู่จาวหนิงขมวดคิ้ว"ดังนั้น ถ้าหากมีวันหนึ่งเจ้าต้องการจะรักษาชีวิตข้าไว้เช่นนี้ ก็อย่าเลือกข้อนี้เลย""เขาไม่อยากกลายเป็นขยะที่ต้องนั่งอยู่แต่ในรถเข็นยืนไม่ขึ้น
จากคำพูดของเซียวหลันยวน คือเขาจะอยู่เงียบๆ เพื่อวางแผนเรื่องหุบเขาซานชิงแล้วก็ ตอนกลางคืนหน้าของเขาจะคันจนทำให้เขานอนไม่หลับ ถ้าตนเองนอนอยู่ด้วย จะส่งผลกระทบกับฟู่จาวหนิงได้ตอนที่ควรพูด ตอนที่ควรล้อเล่น เขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปแต่ว่า เขาไม่ได้ทำท่าทางใกล้ชิดอะไรกับนางอีกเลย"ข้าตอนนี้สวมหน้ากากแล้วแผลเป็นพิษจะคัน แต่ตอนที่ไม่สวม พอเข้าใกล้เจ้า เห็นใบหน้าขาวนวลไร้ริ้วรอยของเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าความน่าเกลียดของข้าส่งไปถึงเจ้าแล้ว"เซียวหลันยวนบอกเช่นนี้กับนาง"ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป ข้ากลัวว่าแผลเป็นพิษของข้าไปสัมผัสกับใบหน้าเจ้า ถึงเจ้าไม่บอกข้า แต่ข้าก็รู้ ว่าแผลเป็นพิษมันจะถลอก บางครั้งยังมีหนองไหลออกมาอีกด้วย"เซียวหลันยวนเอ่ยอย่างจำใจกับนาง"กลิ่นตัวข้าเองก็ไม่ได้น่าดมนัก บวกกับกลิ่นยาที่โดนพิษอีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าข้ายังไปหอมเจ้าจูบเจ้า ไม่ใช่ว่ากลายเป็นข้าบีบให้เจ้าต้องมาทนกับกลิ่นแย่ๆ หรอกหรือ? หนิงหนิง ไว้หน้าข้าสักหน่อยเถิด"ฟู่จาวหนิงเดิมทีคิดจะคุยกับเขาดีดี พอได้ยินเขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางเองก็ไม่มีคำจะพูดสิ่งเหล่านี้ที่เขาพูดก็พอเข้าใ
ถ้าไม่ใช่เซียวหลันยวนสุขภาพตอนนี้ไม่เหมาะจะไปเสี่ยง ฟู่จาวหนิงก็คงไม่ให้องครักษ์ลับปลอมตัวเป็นเขาหรอกแต่ว่าร่างกายขององครักษ์ลับ ตอนนี้ก็ปลีกตัวได้ง่ายกว่าเขาจริงๆขอแค่พบว่าในรถม้าไม่ใช่เซียวหลันยวน อีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะลงมือสังหารอย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงค่อนข้างปลอดภัยกว่าแต่สุขภาพของเซียวหลันยวนตอนนี้ ถ้าไปเองคือไม่ไหวจริงๆ"ข้าจะพยายามไม่ใช้วิชายุทธ์ให้มากที่สุด เพียงแค่โผล่หน้าออกไป ถึงตอนนั้นชิงอีกพวกเขาก็จะคุ้มกันข้าออกไปเอง ทางนั้นมีคนไปสำรวจเส้นทางไว้แล้ว"เซียวหลันยวนพอเห็นว่านางโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ จึงทำได้แค่อธิบายดีดี"พวกเราได้เปรียบพวกเขาตั้งขนาดนี้ พวกเขารู้ทิศทาง รู้ว่าจะต้องเดินเส้นทางไหน ดังนั้นจึงส่งคนไปดูก่อน แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ ทำได้แค่คอยตามพวกเรา ตามเข้ามาถึงสถานที่นี้จึงเพิ่งรู้ว่าจะเข้าหุบเขาซานชิง""ถ้าอย่างนั้นช่วงที่พวกเราพักกันนี่ล่ะ? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่ส่งคนออกไปตรวจสอบ?""ข้าส่งคนไปซุ่มที่นั่นแล้ว พวกเขาถ้าส่งคนเข้าไปก่อน ก็คงเข้าไปแต่กลับออกมาไม่ได้" เซียวหลันยวนยิ้มๆ "แต่ว่าพวกเขาที่ไม่ได้รับข้อมูล ก็คิดได้แค่ว่าในหุบเขานั้นอันตรายมาก
ต่อให้นางไม่มีกำลังภายใน ก็ยังได้ยินการเคลื่อนไหวด้านหลังขึ้นในพริบตาคนที่ตามมาตลอดทางเหล่านั้นกลัวว่าจะถูกสะบัดทิ้งในเส้นทางที่ซับซ้อนนี้ จึงเพิ่มความเร็วทันที และไม่สนว่าจะถูกเปิดโปงหรือไม่ รีบร้อนตามไปเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ล้วนมองข้ามฟู่จาวหนิงทางนี้ไปฟู่จาวหนิงเม้มปากจะบอกว่าไม่กังวลก็คือโกหก แต่ในเมื่อพุดกันดีแล้ว นางเองก็จะไม่ทำอะไรเพื่อทำลายจังหวะของเขาอีก"คุณหนูจาวหนิง พวกเราต้องเพิ่มเวลาอีกสองวันจึงจะอ้อมออกจากหุบเขาซานชิงได้" ไป๋หู่ที่ขี่ม้าอยู่ข้างรถม้าเอ่ยขึ้นกับนาง"เอาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" ฟู่จาวหนิงตอบ"ขอรับ"พวกเขาสามารถอ้อมออกไปก่อน แล้วไปรอเซียวหลันยวนที่ทางออก ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็ยังสามารถรีบกลับไปได้ แต่ถ้าหากไปอย่างเชื่องช้าก็คงจะหันไปทางนั้นไม่ทันการพอดีม่านรถเซียวหลันยวนเลิกออก เขานั่งอยู่ในรถม้า แล้วยังยื่นตัวออกมาพูดอีกสองสามคำ เป้าหมายก็เพื่อให้คนที่ตามมามองเห็นเขา"เพิ่มความเร็ว" เขาพูดกับชิงอีชิงอีรับคำ ร้องย่าห์ขึ้นมา ทะยานความเร็วม้ารถม้าวิ่งทะยาน คนที่ตามมาด้านหลังก็ไม่มีเวลาไปสนด้านซ้ายขวา คิดแต่ว่าจะถูกทิ้งไม่ได้ ตามติดแน่
"ฮี้——"เสียงม้าร้อง มีสองตัวโดนเข็มพิษเข้าไป ยกเท้าคู่หนั้นขึ้นทันควัน สิ่งของที่แบกอยู่บนตัวก็ร่วงลงมา และส่งผลกระทบกับม้าอีกหลายตัวด้านหน้าฝูงม้าโกลาหลขึ้นมาทันที"ไม่ต้องสนใจสิ่งของ ทะยานออกไป!" องครักษ์จวนอ๋องร้องขึ้นเสียงดัง"ขวางพวกเขาไว้!"คนชุดดำขว้างมีดพิษออกไปอีกอีกครั้งกลุ่มด้านหลังนั้นเองก็ไล่กระชั้นขึ้นมาตอนนี้เองพวกเขาก็เข้ามาในวงซุ่มโจมตีได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิว บนยอดเขาจู่ๆ ก็มีก้อนหินกลิ้งลงมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาดทางซ้ายขวามีหิมะผืนใหญ่ถูกกวาดลงมา ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนมีหิมะหนาแน่นตกลงมากะทันหัน เข้าขวางระยะสายตาของคนชุดดำไว้องครักษ์ชุดสีเขียวมรกตเข้มกระโจนลงมาจากเนินเขา พุ่งไปทางคนชุดดำเช่นเดียวกับหินที่ร่วงลงมาปากจมุกพวกเขาล้วนพันผ้าเปียกที่ชุบน้ำยาชิ้นหนึ่งเอาไว้ สามารถป้องกันพิษได้ ผงพิษในมือสาดไปทางคนชุดดำพวกนั้นนอกจากนี้ยังมีคนชูผ้าคลุม พัดกระพือลมไปทางผงพิษเหล่านั้น ทำให้ผงพิษเหล่านั้นกระจายออกไปได้เร็วขึ้นเพราะว่ามีหิมะลอยคลุ้ง คนชุดดำจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านในมีผงพิษอยู่ กลั้นหายใจไม่ทันกันเลยจนกระทั่งหัวหน้าพบสิ่งผิดปกติ ก็ร้องคำรา
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้