สายตาเขาแหลมคม แผ่แสงเย็นวาบ ตอนที่มองคนก็ทำให้รู้สึกว่าเขาชักกระบี่ออกมาสังหารได้ตลอดเวลาว่ากันว่าคนมากมายล้วนหวาดกลัวโจวติ้งเจิน ตอนนี้พอเห็นสภาพเขา ก็ดูจะมีพลังที่ทำให้คนหวาดกลัวอยู่จริงๆผู้บริหารท้องถิ่นโหยวเดิมทีไม่ได้กลัวโจวติ้งเจินในอดีตแม้พวกเขาจะไม่ลงรอยกันในราชสำนัก ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งอะไรกัน ถึงอย่างไรคนหนึ่งก็บู๊คนหนึ่งก็บุ๋น ห่างกันพอควรแต่ตอนนี้เบื้องหลังของเขา มีประชาชนและครอบครัวของเมืองเจ้อทั้งเมืองผู้บริหารท้องถิ่นโหยวจึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาพอควรมีจุดอ่อน ก็จะเกิดความกลัวได้"ขุนพลโจว ท่านนำทหารตั้งมากมายมาเมืองเจ้อด้วยเจตนาอะไร?" ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวเอ่ยถามขึ้นก่อน"องค์จักรพรรดิรู้ว่าประชาชนเมืองเจ้อติดโรคร้าย ระบาดรุนแรง แพร่กระจายทั่วเมือง ไม่มียารักษา"โจวติ้งเจินเสียงกังวาน ฟังแล้วมีการบีบคั้นเขาจ้องผู้บริหารท้องถิ่นโหยว เอ่ยถามต่อว่า "เรื่องนี้ เป็นจริงหรือไม่? ทำไมเจ้าจึงไม่เขียนรายงานองค์จักรพรรดิทันที""ข้าเขียนหนังสือราชการส่งไปวังหลวงแล้วสี่ครั้ง! ตอนนี้ในเมืองหลวงมีคนป่วยจริง แต่ว่า..."
โจวติ้งเจินจ้องมองผู้บริหารท้องถิ่นโหยว สายตากวาดผ่านสือลิ่วสือชีแต่เขาก็ไม่ได้บอกอะไรสือลิ่วสือชี แต่ส่งเสียงเย็นชาออกมาอีก "ผู้บริหารท้องถิ่นโหยว ตอนนี้คนป่วยในเมืองมีเท่าไร? เจ้าในฐานะข้าราชการดูแลเมืองเจ้อ ก็น่าจะมีทำสถิติไว้สิ?"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยว ยังคงหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ "ตอนนี้ประชาชนกับผู้ประสบภัยที่ติดโรคระบาดมีแค่สามพันคน...""สามพันคน!"โจวติ้งเจินถามต่อ "นอกจากสามพันคนนี้ ประชาชนที่เหลือไม่ได้ติดโรคจริงหรือ?""ถูกตรวจรักษาไปแล้ว และมีการกักตัวแยกออกจากคนอื่นแล้ว แต่ว่าตอนนี้หมอฟู่ค้นคว้า....""เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะแจ้งราชโองการของฝ่าบาท ใต้เท้าโหยว ภายในหนึ่งชั่วยาม จงไล่สามพันคนนั้นไปที่หุบเขา!" โจวติ้งเจินตัดบทเขาอีกครั้งผู้บริหารท้องถิ่นโหยวใจสั่นกึก"ขุนพลโจว พวกเขาล้วนป่วยกัน จะไล่ไปที่หุบเขาทำไม? ที่นั่นไม่มีกินมีดื่ม แล้วก็ไม่มียา แล้วยังหนาวเย็นอีก...""นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใต้เท้าโหยวต้องมากังวล! ใต้เท้าโหยวจัดการมาเกือบเดือน กลับทำให้คนป่วยมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ป่วยตายก็มากขึ้นเรื่อยๆ! เจ้าควรจะคิดได้แล้วว่าจะไปรับโทษกับฝ่าบาทอย่างไร! ตอนนี้เอาสามพันคนนั
อ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอยู่ในเมืองเจ้อกับผู้ป่วยเหล่านี้มานานมาก พวกเขาก็ไม่ต้องหวังว่าจะกลับเมืองหลวงได้เลยองค์จักรพรรดิไม่มีทางให้พวกเขากลับไปอ๋องเจวี้ยนจะถูกขังอยู่ในเมืองเจ้อ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องขังเขาไว้ให้ตาย"ท่านขุนพลฉลาดยิ่งนัก""ประจบประแจงน้อยๆ หน่อย ไฟกับน้ำมันทางหุบเขานั่นเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?""เตรียมพร้อมแล้วขอรับ!" ขุนพลน้อยเอ่ยขึ้น มุมปากกระตุกอย่างอดไม่อยู่ พอคิดถึงเรื่องที่จะเกิดหลังจากนี้ เขาก็อดใจสั่นวาบไม่ได้"องค์จักรพรรดิมีราชโองการ ประชาชนที่ติดโรคร้ายพวกนั้นจะปล่อยไว้ไม่ได้ นี่เป็นการคิดเพื่อประชาชนที่มากกว่า เสียสละส่วนน้อยเพื่อปกป้องส่วนมาก นี่จึงจะเป็นจักรพรรดิที่ชาญฉลาด""ขอรับ ฝ่าบาทชาญฉลาดนัก"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวกลับมาถึงหอเมือง อันเหนียนเองก็เข้ามาแล้ว"โจวติ้งเจินพูดอะไรบ้าง? คงไม่ใช่เรื่องดีแน่สินะ?" อันเหนียนถามผู้บริหารท้องถิ่นโหยวมือสั่นระริก"เขาจะให้ข้าส่งคนป่วยทั้งหมดออกจากเมืองเจ้อ ไปให้เขาจัดการทิ้ง""เขาจะจัดการอย่างไร"ในใจอันเหนียนรู้สึกไม่ค่อยดี ตอนที่เขามาถึงก็เพิ่งได้เห็นบัญชี มีทั้งหมดสามพันหนึ่งร้อยคนคนมากขนาดนี้ จะจั
ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวได้ยินคำพูดอันเหนียน ชั่วขณะหนึ่งก็พูดไม่ออกอันที่จริงในใจเขาชัดเจนดี ต่อให้จะไล่คนป่วยในเมืองเจ้อเหล่านี้ออกไปตายข้างนอก พวกเขาที่อยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางกลับไปเมืองหลวงได้เช่นกันต่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก็ยังต้องให้เมืองเจ้อยังคงอยู่ต่อไปอีกพักหนึ่ง เพื่อยืนยันวาไม่มีโรคระบาดแล้วอันเหนียนอยู่ที่นี่มานาน ต่อให้จะกลับไปได้ องค์จักรพรรดิก็คงหาวิธีไล่เขาออกจากเมืองหลวง แล้วไปหารังที่อื่นให้เขาอยู่จะยอมให้เขาอยู่ในราชสำนักต่อได้อย่างไร? อยู่ใกล้จักรพรรดิขนาดนี้ จักรพรรดิกลัวจะตายพอคิดถึงจุดนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา"ศิษย์พี่คิดหาวิธีดีกว่า คนป่วยสามพันคนนั้น จะต้องส่งออกไปจริงไหม"อันเหนียนเห็นสีหน้าท้อแท้สิ้นหวังของผู้บริหารท้องถิ่นโหยว ก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาแต่พวกเขาก็อยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยผู้บริหารท้องถิ่นโหยวกับอันเหนียนหันไปมองเซียวหลันยวนพร้อมกันเซียวหลันยวนมองไปนอกเมืองเงียบๆ โจวติ้งเจินยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า มองมาทางนี้อย่างชัดเจนมองกันจากระยะไกล เซียวหลันยวนรู้สึกได้ถึงการประชดประชันของโจวติ้งเจินโจวติ้งเจินเองก็น่าจะก
ทหารห้าพัน ถ้าล้อมโจมตีเขาคนเดียว แค่ยื้อเวลาเขาก็ตายได้แล้วยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงเองก็รู้สึกว่าองค์จักรพรรดิน่าจะใช้โอกาสนี้เอาชีวิตเซียวหลันยวนตอนนี้ถ้าเซียวหลันยวนออกไปคนเดียว ก็จะเข้าทางอีกฝ่ายพอดี"หนิงหนิง เจ้ามาทำไมกัน? กลับไปซะ"เซียวหลันยวนพอเห็นฟู่จาวหนิงเข้ามาก็ร้อนรนขึ้นแล้ว เดิมทีเขายังใจเย็นอยู่ แต่พอเห็นฟู่จาวหนิงยืนอยู่บนหอเมือง เขาก็หน้าเปลี่ยนสี"ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?"ฟู่จาวหนิงไม่สนใจเขา มองไปที่ใต้หอเมืองโจวติ้งเจินพอเหลือบมองก็เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวบนหอเมือง เขาหรี่ตาลง "หญิงสาวคนนั้นคือฟู่จาวหนิงพระชายาอ๋องเจวี้ยนหรึอ?"ถ้าจับฟู่จาวหนิงไว้ได้ อ๋องเจวี้ยนจะยอมแพ้หรือเปล่า?ถึงตอนนั้นถ้าล่อเขาไปที่ภูเขา ขณะที่โกลาหล อ๋องเจวี้ยนไม่ระวังสะดุดล้มในกองเพลิง ก็ไม่มีคนช่วยเหลือได้ทัน...ความคิดนี้ก็ไม่เลวอยู่กระมัง?"นั่นน่าจะเป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยน ลือกันว่าพระชายาอ๋องเจวี้ยนกล้าหาญเกินใคร และยังหยิ่งทะนงมากด้วย ใช้วิชาแพทย์อหังการเข้าไปได้ถึงในวัง กระทั่งยังไม่เห็นองค์จักรพรรดิในสายตา หญิงสาวที่ยังกล้าขึ้นมาบนหอเมืองตอนนี้ ต้องเป็นนางแน
ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวพูดความหมายของโจวติ้งเจินออกมา ฟู่จิ้นเชินก็สูดปาก"เขาคิดจะ..."คิดจะทำอะไรครึ่งหลังไม่พูดออกมา แต่ก็ทำให้ทุกคนฟังเข้าใจฟู่จาวหนิงรู้สึกเหมือนโลกทัศน์ตนเองจะแตกสลายอยู่แล้ว"นั่นมันคนสามพันกว่าคนเลยนะ!"บ้าไปแล้วหรือ?"ก็บ้าไปแล้วจริงๆ เพราะที่นี่ห่างจากเมืองหลวงนิดเดียว แล้วยังมีผู้ประสบภัยมากขนาดนี้ มีปัจจัยไม่ปลอดภัยอยู่มากมาย" อันเหนียนเอ่ยขึ้นถ้าทั้งหมดเป็นประชาชนเมืองเจ้อ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นบ้านของพวกเขา ปิดเมืองเอาไว้ ถ้าพวกเขาไม่ออกจากเมืองก็ยังพอว่า แต่ใครให้ตอนนี้เมืองเจ้อรับผู้ประสบภัยนับหมื่นเข้ามากันล่ะ?ถ้าหากปิดเมืองมา ผู้ประสบภัยเหล่านี้จะไม่สงบในจิตใจ พวกเขาไม่มีบ้านอยู่ที่นี่ ถ้าหากไม่มีความรู้สึกร่วมไม่มีอาหาร ควต้องหาวิธีบุกออกจากเมืองแน่ถึงตอนนั้นผู้ประสบภัยที่ป่วยจำนวนมากถ้าทะลักไปทางเมืองหลวง นั่นจะเป็นเรื่องใหญ่ที่เลวร้ายมากฟู่จาวหนิงเองก็คิดถึงจุดนี้ด้วย"รักษาได้แล้ว ข้าเองก็สกัดยาออกมาแล้วด้วย แค่ขอเวลาหน่อยเท่านั้น โรคก็จะรักษาได้"ฟู่จาวหนิงร้อนรนขึ้นมา"จดหมายส่งไปถึงเมืองหลวงแล้ว แต่เกรงว่าจะไม่ทันการ" เซียวหลันยวนคว้
"วัตถุดิบยาในการรักษาไม่พอ แต่วัตุดิบยาที่เอาไว้ล้มคน ข้ายังมีอยู่ หลังสกัดให้บริสุทธิ์แล้ว แค่กำมือเดียวก็ล้มคนเป็นร้อยได้"ฟู่จาวหนิงเตรียมทำเรื่องนี้ไว้แล้ว ถ้าหากโจวติ้งเจินจะทำตัวโหดร้ายจริง เช่นนั้นนางก็ไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะมองประสบการณ์ที่จะไม่ลืมไปทั้งชีวิตให้กับเขา!ยาที่สกัดให้บริสุทธิ์ ในคลังสกัดยาของนางมีอยู่"ต่อให้ล้มได้แค่ครึ่งร้อย ก็เพียงพอแล้ว" อันเหนียนในดวงตามีรอยยิ้มใครบอกว่าฟู่จาวหนิงเป็นแต่วิชาแพทย์? ใครบอกว่านางเป็นแค่หมอคนหนึ่ง?ถ้าเป็นแบบนี้ พลังสังหารของนางแค่คนเดียวก็ยิ่งใหญ่มาก"ส่งคนออกไปเตรียม ถ้ามีใครได้ยินข่าวลือ ให้ช่วยปลอบประโลมพวกเขา เมืองเจ้อไม่มีทางส่งพวกเขาออกไป" เซียวหลันยวนเอ่ยกับผู้บริหารท้องถิ่นโหยว"เข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะไปทำเดี๋ยวนี้!"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวมีความมั่นใจขึ้นมากแล้วคุณชายฟู่ดูท้องฟ้าได้ อีกเดี๋ยวฝนจะตก บวกกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนคนเดียวก็สามารถตัดกำลังการรบของทหารนับพันได้ ส่วนโจวติ้งเจินที่แข็งแกร่ง ก็ยังมีอ๋องเจวี้ยนคอยรับอยู่ตรงนี้แล้วอ๋องเจวี้ยนเมื่อครู่บอกไว้แล้ว โจวติ้งเจินไม่ใช่คู่มือของเขาจุดนี้ ผู้บริหารท้องถิ่
"หมอฟู่ออกมาก่อน ขุนพลโจวของพวกเรามีคำถาม! ทำให้การรักษาผู้ป่วยล่าช้า หมอฟู่แบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหวหรอกนะ!"ขุนพลน้อยคนนั้นยังคงตะโกนปาวๆ อยู่ใต้หอเมืองสีหน้าเซียวหลันยวนถมึงทึงไปแล้ว ถ้าไม่ใช่มีหน้ากากบังอยู่ หน้าของเขาตอนนี้คงจะดำยิ่งกว่าท้องฟ้าราตรีเสียอีกฟู่จิ้นเชินเองก็โกรธเหมือนกันเขายืนอยู่ข้างๆ เซียวหลันยวน คิดจะเตือนเขาว่าอย่าออกไปรับมือกับดจวติ้งเจินด้วยตนเอง แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าโจวติ้งเจินจะมีความคิดไปอยู่บนตัวจาวหนิง!ตอนนี้ฟู่จาวหนิงถ้าออกไป โจวติ้งเจินจะปล่อยนางกลับมาได้อย่างไร?พวกเขาคิดแผนของโจวติ้งเจินออกแทบจะทันที"เขาคิดจะควบคุมฟู่จาวหนิงไว้ แล้วเอาจาวหนิงมาคุกคามเจ้า" ฟู่จิ้นเชินทั้งเคืองทั้งโกรธ"ฝันไปเถอะ"เซียวหลันยวนกระโจนลงมาจากหอเมืองราวกับเหยี่ยวโฉบขุนพลน้อยคนนั้นรู้สึกเหมือนมีพลังวูบหนึ่ง เงยหน้าขึ้นอย่างหวาดผวา ยังไม่ทันได้เห็นชัดว่าเป็นใคร ก็ได้ยินเสียงดังพลั่ก ส่วนตนเองถูกเตะลอยออกไปแล้วการลอยนี้ ปลิวไปไกลมาก เหมือนกับลอยตามลม หล่นกระแทกพื้นห่างไปลิบๆจุดที่ตกอยู่ใกล้กับโจวติ้งเจินและเซียวหลันยวนหลังจากถีบคนออกไปแล้ว ก็ร่อนลงมาบนหลั
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้