อ๋องเจวี้ยนจะร่วมมือกับราชาเฮ่อเหลียนหรือ?จะว่าไป เมืองหูเดิมทีก็อยู่ชายแดน แถบนั้นเดิมทีก็อยู่ใกล้กับขอบเขตที่เผ่าเฮ่อเหลียนก่อเรื่องอยู่ส่วนเมืองเจ้อห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก พูดได้วส่า ทรัพยากรต่างๆล้วนต้องส่งออกไปางนั้น อ๋องเจวี้ยนคนเดียวจะยึดเมืองทั้งเมืองไปทำไม?อ๋องเจวี้ยนเองก็ไม่มีทหารเสียหน่ยอเดิมทีเป็นแค่เรื่องที่คิดก็รู้สึกไร้สาระแล้ว แต่องค์จักรพรรดิต่อต้านอ๋องเจวี้ยน ความคิดจะรับมืออ๋องเจวี้ยนกลายเป็นความดื้อรั้นและความเคยชินไปแล้วเขาคิดไปจริงๆ"ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรในเมืองหลวง ใต้หนังตาข้าเขาก็ไม่มีอิสระ ไม่สะดวก! ดังนั้นการคิดจะเลือกสถานที่ของตนเองแล้วกลายเป็นอ๋อง ก็อาจจะเป็นความคิดที่เขาคิดไว้ก็ได้"พระชายาเยว่แอบเบ้ปากนางรู้ ว่าเรื่องเกี่ยวกับอ๋องเจวี้ยน แค่พูดส่งเดชออกมาองค์จักรพรรดิก็จะเชื่อถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็ไม่สนอะไรอยู่แล้ว ขอแค่รับมือกับอ๋องเจวี้ยนได้ ขอแค่ไม่ให้อ๋องเจวี้ยนได้สมปรารถนา เขาก็จะเบิกบานตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอ๋องเจวี้ยนคิดจะขนเสบียงไปเมืองเจ้อด้วยตนเอง ไม่ว่าเป้าหมายเขาคืออะไร แค่ห้ามไว้ก็พอแล้วอ๋องเจวี้ยนไม่เบิกบาน
เดิมที อดีตของเก๋อมู่กวงกับฮูหยินถังก็เป็นข่าวที่ฟู่จิ้นเชินมอบมาให้ เดิมทีก็เป็นสืออู่ที่ลงมือ ล่อให้พวกเขามาพบกันแต่การคบชู้นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันเองช่วงนี้สืออีูก็แค่สะกดรอยเก๋อมู่กวงเท่านั้น ไม่ได้ลงมือทำอะไร ไม่คิดว่าจะเจอกับเรื่องนี้เข้า"ถ้าแบบนี้ เก๋อมู่กวงก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้วสิ?" ชิงอีถามคำนี้ขึ้นมา แล้วก็รู้สึกว่าบางจุดเย็นวาบขึ้นมา"ยังใช่อยู่นั่นล่ะ" สืออู่พยักหน้า"พรวด รองแม่ทัพเก๋อผู้น่าเวทนา" ชิงอีส่ายหัวไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้รองแม่ทัพเก๋อสภาพจิตใจเป็นอย่างไร"คนตระกูลถังก็กล้าเสียจริง" เซียวหลันยวนเลิกคิ้ววิจารณ์ออกมา"คนตระกูลถังไม่ได้รับมือยาก เก๋อมู่กวงเองก็ไม่มีทางแค่แอบคบชู้กับฮูหยินถังเท่านั้นหรอก"นี่ก็จริง"ถึงอย่างไรตอนนี้เก๋อมู่กวงก็ถือว่าไม่มีความคิดไปจดจ้องโป๋จีในคุกแล้ว" สืออู่เอ่ยขึ้น"เอ๋? ท่านอ๋อง เช่นนั้นคุณชายเสี่ยวเฟยก็ไม่ใช่ปลอดภัยแล้วหรือ?""อืม คนอื่นเองก็มองอะไรไม่ออกด้วย ไปบอกกับท่านผู้เฒ่ากับเสี่ยวเฟยเสียหน่อยเถอะ" เซียวหลันยวนโบกไม้โบกมือฟู่จาวเฟยพอรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ก็ตื่นเต้นจนแสดงวิชาหมัดชุดหนึ่งออกมาในเรือนเสิ่นเช
ตำแหน่งนี้คือศาลาผาสิบลี้ มาถึงที่นี่ คณะทูตก็น่าจะเร่งเดินทางจนเหนื่อยแล้ว ถึงอย่างไรด้านหน้าก็ยังมีอีกช่วงหนึ่งเลยที่จะไม่ได้พักช่วงนี้อย่างน้อยต้องเร่งเดินทางกันหนึ่งวันจะเข้าเมืองหลวงทั้งที ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยหน่อย แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้าเมืองอย่างสง่าราศี ถึงอย่างไรก็จะดึงดูดประชาชนในเมืองหลวงมาล้อมดูอยู่แล้ว ใครบ้างไม่อยากดูดี?ดังนั้นประโยชน์ของศาลาผาสิบลี้จึงอยู่ที่นี่เยว่เจียกุ้ยเป็นขุนนางเล็กๆ คนหนึ่งในกรมพิธีการ พอแย่งหน้าที่การต้อนรับมาไม่ได้ จึงรู้สึกกลัดกลุ้มหน่อยๆดังนั้นจึงเข้าวังเพื่อพบพระชายาเยว่ พระชายาเยว่ให้ความคิดกับเขา คือส่งน้ำชาของว่างมาที่ศาลาผาสิบลี้นี้ก่อนนี่เท่ากับเป็นการรับรองล่วงหน้าแล้วถึงอย่างไรถ้าทูตแคว้นหมิ่นจดจำเขาได้ แล้วหลังจากนี้ให้เขารับผิดชอบการต้อนรับ เขาก็จะเชิดหน้าในกรมพิธีการได้เยว่เจียกุ้ยเองก็ใช้ความคิดอยู่ ชาที่เขาเอามาคือชาดีที่ใช้ในวัง ของว่างเองก็มาจากในวัง แล้วยังนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ทูตอีก จะต้องทำให้พวกเขาประทับใจตนเองได้แน่นอนแต่ตอนนี้อ๋องเจวี้ยนดันให้เขารีบออกไป?มีสิทธิ์อะไรกัน?"ก่อนเข้าเมือง
เซียวหลันยวนรออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ยินการเคลื่อนไหวจากที่ไกลๆมาแล้วขบวนยาวเหยียนเห็นแต่ไกล เขากระโดดลงจากรถม้า เดินไปนั่งในศาลาขบวนจากแคว้นหมิ่นมาถึงศาลาผาสิบลี้ จึงหยุดรถลงพวกเขาเห็นรถม้าของอ๋องเจวี้ยนและองครักษ์เงามังกรที่ยืนอย่างสงบนี้แน่นอนมีคนใช้ไปรายงานที่ข้างรถม้า เพียงไม่นาน ประตูรถม้าก็ผลักเปิด มีคนถูกประคองลงมาพวกชิงอีเห็นรถม้าของแคว้นหมิ่น รถม้าขบวนยาวเหยียดเหล่านี้สร้างมาได้ทั้งใหญ่และแข็งแรง ประตูรถม้าล้วนเป็นประตูไม้ที่มั่นคง สลักดอกไม้ใบหญ้าสิงสาราสัตว์ไว้อย่างหรูหราม้าที่ลากรถดูแล้วก็แตกต่างกับแคว้นเจาของพวกเขา สูงใหญ่น่าเกรงขามกว่า ขาดูแข็งแรงรถม้าทั้งหมดสิบหกคัน องครักษ์อีกนับสิบชุดของพวกเขามีสีน้ำเงินเข้มเป็นหลัก น้ำเงินเข้มประดับด้วยสีเงินอ่อน ดูทรงสง่ามีระดับมององครักษ์เหล่านั้น รูปร่างเองก็สูงใหญ่แข็งแรง รูปหน้าคมสัน แตกต่างกับชายหนุ่มแคว้นเจาที่ดูอ่อนโยน ดูแข็งแกร่งเป็นชายชาตรีมากขบวนทูตเช่นนี้ สร้างความรู้สึกกดดันทางบารมีได้ง่ายทางนั้น พวกของเยว่เจียกุ้ยพอเห็นฉากนี้ ก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยสัญชาตญาณพริบตานี้ พวกเขาสัมผัสได้แล้วว่าอะไ
"ข้าคือหยวนกัง ได้รับพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ให้เป็นทูตมายังแคว้นเจา""ใต้เท้าหยวนเป็นแม่ทัพบู๊หรือ?" เซียวหลันยวนามออกมาตรงๆ"ฮ่าๆๆ" หยวนกังหัวเราะร่าออกมา "ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าพอเห็นข้า จะต้องประหลาดใจ ถูกต้อง ข้าคือขุนพลบู๊ เพราะจากแคว้นหมิ่นมายังเมืองหลวงแคว้นเจาค่อนข้างไกล ต้องเดินทางนาน ลมพายุหิมะอะไรอีก เกรงว่าร่างกายข้าราชการพลเรือนจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น จึงทำได้แค่ส่งแม่ทัพบู๊เข้ามา"แบบนี้เองหรือ?"แต่ว่า ข้าเองก็ได้ทั้งบู๊บุ๋นนะ ไม่ใช่แค่หยาบกระด้างอย่างเดียว"ชิงอีมองหยวนกังอย่างอยากรู้อยากเห็น ใต้เท้าทูตคนนี้ความมั่นใจในตนเองแข็งแกร่งมาก ยังกล้าชมตนเองแบบนี้ด้วย"ท่านพ่อ"ชายหนุ่มข้างกายหยวนกังคนนั้นส่งเสียงขึ้นพวกเขามองข้ามเขาไปเลยหยวนกังจึงเอ่ยขึ้น "จริงด้วย รู้จักกันหน่อย นี่คือลูกชายข้า หยวนอี้! เขามาเพราะท่านเลยนะ!""มาเพราะข้าหรือ?"เซียวหลันยวนตอนนี้จึงมองไปทางหยวนอี้เขารูปร่างสูงแต่ไม่เท่าคนพ่อ รูปร่างเล็กกว่าพอควร แต่คิ้วตาคมคาย หล่อเหลาเอาการ"ใช่แล้ว ข้าได้ยินชื่อเสียงของอ๋องเจวี้ยนมานาน จึงอยากมาเห็นกับตาสักครั้ง อ้อนวอนท่านพ่ออยู่นา
ณ เมืองหลวง แคว้นเจาบนถนนที่คึกคักหญิงสาวที่สวมชุดงดงามนางหนึ่งกำลังนำทหารหลายคนของนางไปดักขบวนแห่เจ้าสาวขบวนหนึ่งอย่างดุดัน“หลีกไป นี่คือคุณหนูใหญ่จากตระกูลของหมอเทวดาหลี่ หากว่าพวกเจ้าทำให้คุณหนูไม่พอใจระวังจะเดือดร้อน!” ผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนถนนต่างพากันรีบหลีกทางให้ในทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลง เหล่าชาวเมืองมองไปที่ขบวนแห่เจ้าสาวที่ถูกตกแต่งด้วยความรู้สึกเห็นใจ “นี่เจ้าสาวจากตระกูลไหนกันเนี่ย? ไปทำอะไรให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ขัดใจกัน?”“เจ้าไม่รู้หรือ? วันนี้เป็นวันแต่งงานของรัชทายาทเซียวกับคุณหนูตระกูลฟู่ คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวนั่นก็ต้องเป็นคุณหนูฟู่นั่นแหละ”โครม เกี้ยวเจ้าสาวถูกทหารของตระกูลหลี่ใช้กำลังบังคับให้หยุดลง หลังจากที่เกี้ยวเจ้าสาวเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ก็ได้ยินเสียงตุ๊บดังออกมา คล้ายจะเป็นเสียงของศีรษะที่กระแทกอะไรสักอย่าง“ไปเอาตัวฟู่จาวหนิงมา! แล้วก็ไปถอดชุดเจ้าสาวของนางทิ้งซะ!”คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ชี้นิ้วไปยังเกี้ยวเจ้าสาวก่อนจะสั่งออกมาอย่างวางอำนาจ ทันใดนั้นทหารรับใช้ก็วิ่งไปแล้วยื่นมือไปเปิดม่านบังเกี้ยวเจ้าสาวทันทียายเฒ่าผู้ดูแลพิธีที่ยืนอยู่ด้านข้
สมองจาวหนิงผุดภาพร่างกายที่อ่อนแอของผู้เฒ่าฟู่ขึ้นมาฟู่จาวหนิงกับรัชทายาทเซียวเดิมทีมีการหมั้นหมายอยู่ สุขภาพผู้เฒ่าฟู่เองก็ย่ำแย่ลงทุกวัน ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสามารถเห็นหลานสาวแต่งเข้าจวนตระกูลเซียวได้อย่างราบรื่น ได้มีที่พึ่งพิงในภายภาคหน้า แต่ตระกูลเซียวก็ไม่ยอมเอ่ยเรื่องงานมงคลเสียทีช่วงนี้อาการป่วยของผุ้เฒ่าฟู่ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เขาเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็จะคว้ามือของนางและกังวลเรื่องงานแต่ง ฟู่จาวหนิงก็ร้อนรน ดังนั้นแต่ละวันจึงเอาแต่เซ้าซี้รัชทายาทเซียว หลังถูกปฏิเสธมาหลายครั้ง นางจึงหยิบยกเอาคุณงามความดีที่บิดามารดาของนางเคยช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ออกมาให้องค์จักรพรรดิประทานจัดงานแต่งงานให้รัชทายาทเซียวก็ถูกบีบจนต้องจำใจยอมรับการแต่งงานกับฟู่จาวหนิงเซียวเหยียนจิ่งเองก็เป็นบุรุษรูปงามอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงจริงๆ คิ้วกระบี่ดวงตาดอกท้อ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเชิด รูปหน้ายอดเยี่ยม ร่างสูงโปร่ง เสื้อคลุมสักหลาดพอดีตัวดูสูงส่ง ขับเน้นร่างของเขาออกมาจนตัวดูเป็นคนแต่นิสัยเป็นสุนัขเสียอย่างนั้นไม่แปลกที่หลี่จื่อเหยาหลงใหลเขามาตลอดพอคิดถึงสถาน
เสียงโครมดังขึ้น เซียวเหยียนจิ่งรู้สึกว่าเลือดถูกต้มจนเดือดปุดขึ้นมาถึงกระหม่อม"ฟู่!จาว!หนิง!"เขากัดฟันเอ่ยชื่อฟู่จาวหนิงออกมาทีละคำๆนางกล้าดีอย่างไร จึงกล้ามาหยามหมิ่นเขาเช่นนี้?ชาวบ้านรอบๆ ก็ล้วนตาโตพูดไม่ออกกันหมด จากนั้นจึงมองพวกเขาทั้งสองและพยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่คุณหนูฟู่พูดออกมานั้นถูกต้องเซียวเหยียนจิ่งจ้องนางอย่างเกลียดชัง "ฟู่จาวหนิง เจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน! ข้าตอนนี้จะคอยดู ว่าเจ้าจะไสหัวกลับไปอย่างไร! เจ้าอย่าลืมว่าปู่ของเจ้า ตอนนี้เขาก็เหมือนจะเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วสินะ เจ้าเชื่อไหมว่าพอเจ้าเหยียบเข้าประตูจวนไปและเขารู้ว่าเจ้าถูกถอนหมั้น เขาคงขาดใจตายทันทีแน่?"ฟู่จาวหนิงจ้องเขาตาลุกโชนเซียวเหยียนจิ่งเจ้าผู้ชายขยะ ป่านนี้แล้วยังจะมาคุกคามนางอีก!แต่ฟู่จาวหนิงก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย ผู้เฒ่าฟู่เวลานี้คงทนรับเรื่องแรงๆ ไม่ไหวเซียวเหยียนจิ่งพอเห็นนางไม่โต้กลับ ก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา "แล้วก็ที่เจ้าหยามหมิ่นรัชทายาทอย่างข้าวันนี้ ข้าจดจำไว้หมดแล้ว เจ้าอย่าได้หวังว่าจะหาสามีได้อีก"เขาจะคอยดูว่าตระกูลไหนจะก
"ข้าคือหยวนกัง ได้รับพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ให้เป็นทูตมายังแคว้นเจา""ใต้เท้าหยวนเป็นแม่ทัพบู๊หรือ?" เซียวหลันยวนามออกมาตรงๆ"ฮ่าๆๆ" หยวนกังหัวเราะร่าออกมา "ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าพอเห็นข้า จะต้องประหลาดใจ ถูกต้อง ข้าคือขุนพลบู๊ เพราะจากแคว้นหมิ่นมายังเมืองหลวงแคว้นเจาค่อนข้างไกล ต้องเดินทางนาน ลมพายุหิมะอะไรอีก เกรงว่าร่างกายข้าราชการพลเรือนจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น จึงทำได้แค่ส่งแม่ทัพบู๊เข้ามา"แบบนี้เองหรือ?"แต่ว่า ข้าเองก็ได้ทั้งบู๊บุ๋นนะ ไม่ใช่แค่หยาบกระด้างอย่างเดียว"ชิงอีมองหยวนกังอย่างอยากรู้อยากเห็น ใต้เท้าทูตคนนี้ความมั่นใจในตนเองแข็งแกร่งมาก ยังกล้าชมตนเองแบบนี้ด้วย"ท่านพ่อ"ชายหนุ่มข้างกายหยวนกังคนนั้นส่งเสียงขึ้นพวกเขามองข้ามเขาไปเลยหยวนกังจึงเอ่ยขึ้น "จริงด้วย รู้จักกันหน่อย นี่คือลูกชายข้า หยวนอี้! เขามาเพราะท่านเลยนะ!""มาเพราะข้าหรือ?"เซียวหลันยวนตอนนี้จึงมองไปทางหยวนอี้เขารูปร่างสูงแต่ไม่เท่าคนพ่อ รูปร่างเล็กกว่าพอควร แต่คิ้วตาคมคาย หล่อเหลาเอาการ"ใช่แล้ว ข้าได้ยินชื่อเสียงของอ๋องเจวี้ยนมานาน จึงอยากมาเห็นกับตาสักครั้ง อ้อนวอนท่านพ่ออยู่นา
เซียวหลันยวนรออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ยินการเคลื่อนไหวจากที่ไกลๆมาแล้วขบวนยาวเหยียนเห็นแต่ไกล เขากระโดดลงจากรถม้า เดินไปนั่งในศาลาขบวนจากแคว้นหมิ่นมาถึงศาลาผาสิบลี้ จึงหยุดรถลงพวกเขาเห็นรถม้าของอ๋องเจวี้ยนและองครักษ์เงามังกรที่ยืนอย่างสงบนี้แน่นอนมีคนใช้ไปรายงานที่ข้างรถม้า เพียงไม่นาน ประตูรถม้าก็ผลักเปิด มีคนถูกประคองลงมาพวกชิงอีเห็นรถม้าของแคว้นหมิ่น รถม้าขบวนยาวเหยียดเหล่านี้สร้างมาได้ทั้งใหญ่และแข็งแรง ประตูรถม้าล้วนเป็นประตูไม้ที่มั่นคง สลักดอกไม้ใบหญ้าสิงสาราสัตว์ไว้อย่างหรูหราม้าที่ลากรถดูแล้วก็แตกต่างกับแคว้นเจาของพวกเขา สูงใหญ่น่าเกรงขามกว่า ขาดูแข็งแรงรถม้าทั้งหมดสิบหกคัน องครักษ์อีกนับสิบชุดของพวกเขามีสีน้ำเงินเข้มเป็นหลัก น้ำเงินเข้มประดับด้วยสีเงินอ่อน ดูทรงสง่ามีระดับมององครักษ์เหล่านั้น รูปร่างเองก็สูงใหญ่แข็งแรง รูปหน้าคมสัน แตกต่างกับชายหนุ่มแคว้นเจาที่ดูอ่อนโยน ดูแข็งแกร่งเป็นชายชาตรีมากขบวนทูตเช่นนี้ สร้างความรู้สึกกดดันทางบารมีได้ง่ายทางนั้น พวกของเยว่เจียกุ้ยพอเห็นฉากนี้ ก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยสัญชาตญาณพริบตานี้ พวกเขาสัมผัสได้แล้วว่าอะไ
ตำแหน่งนี้คือศาลาผาสิบลี้ มาถึงที่นี่ คณะทูตก็น่าจะเร่งเดินทางจนเหนื่อยแล้ว ถึงอย่างไรด้านหน้าก็ยังมีอีกช่วงหนึ่งเลยที่จะไม่ได้พักช่วงนี้อย่างน้อยต้องเร่งเดินทางกันหนึ่งวันจะเข้าเมืองหลวงทั้งที ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยหน่อย แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้าเมืองอย่างสง่าราศี ถึงอย่างไรก็จะดึงดูดประชาชนในเมืองหลวงมาล้อมดูอยู่แล้ว ใครบ้างไม่อยากดูดี?ดังนั้นประโยชน์ของศาลาผาสิบลี้จึงอยู่ที่นี่เยว่เจียกุ้ยเป็นขุนนางเล็กๆ คนหนึ่งในกรมพิธีการ พอแย่งหน้าที่การต้อนรับมาไม่ได้ จึงรู้สึกกลัดกลุ้มหน่อยๆดังนั้นจึงเข้าวังเพื่อพบพระชายาเยว่ พระชายาเยว่ให้ความคิดกับเขา คือส่งน้ำชาของว่างมาที่ศาลาผาสิบลี้นี้ก่อนนี่เท่ากับเป็นการรับรองล่วงหน้าแล้วถึงอย่างไรถ้าทูตแคว้นหมิ่นจดจำเขาได้ แล้วหลังจากนี้ให้เขารับผิดชอบการต้อนรับ เขาก็จะเชิดหน้าในกรมพิธีการได้เยว่เจียกุ้ยเองก็ใช้ความคิดอยู่ ชาที่เขาเอามาคือชาดีที่ใช้ในวัง ของว่างเองก็มาจากในวัง แล้วยังนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ทูตอีก จะต้องทำให้พวกเขาประทับใจตนเองได้แน่นอนแต่ตอนนี้อ๋องเจวี้ยนดันให้เขารีบออกไป?มีสิทธิ์อะไรกัน?"ก่อนเข้าเมือง
เดิมที อดีตของเก๋อมู่กวงกับฮูหยินถังก็เป็นข่าวที่ฟู่จิ้นเชินมอบมาให้ เดิมทีก็เป็นสืออู่ที่ลงมือ ล่อให้พวกเขามาพบกันแต่การคบชู้นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันเองช่วงนี้สืออีูก็แค่สะกดรอยเก๋อมู่กวงเท่านั้น ไม่ได้ลงมือทำอะไร ไม่คิดว่าจะเจอกับเรื่องนี้เข้า"ถ้าแบบนี้ เก๋อมู่กวงก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้วสิ?" ชิงอีถามคำนี้ขึ้นมา แล้วก็รู้สึกว่าบางจุดเย็นวาบขึ้นมา"ยังใช่อยู่นั่นล่ะ" สืออู่พยักหน้า"พรวด รองแม่ทัพเก๋อผู้น่าเวทนา" ชิงอีส่ายหัวไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้รองแม่ทัพเก๋อสภาพจิตใจเป็นอย่างไร"คนตระกูลถังก็กล้าเสียจริง" เซียวหลันยวนเลิกคิ้ววิจารณ์ออกมา"คนตระกูลถังไม่ได้รับมือยาก เก๋อมู่กวงเองก็ไม่มีทางแค่แอบคบชู้กับฮูหยินถังเท่านั้นหรอก"นี่ก็จริง"ถึงอย่างไรตอนนี้เก๋อมู่กวงก็ถือว่าไม่มีความคิดไปจดจ้องโป๋จีในคุกแล้ว" สืออู่เอ่ยขึ้น"เอ๋? ท่านอ๋อง เช่นนั้นคุณชายเสี่ยวเฟยก็ไม่ใช่ปลอดภัยแล้วหรือ?""อืม คนอื่นเองก็มองอะไรไม่ออกด้วย ไปบอกกับท่านผู้เฒ่ากับเสี่ยวเฟยเสียหน่อยเถอะ" เซียวหลันยวนโบกไม้โบกมือฟู่จาวเฟยพอรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ก็ตื่นเต้นจนแสดงวิชาหมัดชุดหนึ่งออกมาในเรือนเสิ่นเช
อ๋องเจวี้ยนจะร่วมมือกับราชาเฮ่อเหลียนหรือ?จะว่าไป เมืองหูเดิมทีก็อยู่ชายแดน แถบนั้นเดิมทีก็อยู่ใกล้กับขอบเขตที่เผ่าเฮ่อเหลียนก่อเรื่องอยู่ส่วนเมืองเจ้อห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก พูดได้วส่า ทรัพยากรต่างๆล้วนต้องส่งออกไปางนั้น อ๋องเจวี้ยนคนเดียวจะยึดเมืองทั้งเมืองไปทำไม?อ๋องเจวี้ยนเองก็ไม่มีทหารเสียหน่ยอเดิมทีเป็นแค่เรื่องที่คิดก็รู้สึกไร้สาระแล้ว แต่องค์จักรพรรดิต่อต้านอ๋องเจวี้ยน ความคิดจะรับมืออ๋องเจวี้ยนกลายเป็นความดื้อรั้นและความเคยชินไปแล้วเขาคิดไปจริงๆ"ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรในเมืองหลวง ใต้หนังตาข้าเขาก็ไม่มีอิสระ ไม่สะดวก! ดังนั้นการคิดจะเลือกสถานที่ของตนเองแล้วกลายเป็นอ๋อง ก็อาจจะเป็นความคิดที่เขาคิดไว้ก็ได้"พระชายาเยว่แอบเบ้ปากนางรู้ ว่าเรื่องเกี่ยวกับอ๋องเจวี้ยน แค่พูดส่งเดชออกมาองค์จักรพรรดิก็จะเชื่อถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็ไม่สนอะไรอยู่แล้ว ขอแค่รับมือกับอ๋องเจวี้ยนได้ ขอแค่ไม่ให้อ๋องเจวี้ยนได้สมปรารถนา เขาก็จะเบิกบานตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอ๋องเจวี้ยนคิดจะขนเสบียงไปเมืองเจ้อด้วยตนเอง ไม่ว่าเป้าหมายเขาคืออะไร แค่ห้ามไว้ก็พอแล้วอ๋องเจวี้ยนไม่เบิกบาน
อันเหนียนร้องซี๊ดนี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?"นี่แค่เพิ่งวันแรกนะ พวกเราต้องอยู่ที่นี่ครึ่งเดือนจริงหรือ?" เสี่ยวเยว่ตอนนี้เริ่มกังวล ถ้าทุกวันเป็นแบบนี้ ฟู่จาวหนิงจะทนไหวได้ยังไง?ต่อให้ร่างทำจากเหล็กก็ยังเหนื่อยเลย"ลุงฟู่ไม่ได้เตือนนางหน่อยหรือ?""วันนี้แค่เวลาจะเตือนยังไม่มีเลย คุณชายฟู่เองก็เหนื่อยจัด"ฟู่จิ้นเชินเห็นว่าลูกสาวเหนื่อยขนาดนี้ ก็ยังอยากให้ตัวเองทำอะไรมากหน่อย เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีกหน่อย ละเอียดขึ้นอีกหน่อยผลลัพธ์คือพอเขาเร่งความเร็วทางนี้ คนป่วยที่มาขอตรวจก็เข้ากันเร็วขึ้น ดังนั้นพอประสิทธิภาพไวขึ้น ปริมาณงานของแต่ละคนก็มากตามไปด้วยพอได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ ฟู่จิ้นเชินก็เดินเข้ามา บิดข้อไม้ข้อมือผ่อนคลาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่เป็นแบบนี้ทุกวันหรอก หลังจากนี้พอคนป่วยส่วนใหญ๋ได้รับการรักษา ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา"แม้เขาจะเหนื่อยแต่ก็ยังเป็นห่วงฟู่จาวหนิง แต่อีกด้านก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากวันนี้ฟู่จาวหนิงทำให้เขาเปิดโลกใหม่เลยทีเดียวตอนที่นางตรวจรักษาทั้งมีสมาธิ ตั้งใจ เด็ดขาด เฉียบแหลม มืออาชีพ ยอดเยี่ยมกว่าหมอทั้งหมดที่เขาเคยเจอมาในอดีตยิ่งไปกว่านั้นภายใต้สถาน
"ภรรยาของเจ้าตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว เจ้ารู้ใช่ไหม?" ฟู่จาวหนิงมองชายหนุ่มหลังจากเขาได้ยินก็งงงันไป"ข้า ข้าไม่รู้เลย ข้าคิดว่านางเป็นหวัด คิดว่านางแค่หิว" ชายหนุ่มมือไม้เป็นพัลวัน "นางก่อนหน้านี้ตกไปในน้ำ..."ฟู่จาวหนิงหยิบเข็มเงินออกมา แทงลงไปที่หญิงสาวหลายเข็ม เช่นนี้สามารถช่วยให้เหงื่อออก ให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมา"ร่างกายนางอ่อนแอมาก จริงๆ ก็เป็นหวัด แต่ตอนนี้ครรภ์เด็กไม่ค่อยมั่นคง ดังนั้นจึงกินยาส่งเดชไม่ได้ ข้ามีวิชาฝังเข็มรักษาหวัด ทุกวันให้เจ้าส่งนางไปที่โรงหมอ ข้าจะฝังเข็มให้นาง""โรง โรงหมอ? ท่าน ท่านหมอ โรงหมอไหนหรือ?" ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างกระวนกระวายในเมืองเจ้อเดิมทีก็มีโรงหมออยู่ ทั้งหมดสามแห่ง หมอสามคนล้วนอายุมากแล้ว แต่ก่อนยังพอไหว แต่นับตั้งแต่เมืองเจ้อมีผู้ประสบภัยทะลักเข้ามาก็ไม่ดีเสียแล้วตอนนี้โรงหมอไม่เปิด หมอทั้งสามคน คนหนึ่งบอกว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อีกสองคนก็หลบอยู่แต่ในบ้านไม่เข้าไปโรงหมอ"อาเหอ เจ้าบอกที่อยู่กับเขาหน่อย" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้น"่ขอรับ"อาเหอบอกตำแหน่งโรงหมอชั่วคราวที่พวกเขาจัดขึ้นให้กับชายหนุ่มอย่างละเอียดหญิงสาวคนนั้นในที่สุดก็ฟื้นแล้
พวกเขาล้วนมองตามเสียงไป อาเหอเองก็ยกเท้าเดินออกไป ไม่นานก็กลับมา"มีหญิงสาวเป็นลมขอรับ""ไปดูหน่อย"ฟู่จาวหนิงวิ่งออกไปทันทีคนมากมายรวมกันอยู่แบบนี้ กลิ่นเองก็ไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ยังเข้าไปที่เพิงเตี้ยๆ นั่นด้านในมีหญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น หน้าซีดเหมือนกระดาษ ริ่มฝีปากไม่มีสีเลือด ข้างๆ มีแม่นางน้อยอยู่ กำลังร้องห่มร้องไห้เขย่าตัวนาง"เสี่ยวเยว่ ดูแลเด็กด้วย" ฟู่จาวหนิงกำชับมาคำหนึ่ง ส่วนตนเองก็มุดเข้าไป นั่งยองลงข้างๆ หญิงสาวคนนั้น ตรวจอาการให้นางพอแตะมือนาง ก็รู้สึกว่าเย็นจนน่ากลัวเสื้อผ้าบนตัวนางบางมาก แต่บนตัวแม่นางน้อยกลับห่อไว้หนาพอควร มองออกว่าเอาเสื้อผ้าให้เด็กไปฟู่จาวหนิงจับชีพจรนาง ในสั่นกึกชีพจรครรภ์ น่าจะสองเดือนกว่าแล้ว แต่ว่าชีพจรนี้ก็อ่อนแรงเต็มที หญิงสาวเป็นโรคโลหิตจางรุนแรง โลหิตจางบวกกับความหิวความหนาว จะเป็นลมก็เรื่องปกติ"อาเหอ ไปตักข้าวต้มมาชามหนึ่ง" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้น"่ขอรับ"อาเหอรีบไปตักข้าวต้ม แต่ว่าตอนนี้ที่แจกข้าวต้มเริ่มเข้าแถวแล้ว พอเขาเดินไปที่ด้านหน้า คนที่เข้าแถวอยู่ก็ไม่ยอม"เข้าแถวเซ่!""ใต้เท้าข้าราชการมาทางนี้หน่อย ต
ตอนนี้แบ่งข้าวต้มได้คนละชาม ตอนกลางวันข้าวต้มคนละชามกับแป้งนึ่งครึ่งก้อน ก็ถือว่าดีมากแล้วข้าวเย็นก็มีแค่ข้าวต้มชามเดียว"เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบขวบ คนแก่ที่อายุหกสิบขึ้นไป สามารถได้เพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วก็พวกเด็กทารกบางส่วน ยังแลกข้าวต้มได้อีกครึ่งชามด้วย"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวอธิบายกับฟู่จาวหนิง พวกเขาทำได้ถึงขนาดนี้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ถึงอย่างไรแรงคนก็ไม่พอนี่นะ"ตอนนี้ร้านรวงในเมือง ก็ยังไม่กล้าจะทำการค้ากันเลย""นี่เพราะอะไร?" อันเหนียนถาม"อย่างเช่นพวกร้านขายซาลาเปา ขายขนมปิ่ง ขายสุระพวกนั้น พอเปิดร้านกลิ่นจะรุนแรงมาก ตอนที่หิวจนตาลายแล้ว ใครจะยังทนไหวกัน? แล้วผู้ประสบภัยพวกนี้ มีเงินพอซื้อกันที่ไหน?"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวส่ายหัว "ดังนั้นจึงเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย มีคนขโมยของกิน มีคนใช้วิะีการหลอก ถึงอย่างไรความวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้นตลอด ร้านรวงพวกนั้นจึงไม่กล้าเปิดกันแล้ว"ไม่แปลกที่ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวจะอดนอนจนตาแดงก่ำ เรื่องราวมันเยอะมาจนทำเอาเขาไม่ได้พักผ่อนดีดีเลย""ช่วงนี้คนป่วยก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ่ท่านลองฟังสิ เสียงที่ดังขึ้นลงสลับกันนี้"ฟู่จาวหนิงได้ยินนานแล