ฟู่จาวหนิงเดินมาถึงตรงหน้าเขา เห็นผ้าคลุมหน้าของเขาดึงลงมาปิดปากอีกครั้ง นางพลิกมือ แล้วก็ไม่รู้ว่าในมือปรากฏมีดเล็กเปล่งประกายเล่มหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรพอนางโบกมือ ก็ใช้มีดเล็กจัดการกรีดผ้าปิดหน้าของชายคนนั้นออก พอผ้าร่วงลงมาก็เผยสภาพของชายคนนี้ให้เห็นใบหน้าเขา ข้างจมูก มีหลายตำแหน่งเน่าไปแล้วจริงๆ ใบหน้าเองก็บวมแดงขึ้นหน่อยๆมีคนเห็นสภาพเขาก็ร้องตกใจออกมา"หน้าของเขาเน่าไปแล้วจริงๆ!""คนคนนี้ติดโรคระบาดไปแล้ว!"ชั่วขณะหนึ่ง คนทั้งหมดล้วนตกตะลึงถอยห่างอีกครั้ง มีบางส่วนขี้ขลาดกลัวตาย กระทั่งหมุนตัวตั้งท่าจะวิ่งหนีน่ากลัว ที่นี่มีคนป่วยอยู่!ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะถูกระบาดเข้าหรือเปล่า! พวกเขากล้าอยู่ต่อกันเสียที่ไหน?ฟู่จาวหนิงก็เหมือนร้ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ตอนนี้ถึงอย่างไรก็ให้แขกเหล่านี้ทั้งหมดวิ่งออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาเอาออกไปลือกัน ก็ไม่รู้ว่าพันธมิตรโอสถจะถูกลือกันไปแบบไหนดังนั้น นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า"คนผู้นี้ใบหน้าเน่าไปแล้ว แต่พวกเจ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นโรคเดียวกับชินอ๋องเซียวหรือไม่ใช่ไหม? ตอนนี้ข้าจะตรวจอาการเขา ข้ายังไม่หนีเลย แล้วพวกเจ้ากลัวอะไรกั
ชายคนนั้นเองก็ถลึงตาโตมองฟู่จาวหนิงด้วยแน่นอนว่าเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของฟู่จาวหนิงมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะมีวันหนึ่งได้มานั่งอยู่ตรงหน้าฟู่จาวหนิงใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังจับชีพจรให้ตนเองอีกด้วยนอกจากนี้ สีหน้าของฟู่จาวหนิงก็เคร่งขรึม แต่ไม่ใช่ความรังเกียจหรือหวาดกลัวแบบที่คนอื่นเห็นเขา ไม่มีความไม่สงบไม่มีความกลัวลนลานเอาแค่จุดนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าฟู่จาวหนิงมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆปากของเขาขยับ อยากจะพูดอะไร ต่อให้หมอเทวดาหลี่มาดูอาการให้เขา หมอเทวดาหลี่ตอนนี้ก็น่าจะสีหน้าไม่สู้ดีนักใครจะไม่รังเกียจเขาบ้าง"คลายจุดใบ้ของเขาเสีย" ฟู่จาวหนิงบอกกับสืออีสืออีไม่ลังเล หนึ่งนิ้วกดหนึ่งการเคลื่อนไหว จัดการคลายจุดใบ้ของชายหนุ่มคนนี้ทันทีไม่รอให้ชายคนนี้เอ่ยปาก ฟู่จาวหนิงก็พูดขึ้นว่า "ในเมื่อเจ้ามาที่นี่เพื่อยา เช่นนั้นก็หมายความว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยากจะรักษาโรคใช่ไหม?"ชายหนุ่มออกแรงพยักหน้าทันทีนี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีชีวิตต่อได้ใครจะอยากตายกัน? ถ้ารักษาโรคได้ ใครจะไม่อยากรักษา?"ในเมื่ออยากจะรักษาโรค เช่นนั้นก็ห้ามอาละวาดอีก ถ้าถามอะไรเจ้าก็ตอบม
ณ เมืองหลวง แคว้นเจาบนถนนที่คึกคักหญิงสาวที่สวมชุดงดงามนางหนึ่งกำลังนำทหารหลายคนของนางไปดักขบวนแห่เจ้าสาวขบวนหนึ่งอย่างดุดัน“หลีกไป นี่คือคุณหนูใหญ่จากตระกูลของหมอเทวดาหลี่ หากว่าพวกเจ้าทำให้คุณหนูไม่พอใจระวังจะเดือดร้อน!” ผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนถนนต่างพากันรีบหลีกทางให้ในทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลง เหล่าชาวเมืองมองไปที่ขบวนแห่เจ้าสาวที่ถูกตกแต่งด้วยความรู้สึกเห็นใจ “นี่เจ้าสาวจากตระกูลไหนกันเนี่ย? ไปทำอะไรให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ขัดใจกัน?”“เจ้าไม่รู้หรือ? วันนี้เป็นวันแต่งงานของรัชทายาทเซียวกับคุณหนูตระกูลฟู่ คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวนั่นก็ต้องเป็นคุณหนูฟู่นั่นแหละ”โครม เกี้ยวเจ้าสาวถูกทหารของตระกูลหลี่ใช้กำลังบังคับให้หยุดลง หลังจากที่เกี้ยวเจ้าสาวเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ก็ได้ยินเสียงตุ๊บดังออกมา คล้ายจะเป็นเสียงของศีรษะที่กระแทกอะไรสักอย่าง“ไปเอาตัวฟู่จาวหนิงมา! แล้วก็ไปถอดชุดเจ้าสาวของนางทิ้งซะ!”คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ชี้นิ้วไปยังเกี้ยวเจ้าสาวก่อนจะสั่งออกมาอย่างวางอำนาจ ทันใดนั้นทหารรับใช้ก็วิ่งไปแล้วยื่นมือไปเปิดม่านบังเกี้ยวเจ้าสาวทันทียายเฒ่าผู้ดูแลพิธีที่ยืนอยู่ด้านข้
สมองจาวหนิงผุดภาพร่างกายที่อ่อนแอของผู้เฒ่าฟู่ขึ้นมาฟู่จาวหนิงกับรัชทายาทเซียวเดิมทีมีการหมั้นหมายอยู่ สุขภาพผู้เฒ่าฟู่เองก็ย่ำแย่ลงทุกวัน ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสามารถเห็นหลานสาวแต่งเข้าจวนตระกูลเซียวได้อย่างราบรื่น ได้มีที่พึ่งพิงในภายภาคหน้า แต่ตระกูลเซียวก็ไม่ยอมเอ่ยเรื่องงานมงคลเสียทีช่วงนี้อาการป่วยของผุ้เฒ่าฟู่ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เขาเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็จะคว้ามือของนางและกังวลเรื่องงานแต่ง ฟู่จาวหนิงก็ร้อนรน ดังนั้นแต่ละวันจึงเอาแต่เซ้าซี้รัชทายาทเซียว หลังถูกปฏิเสธมาหลายครั้ง นางจึงหยิบยกเอาคุณงามความดีที่บิดามารดาของนางเคยช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ออกมาให้องค์จักรพรรดิประทานจัดงานแต่งงานให้รัชทายาทเซียวก็ถูกบีบจนต้องจำใจยอมรับการแต่งงานกับฟู่จาวหนิงเซียวเหยียนจิ่งเองก็เป็นบุรุษรูปงามอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงจริงๆ คิ้วกระบี่ดวงตาดอกท้อ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเชิด รูปหน้ายอดเยี่ยม ร่างสูงโปร่ง เสื้อคลุมสักหลาดพอดีตัวดูสูงส่ง ขับเน้นร่างของเขาออกมาจนตัวดูเป็นคนแต่นิสัยเป็นสุนัขเสียอย่างนั้นไม่แปลกที่หลี่จื่อเหยาหลงใหลเขามาตลอดพอคิดถึงสถาน
เสียงโครมดังขึ้น เซียวเหยียนจิ่งรู้สึกว่าเลือดถูกต้มจนเดือดปุดขึ้นมาถึงกระหม่อม"ฟู่!จาว!หนิง!"เขากัดฟันเอ่ยชื่อฟู่จาวหนิงออกมาทีละคำๆนางกล้าดีอย่างไร จึงกล้ามาหยามหมิ่นเขาเช่นนี้?ชาวบ้านรอบๆ ก็ล้วนตาโตพูดไม่ออกกันหมด จากนั้นจึงมองพวกเขาทั้งสองและพยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่คุณหนูฟู่พูดออกมานั้นถูกต้องเซียวเหยียนจิ่งจ้องนางอย่างเกลียดชัง "ฟู่จาวหนิง เจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน! ข้าตอนนี้จะคอยดู ว่าเจ้าจะไสหัวกลับไปอย่างไร! เจ้าอย่าลืมว่าปู่ของเจ้า ตอนนี้เขาก็เหมือนจะเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วสินะ เจ้าเชื่อไหมว่าพอเจ้าเหยียบเข้าประตูจวนไปและเขารู้ว่าเจ้าถูกถอนหมั้น เขาคงขาดใจตายทันทีแน่?"ฟู่จาวหนิงจ้องเขาตาลุกโชนเซียวเหยียนจิ่งเจ้าผู้ชายขยะ ป่านนี้แล้วยังจะมาคุกคามนางอีก!แต่ฟู่จาวหนิงก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย ผู้เฒ่าฟู่เวลานี้คงทนรับเรื่องแรงๆ ไม่ไหวเซียวเหยียนจิ่งพอเห็นนางไม่โต้กลับ ก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา "แล้วก็ที่เจ้าหยามหมิ่นรัชทายาทอย่างข้าวันนี้ ข้าจดจำไว้หมดแล้ว เจ้าอย่าได้หวังว่าจะหาสามีได้อีก"เขาจะคอยดูว่าตระกูลไหนจะก
"จวนอ๋องเซียว?"ชายหนุ่มในรถม้าพอลิ้มรสสามคำนี้ น้ำเสียงก็เปลี่ยนทันควัน "ไสหัวไปไกลๆ"เซียวเหยียนจิ่งตะลึงงันด้วยโทสะ รู้ถึงตัวตนฐานะเขาแล้ว แต่กลับยังไล่ให้เขาไสหัวไป?"ไม่ได้ยินที่ท่านอ๋องพูดหรือ?" ทหารตบลงที่หัวม้า ม้างามก็ยกเท้าหน้าขึ้นทันที ถีบพัดเซียวเหยียนจิ่งออกไปอย่างแรง"อ๊า!"เซียวเหยียนจิ่งถูกม้าถีบจนปลิว ตกกระแทกลงไปที่หน้าหลี่จื่อเหยาพอดี นางรีบร้อนเข้าไปประคองตัวเขา "พี่เซียว!"นางกระโจนตัวขึ้น ถลึงตาไปทางรถม้าด้วยความโกรธ "อ๋องเจวี้ยนอะไรกัน! คุณหนูอย่างข้าไม่เห็นจะเคยได้ยิน ขนาดพี่ชายองค์รัชทายาทก็ยังรักข้ายอมให้ข้ามาตลอด แล้วเจ้าสูงส่งกว่าท่านพี่องค์รัชทายาทหรือ? ข้าจะบอกเจ้านะ บิดาข้าคือหมอเทวดาหลี่!"ทหารที่เดิมทีชักกระบี่ออกมาแล้วพอได้ยินคำว่าหมอเทวดาหลี่ ท่าทางก็หยุดลงทันที เขาหันหน้าไปมองฟู่จาวหนิง ลังเลขึ้นมา"อ๋องเจวี้ยนจะเสียเวลาอีกไม่ได้ โทษของเจ้าคนโง่ที่ไม่เคารพต่อท่านอ๋อง ข้าจะสั่งสอนนางแทนท่านอ๋องเอง"ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นเสียงขรึม กระชากกระบี่ของทหารออกมา สาวเท้าขึ้นหน้าไปทางหลี่จื่อเหยา ชูกระบี่ แสงเย็นวาบ เสียงแควกดังขึ้น หลี่จื่อเหยารู้สึกหน้าอ
แม่เฒ่าประคองมือของนาง ตื่นเต้นจนเสียงสั่นพร่าไปหมด"พระชายา ท่านเดินดีดีหน่อยสิ ไอ๊หยาท่านดูสิ พรมแดงก็ปูมาอยู่หน้าเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว ที่ประตูยังมีขบวนสาวรับใช้อยู่อีก แต่งกันด้วยเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม นั่นสิเรียกว่าความสุข!""แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเวลาเพียงแค่นี้ จวนอ๋องเจวี้ยนก็จัดการไว้หมดแล้ว"ฟู่จาวหนิงถูกประคองเข้าประตู และได้ยินเสียงตื่นเต้นของแม่เฒ่าพูดกับนางมาตลอดทาง ในใจก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกันหลังจากที่อ๋องเจวี้ยนรับปากจะแต่งงานบนถนน ระหว่างทางพวกเขาคงจะสั่งคนให้รีบกลับไปถ่ายทอดคำสั่งที่จวนอ๋องอย่างแน่นอน จากนั้นจึงจัดการตระเตรียมขึ้นมาให้ตายเถอะ นางประเมินอ๋องเจวี้ยนคนนี้ต่ำไปใช่ไหมนะกอดความสงสัยนี้ ฟู่จาวหนิงถูกประคองมาถึงโถงรับแขกกลางสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากยายเฒ่าผู้ดูแลพิธีการ"ข้าน้อยเฝิ่นซิงคารวะพระชายา""ข้าน้อยหงจั๋วคารวะพระชายา"เสียงหญิงสาวทั้งสองใสกังวาน หลังจากคารวะต่อฟู่จาวหนิงแล้วจึงอธิบายสถานการณ์กับนาง"พระชายา เวลานี้โถงพิธีการกับห้องหอกำลังจัดเตรียม ท่านอ๋องต้องไปเปลี่ยนชุดมงคล ข่าวการแต่งงานต้องเข้าวังเพื
"ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไหม?"ชิงอีหันไปมองอ๋องเจวี้ยนอย่างตึงเครียด"ลากออกไป" อ๋องเจวี้ยนสีหน้าไร้อารมณ์"ขอรับ!"แม่นมทั้งสองคนยังคิดจะตะโกน แต่ก็ถูกกดจุดขมับแล้วลากออกไปชิงอีจึงหมุนตัว มองไปยังใบหน้าของอ๋องเจวี้ยนผาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว และก็มองเห็นด้านหลังอ๋องเจวี้ยนมีฟู่จาวหนิงยื่นหัวออกมา รู้สึกสงสัยอย่างหนักหญิงสาวที่ชิงกระบี่จากมือเขาได้อย่างรวดเร็ว แต่พอเจอกับแม่นมสองคนกลับปอดแหกขึ้นมาหรือ?แต่ว่าพอเขาคิดอีกทีก็ไม่แปลก ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคนของฮองเฮา ฟู่จาวหนิงจะกล้าลงมือกับคนของฮองเฮาได้อย่างไร"ท่านอ๋อง จะกราบไหว้ฟ้าดินไหม" เขาถามขึ้นฟู่จาวหนิงพอได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็เดินออกมาจากด้านหลังอ๋องเจวี้ยน "ดังนั้น พวกเจ้าที่แท้ไม่คิดจะกราบไหว้ฟ้าดินหรอกหรือ?"ชิงอีนิ่งงัน แต่สายตาที่มองนางกลับตกตะลึงขึ้นมาเขาคิดว่าฟู่จาวหนิงที่ไม่กรีดร้องเมื่อครู่ เพราะว่านางยังไม่เห็นใบหน้าของท่านอ๋อง แต่ตอนนี้นางกลับมองท่านอ๋องด้วยสีหน้าปกติ เห็นได้ชัดว่ามองเห็นแล้วนางไม่กลัวแผลเป็นของท่านอ๋องหรือ?"กราบไหว้ฟ้าดิน พิธีแต่งงานใหญ่" อ๋องเจวี้ยนมองฟู่จาวหนิงอย่างลึกซึ้ง "เจ้าแน่ใจว่าจะไ
ชายคนนั้นเองก็ถลึงตาโตมองฟู่จาวหนิงด้วยแน่นอนว่าเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของฟู่จาวหนิงมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะมีวันหนึ่งได้มานั่งอยู่ตรงหน้าฟู่จาวหนิงใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังจับชีพจรให้ตนเองอีกด้วยนอกจากนี้ สีหน้าของฟู่จาวหนิงก็เคร่งขรึม แต่ไม่ใช่ความรังเกียจหรือหวาดกลัวแบบที่คนอื่นเห็นเขา ไม่มีความไม่สงบไม่มีความกลัวลนลานเอาแค่จุดนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าฟู่จาวหนิงมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆปากของเขาขยับ อยากจะพูดอะไร ต่อให้หมอเทวดาหลี่มาดูอาการให้เขา หมอเทวดาหลี่ตอนนี้ก็น่าจะสีหน้าไม่สู้ดีนักใครจะไม่รังเกียจเขาบ้าง"คลายจุดใบ้ของเขาเสีย" ฟู่จาวหนิงบอกกับสืออีสืออีไม่ลังเล หนึ่งนิ้วกดหนึ่งการเคลื่อนไหว จัดการคลายจุดใบ้ของชายหนุ่มคนนี้ทันทีไม่รอให้ชายคนนี้เอ่ยปาก ฟู่จาวหนิงก็พูดขึ้นว่า "ในเมื่อเจ้ามาที่นี่เพื่อยา เช่นนั้นก็หมายความว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยากจะรักษาโรคใช่ไหม?"ชายหนุ่มออกแรงพยักหน้าทันทีนี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีชีวิตต่อได้ใครจะอยากตายกัน? ถ้ารักษาโรคได้ ใครจะไม่อยากรักษา?"ในเมื่ออยากจะรักษาโรค เช่นนั้นก็ห้ามอาละวาดอีก ถ้าถามอะไรเจ้าก็ตอบม
ฟู่จาวหนิงเดินมาถึงตรงหน้าเขา เห็นผ้าคลุมหน้าของเขาดึงลงมาปิดปากอีกครั้ง นางพลิกมือ แล้วก็ไม่รู้ว่าในมือปรากฏมีดเล็กเปล่งประกายเล่มหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรพอนางโบกมือ ก็ใช้มีดเล็กจัดการกรีดผ้าปิดหน้าของชายคนนั้นออก พอผ้าร่วงลงมาก็เผยสภาพของชายคนนี้ให้เห็นใบหน้าเขา ข้างจมูก มีหลายตำแหน่งเน่าไปแล้วจริงๆ ใบหน้าเองก็บวมแดงขึ้นหน่อยๆมีคนเห็นสภาพเขาก็ร้องตกใจออกมา"หน้าของเขาเน่าไปแล้วจริงๆ!""คนคนนี้ติดโรคระบาดไปแล้ว!"ชั่วขณะหนึ่ง คนทั้งหมดล้วนตกตะลึงถอยห่างอีกครั้ง มีบางส่วนขี้ขลาดกลัวตาย กระทั่งหมุนตัวตั้งท่าจะวิ่งหนีน่ากลัว ที่นี่มีคนป่วยอยู่!ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะถูกระบาดเข้าหรือเปล่า! พวกเขากล้าอยู่ต่อกันเสียที่ไหน?ฟู่จาวหนิงก็เหมือนร้ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ตอนนี้ถึงอย่างไรก็ให้แขกเหล่านี้ทั้งหมดวิ่งออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาเอาออกไปลือกัน ก็ไม่รู้ว่าพันธมิตรโอสถจะถูกลือกันไปแบบไหนดังนั้น นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า"คนผู้นี้ใบหน้าเน่าไปแล้ว แต่พวกเจ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นโรคเดียวกับชินอ๋องเซียวหรือไม่ใช่ไหม? ตอนนี้ข้าจะตรวจอาการเขา ข้ายังไม่หนีเลย แล้วพวกเจ้ากลัวอะไรกั
"พระชายา มีคนมาอาละวาดที่นี่"สืออีสือซานวันนี้ตามมาด้วย ไป๋หู่วันนี้พักผ่อนฟู่จาวหนิงตอนนี้ก็รู้ว่าตนเองออกมาข้างนอก ในเมืองหลวงก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย ดังนั้นพอพาสืออีสือซานออกมา นางก็ยังพาเฝิ่นซิงมาด้วยเฝิ่นซิงพอเข้ามาก็ได้ยินชายคนนั้นเอะอะโวยวาย หน้าก็ขรึมลงไปทันทีจากที่นางเห็น พระชายาลงแรงปรุงยาเหล่านี้ คิดเอาไว้อย่างรอบคอบ การให้คนในพันธมิตรมาต้ม ถือว่าพิจารณาเอาไว้รอบด้านแล้ววัตถุดิบยาบวกกับฟืนไฟ แล้วยังมีเงินค่าแรงที่เหล่าพนักงานมาทำให้ หนึ่งชามสิบเหวิน พูดได้ว่าถูกมากแล้วเหล่าประชาชนควรจะรู้สึกว่า่โชคดีจึงจะถูก ทำไมถึงมีคนเข้ามาอาละวาดได้กัน?"สืออีสือซาน เข้าไปดูหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็เห็นชายคนนั้นแล้ว ตอนที่นางหันหน้ามา นางก็เห็นชายคลุมหน้าคนนั้นแล้วนางรีบเสริมเข้ามาให้คำหนึ่ง "ระวังหน่อย อย่าให้ถูกเขาข่วน แล้วก็อย่าโดนเลือดเขาด้วย"ถึงแม้ชายคนนี้พันหน้าไว้อาจจะไม่มีเรื่องอะไร แต่ถึงอย่างไรก็มาซื้อยา แล้วยังแต่งตัวเสียขนาดนี้ นางระวังไว้ก่อนดีกว่า"ขอรับ พระชายา" สืออีกกับสือซานช่วงนี้ตามติดฟู่จาวหนิง แน่นอนว่าเข้าใจความหมายของนางอยู่ทั้งสองคนรีบขึ้นหน้าไปแ
เสียงของชายคนนั้นทุ้มต่ำ ดวงตาก็กวาดมองไปทั่ว ไม่กล้าสบตากับพนักงานตรงๆพนักงานเองก็บอกกฏกับเขาแล้ว"ถ้าท่านคิดจะซื้อ ตอนนี้ก็เอาไปก่อนสามชาม""สามชามจะไปพออะไร? ชามของข้านี่อย่างน้อยก็ใส่ได้ยี่สิบชามเลยนะ! เจ้ารีบเติมให้ข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจกับเจ้าแล้วนะ!""คุณลูกค้า ที่นี่เป็นพันธมิตรโอสถ ขอเตือนท่านอย่ามาก่อเรื่องที่นี่เลย" พนักงานหน้าเริ่มดำขึ้นมาแล้วเขาเห็นที่นี่เป็นร้านขายยาธรรมดา เลยคิดจะทำตัวแบบนี้ได้หรือ?"ข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่ให้เงินเสียหน่อย! พวกเจ้าถือดีอะไรไม่ขายให้ข้า?""ข้าบอกกฏกับท่านไปแล้ว นี่คือกฏที่หมอเทวดาฟู่วางไว้!""หมอเทวดาฟู่? ก็แค่หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินว่าผู้จัดการใหญ่ที่นี่สกิลต่ง ไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะตัดสินใจได้เสียหน่อย! นางถือดียังไงมากำหนดกฏเกณฑ์ในพันธมิตรโอสถ?"น้ำเสียงชายพันหน้าฟังแล้วเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว"ยานี้เป็นหมอเทวดาฟู่ที่ปรุงออกมา ถ้าท่านมาดูถูกหมอเทวดาฟู่ เช่นนั้นก็อย่ามาซื้อยาสิ" พนักงานหัวเราะเย็นชาขึ้นมาคนผู้นี้น่าขำเสียจริง มาซื้อยาที่ฟู่จาวหนิงปรุง แต่กลับดูหมิ่นฟูจาวหนิงหรือ?ยิ่งไปกว่านั้น ใครไม่รู้บ้างว่า
ฟู่จาวหนิงปรับปรุงสูตรยา ใช้วัตถุดิบยาที่หาได้ทั่วไปบางส่วน แล้วตนเองก็ปรับปริมาณให้ จากนั้นทุกวันก็ให้คนของพันธมิตรต้มออกมาสามหม้อใหญ่ แล้วอุ่นบนเตาเอาไว้ตลอดคนที่มาซื้อยาเหล่านั้น สามารถใช้ชามของพันธมิตรโอสถ ตอนที่ดื่มเสร็จแล้ว ก็เอาชามกลับมาได้ตอนแรก ต่งฮ่วนจือรู้สึกว่ายาน้ำเช่นนี้ไม่น่าจะขายออก แล้วยังตั้งสามหม้อใหญ่แน่ะ หม้อนั้นก็ใบมโหฬารเลยทีเดียว เป็นหม้อใหญ่ที่เอาไว้ต้มข้าวต้มให้ผู้ประสบภัยตอนช่วงเกิดภัยพิบัติสมัยก่อนยาน้ำสามหม้อใหญ่เต็ม สามารถขายได้หลายร้อยชามแล้ววันเดียวจะขายออกได้หรือ? มีคนมากมายจะมาดื่มยาน้ำขนาดนี้เลยหรือ? ถึงอย่างไรเจ้านี่ก็ไม่ใช่ของดีอะไรมากถ้าขายไม่หมดก็ต้องเททิ้ง สิ้นเปลืองวัตถุดิบยาแย่แต่ผู้อาวุโสจี้ก็ตัดสินใจทันที ให้ผู้ดูแลของพันธมิตรโอสถจัดการเรื่องนี้ผลคือพอปล่อยชื่อเสียงของฟู่จาวหนิงออกไป คนที่มาดื่มยาก็ยังมากกว่าตามโรงน้ำชาหอสุราเสียอีกยาน้ำสามหม้อใหญ่ ขายหมดเกลี้ยงภายในวันเดียววันถัดมา ก็ขายขายหมดเหมือนเดิม กระทั่งมีคนไม่ได้ดื่มด้วยซ้ำ มาถามพวกเขาว่าขายยาไปต้มกินเองเลยได้ไหมแต่ฟู่จาวหนิงก็มีวิธีของนางอยู่ยาชนิดนี้ทำได้แค่ป้
ต่อมาหมอเทวดาหลี่ก็ทำหน้าขรึมคุกคามสาวใช้สองคนนั้น ถ้ายังไม่รับใช้ปรนนิบัติดีดี ก็จะขายพวกนางทั้งสองคนไปที่ซ่องโสเภณีเสียสาวใช้สองคนจึงร้องไห้ฟูมฟายเข้ามารับใช้ปรนนิบัติองค์จักรพรรดิเองก้ได้ยินเรื่องเลห่านี้ของจวนชินอ๋องเซียวแล้ว"บอกไปแล้วว่าจวนชินอ๋องเซียวต้องคอยระวังไม่ให้เข้าออก หมอเทวดาหลี่กับชินอ๋องเซียวนี่มัน..."เขาทำหน้าขรึม รู้สึกว่าตนเองไม่มีบารมีเอาเสียเลย จวนอ๋องเจวี้ยนก็ไม่เชื่อฟัง ตอนนี้จวนชินอ๋องเซียวเองก็ด้วยหรือ? ใครให้หน้าพวกเขากันถ้าไม่ใช่เพราะเขาอันที่จริงก็กลัวเจ้าโรคนั้น ตอนนี้คงเรียกเซียวเหยียนจิ่งมาด่ากราดให้เลือดซิบไปแล้ว"ตอนนี้หลี่จื่อเหยาในเมื่อถูกหมอเทวดาหลี่รับไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้เขาไปรักษาให้ดี ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าเขาจะรักษาเจ้าโรคนี้ได้หรือเปล่า!""องค์จักรพรรดิ พระชายาอ๋องเจวี้ยนทางนั้นต้มยาน้ำออกมา ตอนนี้สามารถป้องกันล่วงหน้าได้แล้ว หาซื้อได้ในพันธมิตรโอสถ หนึ่งชามสิบเหวิน" มีคนเข้ามารายงานกับองค์จักรพรรดิ"หนึ่งชามสิบเหวิน?" องค์จักรพรรดิใจสั่นกึก "แล้วได้ผลจริงไหม?""นี่ก็ยังไม่รู้ แต่คนที่ไปซื้อยานั้นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะคนที่เคยสัมผัสกั
จวนชินอ๋องเซียวกลายเป็นขี้ปากคนทั้งเมืองไปแล้วเซียวเหยียนจิ่งอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ แต่ยิ่งปิดกลับยิ่งรุนแรงขึ้นกระทั่งเพราะเขาไปพยายามปิดข่าวลือ เลยมีคนบอกว่าเขาถูกพ่อสวมเขาให้เสียแล้ว หน้าตาป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี และเพราะกลัวคนจะมาล้อเลียนว่าบ้า ดังนั้นจึงพยายามอย่างหนักที่จะหยุดข่าวลือนี้ข่าวลือคาวๆ แบบนี้ ลือกันได้ไวที่สุด และลือกกันไปอย่างพิลึกพิลั่นที่สุดด้วยหลี่จื่อเหยาตอนนั้นมาพัวพันเซียวเหยียนจิ่ง ทำทุกทางเพื่อทำลายพิธีแต่งงานของเซียวเหยียนจิ่งกับฟู่จาวหนิง นางตอนนั้นเอาแต่เรียกเขาว่า "พี่เซียว" ปาวๆ แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปสองปี ทำไมจึงปีนไปถึงเตียงของพ่อพี่เซียวแล้วกัน?"ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้หลี่จื่อเหยาเป็นโรคระบาดนั่น รัฐทายาทเซียวก็คงจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว""เมื่อเป็นแบบนี้ จวนชินอ๋องเซียวคงจะวุ่นวายขึ้นจริงๆ แล้ว""แล้วไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็โชคดีแล้วที่พระชายาอ๋องเจวี้ยนตอนนั้นไม่ได้แต่งงานเข้าจวนชินอ๋องเซียว นี่ถือว่าแคล้วคลาดเลยสินะ?"ในเมืองหลวงทุกที่มีแต่คนกระซิบกระซาบกันเช่นนี้ แต่คนที่พูดถึงฟู่จาวหนิงก็มีแค่ส่วนน้อยถึงอย่างไรตอนนี้ฟู่จาวหนิงก็เป็นพระชายาอ๋องเจว
เซียวเหยียนจิ่งรู้สึกว่าตอนนี้ถ้าให้คนนอกรู้เรื่องที่หลี่จื่อเหยาเป็นโรคนี้เข้า คงจะน่าอับอายมากโดยเฉพาะหลี่จื่อเหยาที่ติดโรคระบาดนั้นดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเก็บให้สนิท ห้ามเผยแพร่ออกไปเด็ดขาดแต่คนอื่นกลับไม่คิดแบบเขาอย่างเช่นเซียวหลันยวนจังหวะที่หมอเทวดาหลี่กลับมาถึงเมืองหลวง เซียวหลันยวนก็ได้รับข่าวแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องที่เซียวเหยียนจิ่งไปรับหมอเทวดาหลี่เลยถึงแม้จะผ่านไปสามปีแล้ว แต่เรื่องที่หลี่จื่อเหยากับเซียวเหยียนจิ่งทำกับฟู่จาวหนิง เซียวหลันยวนไม่เคยปล่อยผ่านโดยเฉพาะที่ช่วงนี้เซียวเหยียนจิ่งเริ่มหันมาสนใจฟู่จาวหนิงอีกครั้งหลังจากสามีภรรยาฟู่จิ้นเชินกลับมา เซียวเหยียนจิ่งก็ยังแอบคิดจะทำอะไรอีก สิ่งนี้เซียวหลันยวนจะทนได้อย่างไร?ดังนั้นหลังจากที่หมอเทวดาหลี่รับลูกสาวออกไปจากจวนชินอ๋องเซียว เซียวหลันยวนก็ได้รับข่าวแล้ว"ท่าน อ๋อง จากที่หญิงรับใช้ร่างใหญ่ในเรือนหลี่จื่อเหยาบอก หลี่จื่อเหยาไปรื้อเตียงของชินอ๋องเซียวเข้า..."องครักษ์ลับมารายงานข่าวที่ได้รับมากับเซียวหลันยวนฟู่จาวหนิงนั่งฟังอยู่ข้างๆ พอได้ยินเช่นนี้นางก็หัวเราะพรวดออกมานี่มันช่าง...นางยังอยากจะพ
ต่อให้ชินอ๋องเซียวติดโรคระบาด ถ้าตอนนี้ฟู่จาวหนิงเป็นภรรยาเขา พวกเขาก็คงไม่ต้องมากลัวแบบนี้!ไม่เห็นว่าเซียวหลันยวนที่ถูกส่งไปขังในคุกใหญ่ตั้งหลายวัน จนป่านนี้ก็ยังเรียบร้อยดีไม่เป็นอะไรหรือ?จวนอ๋องเจวี้ยนก็ถูกองค์จักรพรรดิบอกว่าห้ามออกไปข้างนอกส่งเดชเหมือนกัน แล้วดูตอนนี้สิ?ฟู่จาวหนิงไม่ใช่ว่าอยากออกไปไหนก็ออกได้หรือ?ฟู่จาวหนิงแบบนั้น เขาอยากได้มาจริงๆ!ถ้าตอนนั้นไม่มีหลี่จื่อเหยา ตอนนี้ฟู่จาวหนิงก็เป็นพระชายารัฐทายาทของเขาแล้ว ไม่ใช่ขยะอย่างหลี่จื่อเหยาคนนี้!พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ในสายตาเซียวเหยียนจิ่งที่มองหลี่จื่อเหยาก็มีแต่ความเกลียดชังหลี่จื่อเหยาสบกับสายตาของเขา ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือก ใจนางเย็นวาบไปทันทีนี่คือพี่เซียวที่นางรักมาหลายปีหรือ? ถึงแม้สองปีนี้จะทะเลาะกับเขาอย่างหนัก แต่ตอนนี้เอง นางเพิ่งรู้สึกถึงความหนาวเย็นจนเสียดกระดูกหลี่จื่อเหยาเองก็เกลียดเซียวเหยียนจิ่งขึ้นมาทันทีเช่นกัน"ท่านอยากจะส่งข้าออกไป ข้าจะไม่..." ออกไปหรอกนางยังพูดไม่ทันจบ เซียวเหยียนจิ่งก็ตัดบทนางแล้ว มองไปทางหมอเทวดาหลี่ "ถัดจากนี้ในเมืองหลวงอาจจะเกิดการแตกตื่นกลัวกันเพร