"ท่านอ๋อง พระชายา กินข้าวเจ้าค่ะ"หงจั๋วเข้ามาเชิญพวกเขาไปกินข้าวบทสนทนาของฟู่จาวหนิงกับเซียวหลันยวนจึงตัดบทไปก่อนตอนนี้ก็ค่อนข้างมืดแล้ว เดิมทีฟู่จาวหนิงไม่ค่อยอยากกิน นางปกติจะกินข้าวเย็นไวหน่อย และกินน้อยลงหน่อย ตอนนี้เลยเวลากินข้าวเย็นปกติของนางไปนานมากแล้ว แต่ว่าเซียวหลันยวนจะลากให้นางไปกินด้วยกัน นางก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาหลับไปหนึ่งวัน ในคุกนั่นก็ไม่มีอะไรให้กิน ตอนนี้จึงหิวมากๆคนในจวนอ๋องรู้ว่าท่านอ๋องลุกขึ้นมากินข้าวแล้ว ก็ทยอยกันโล่งใจวันนี้พวกเขากังวลมากต้องรู้ด้วยว่าตอนเช้าพระชายาจู่ๆ ก็พาท่านอ๋องที่สลบไปแล้วกลับเข้ามา ให้พวกเขาปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ทำเอาพวกเขาตกอกตกใจกันไปหมดท่านอ๋องหลับไปหนึ่งวัน คนในจวนอ๋องก็อยู่ไม่สุขไปหนึ่งวันพวกเขาล้วนรอให้ท่านอ๋องฟื้นขึ้นมา และกำลังรอพระราชโองการลงโทษจากในวังด้วย...ถึงอย่างไรท่านอ๋องตอนนี้ก็ควรจะถูกขังอยู่ในคุก พระชายานำเขากลับมาโดยพลการ องค์จักรพรรดิถ้าตอนนี้รับสั่งลงโทษมาอีก ท่านอ๋องที่กำลังสลบอยู่ พระชายาไม่ต้องไปรับแทนหรือ?ดังนั้น ทุกคนจึงไม่สงบใจและเครียดมาก ถึงตอนนี้ก็ยังแทบไม่ได้กินอะไรกัน แต่ละคนดูอ่อนล้ามากแ
"พรวด เหมือนพวกเขาจะกลัวว่าท่านจะระบาดโรคพวกนั้นนะ""พวกเรากลับเรือนโยวหนิงไหม?" เซียวหลันยวนดึงฟู่จาวหนิง เขาไม่อยากแยกกับนางฟู่จาวหนิงยังอยากจะทำอะไรอีกหนอ่ย อยากจะแยกเรือนกับเขาสักสองสามวัน แต่เซียวหลันยวนยอมที่ไหน ออกแรงพานางกลับไปหลังจากกลับเรือนโยวหนิง ฟู่จาวหนิงก็มองเซียวหลันยวน "คืนนี้ข้าจะออกไปทำอะไรหน่อย"เดิมทีนางคิดจะถือโอกาสที่อยู่ในเรือนเจียนเจียคนเดียว เข้าออกสะดวกหน่อยไม่ต้องให้เขารู้ แต่เขาไม่ยอมให้นางอยู่คนเดียว นางจึงทำได้แค่พูดตรงๆแล้วเซียวหลันยวนดึงนางลงนั่ง "เดิมทีเจ้ามีแผนอะไรหรือ?"ฟู่จาวหนิงกลอกตา"คนคนทำกับท่านขนาดนี้ ท่านเองก็เป็นคนของข้า ข้าจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร? ต้องเอาคืนด้วยวิธีเดียวกันสิ"นางไม่คิดจะปล่อยชินอ๋องเซียวไว้"นักโทษคนนั้นในคุก...""พวกเขาจะต้องมาจัดการแน่ แต่ข้าคิดว่า คนๆ นั้นในเมื่อพวกเขาลงแรงไปหามาแล้ว ก็อย่าให้สิ้นเปลืองเลย แม้ว่าคนจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด"พูดถึงจุดนี้ สีหน้านางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยวันนี้นางทุ่มอยู่แต่บนตัวเซียวหลันยวน ตอนนี้พูดถึงจุดนี้ จู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาได้ ว่านงมองข้าคนตระกูลฟู
ถุงผ้าที่แอบยัดเข้าไปในบ้านตระกูลฟู่ เดิมทีไม่น่าจะถูกพบเร็วขนาดนี้เพราะของสิ่งนั้นถูกซ่อนอยู่ในของขวัญที่คนเหล่านั้นส่งเข้ามา แล้วยังเปลี่ยนคนอีกด้วยหรือก็คือมีคนกลุ่มหนึ่งเอาของส่งมาที่บ้านตระกูลฟู่ก่อน จากนั้นก็มีคนกลุ่มที่สอง ตอนที่ทั้งคึกคักและวุ่นวายนั้น ก็มีคนแอบเอาถุงผ้านั่นยัดเอาไว้ในจุดที่ไม่ดึงดูดสายตาฟู่จิ้นเชินกลับเสิ่นเชี่ยวกลับเมืองหลวง กลับบ้านตระกูลฟู่ ก็มีคนเข้ามาเยี่ยมเยือนกันไม่ขาดสายหลายวันไม่ว่าจะเป็นใคร เป้าหมายอะไร ฟู่จิ้นเชินหากคิดจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงในช่วงสิบปีนี้ให้เร็วที่สุด เขาต้องไม่ปฏิเสธการมาเยี่ยมของคนเหล่านี้คนเก่าแก่มาเยี่ยมเยียน ยังสามารถช่วยตรวจสอบความจริงในครั้งนั้นได้แม้จะยืนยันแล้วว่าพิษครั้งนั้นไม่ใช่เสิ่นเชี่ยวที่เป็นคนวาง แต่พวกเขายังต้องหาคนวางยาตัวจริงอีกรู้ว่าอีกฝ่ายคือลัทธิเทพทำลายล้าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครถ้าจับออกมาได้ บางทีอาจจะรู้ไปที่รังที่ซ่อนของลัทธิเทพทำลายล้างและนั่นถึงจะสามารถปลดปมที่อยู่ระหว่างพวกเขาและอ๋องเจวี้ยนได้แต่ว่าเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่อย่างเช่นวันนี้ที่ถูกคนแอบส่งของเข้ามา นี่ก็คือหน
ดังนั้น ฟู่จิ้นเชินจึงให้เขามาด้วยตนเอง มาถามนางดูว่ามีปัญหาอะไรแต่ว่ากลัวจะระบาดไปถึงนาง เขาเองก็เตือนจงเจี้ยนว่าอย่าเข้าใกล้นาง"เจ้าปิดปากไว้ตลอด และไม่ได้ใช้มือไปจับเสื้อผ้านั้นใช่ไหม?" ฟู่จาวหนิงถาม"ไม่ขอรับ ผ้าที่พันมือก็ทิ้งกับเผาแล้วด้วย" จงเจี้ยนบอก"เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่ากินยาลูกกลอนนี้ให้วางใจหน่อยดีกว่า" ฟู่จาวหนิงเข้าไปหยิบยา คิดจะส่งไปให้เขา"พระชายาโยนออกมา ข้าน้อยรับได้" จงเจี้ยนรีบห้ามนางไว้ฟู่จาวหนิงชะงัก โยนยาออกไปจงเจี้ยนหลังจากรับยาแล้วก็กินลงไป ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย"ข้าจับชีพจรให้เจ้าก็แล้วกัน" ฟู่จาวหนิงบอก"ไม่ต้องหรอก พระชายา ข้าไม่ได้แตะจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สัมผัสจริง ก็คงไม่ได้ติดง่ายขนาดนั้นหรอกกระมัง?""อืม ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น""เสื้อผ้านั้นสีอะไร รูปร่างอย่างไร ลองบอกมาหน่อย" เซียวหลันยวนน้ำเสียงขรึมลงเล็กน้อยจงเจี้ยนบรรยายออกมารอบหนึ่งหลังจากพวกเขขาได้ยินสีหน้าก็เย็นลงมายืนยันแล้ว ว่านี่คือชุดของชายที่ป่วยตายในคุกคนนั้นคิดไม่ถึงว่าขนาดคนตายไปแล้ว ชินอ๋องเซียวก็ยังคิดแผนทำร้ายแบบนี้ออกมาได้ ถอนเสื้อผ้าเขาออกมา แล้วส่งไปในบ้า
ฟู่จาวหนิงไม่ใช่เป็นแค่วิชาแพทย์ แต่ยังมีอุปกรณ์ขี้โกงอย่างห้องเภสัชด้วย ถ้าเช่นนี้ยังทำให้ตัวเองติดกับง่ายๆ ก็แย่แล้วยิ่งไปกว่านั้น จงเจี้ยนตอนที่หิ้วเสื้อผ้าห่อนั้นก็ระมัดระวังมากแล้ว มันจะไปหนักหนาขนาดนั้นได้อย่างไรกันถ้าเป็นเช่นนี้จริง ชายคนนั้นก็ไม่รู้วา่ระบาดใส่คนไปตั้งเท่าไรแล้ว ยังต้องให้ชินอ๋องเซียวไปค้นไปหาตัวเขาด้วยเหรอถ้าหากบอกว่ามีอันตราย ลูกน้องชินอ๋องเซียวพวกนั้นคงจะติดกันไปหมดแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาพาคนเข้าไปในคุกนะ นั่นก็ต้องสัมผัสไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วเซียวหลันยวนเห็ฯว่าจงเจี้ยนยังลังเลหน่อยๆ จึงทำหน้าเย็นชา "ต้องให้พระชายาพูดอีกสักกี่ครั้ง?"ให้ตายเถอะ พอเห็นลูกน้องของตัวเองมาทำให้ฟู่จาวหนิงกังวล เรื่องเล็กๆ ก็ยังต้องมาใกล้ชิดกัน ทำไมในใจเขาถึงไม่สบายใจแบบนี้น่าโมโห หน้าอกก็อึดอัดดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งไม่กังวลฟู่จาวหนิงเสียอย่างนั้นพอได้ยินท่านอ๋องพูดเช่นนี้ จงเจี้ยนจึงเดินเข้ามาในเรือนฟู่จาวหนิงหยิบของออกมายื่นส่งให้เขา และสอนเขาว่าใช้งานอย่างไร"นี่คือถุงมือ นี่คือที่ปิดปาก สวมเอาไว้"ของเหล่านี้จงเจี้ยนเคยเห็นฟู่จาวหนิงใช้ ดังนั้นพอรับไปแล้วก็สวมเ
น่าเสียดายที่ชายคนนี้กล้ามเนื้อแข็งปั๋ง หยิกไม่ค่อยเข้านางถลึงตามองเขา"ท่านพักผ่อนไปก่อน ข้าจะไปสกัดยา" นางหมุนตัวเดินไปที่ห้องหนังสือเซียวหลันยวนห้ามนางไว้ทันที"มืดขนาดนี้แล้วยังจะไปสกัดยาอีกหรือ?""ตอนนี้ยังไม่ง่วง แล้วตอนนี้ข้าก็มีอารมณ์หน่อยๆ ด้วย""สกัดยาอะไร?""ในเมื่อมีโรคนี้ปรากฎขึ้นแล้ว ก็ต้องเตรียมร่มก่อนฝนตก ข้าจะไปสกัดยาที่เอาไว้รักษาโรคนี้ออกมา"นี่ไม่ใช่ว่าต้องกันไว้ก่อนหรือ?พิษหลายชนิดบนตัวชายคนนั้นพอผสมอยู่ด้วยกันจึงเกิดพิษชนิดใหม่ ถ้าหากป่วยขึ้นมาจริงๆ ผู้ป่วยคงจะทรมานเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้นหมอที่นี่ก็ยังรักษาไม่ได้ด้วยก่อนที่ชินอ๋องเซียวจะไปเจอเข้า ก็ไม่รู้ว่าสัมผัสกันไปแล้วตั้งกี่คน ตอนนี้ในเมืองหลวงไม่แน่ว่าจะไม่มีผู้ป่วยคนอื่นดังนั้นฟู่จาวหนิงจึงตัดสินใจว่าจะสกัดยาออกมาเสียก่อน เผื่อต้องใช้จะได้ใช้ได้ทันทีไม่เช่นนั้นจะช้าเกินไปชายคนนั้นป่วยรุนแรงมาก ยิ่งไปกว่านั้นพอบวกกับโดนความหนาว ก็เลยตายไปทันที"พรุ่งนี้ค่อยไปสกัดเถอะ" เซียวหลันยวนรู้สึกว่าแบบนี้มันเหนื่อยเกินไป อยากให้นางพรุ่งนี้ค่อยไปสกัดยาฟู่จาวหนิงยังยืนหยัดอยู่ เซียวหลันยวนจึงอุ้มคน
"เสียมารยาทแล้ว"เซียวหลันยวนให้ขุนพลองครักษ์มาคุยเพียงลำพังมีคนส่งชาร้อนเข้ามาที่นี่ค่อนข้างลับพราง ไม่มีคนเดินเข้ามา รอบๆ เงียบสงบแต่กลับอยู่ใกล้วังจักรพรรดิมากอันที่จริงในวังจักรพรรดิก็ยังมีตำหนักที่เตรียมไว้ให้สำหรับองครักษ์เงามังกร แต่เพราะตอนนี้อำนาจการควบคุมองครักษ์เงามังกรอยู่ในมือเซียวหลันยวน ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงพูดไว้นานแล้ว ว่าพวกเขาอยู่ในนั้นมันไม่เหมาะสมตอนแรกองค์จักรพรรดิให้โจทย์ยากกับเซียวหลันยวน บอกว่าองครักษ์เงามังกรจะอยู่ในตำหนักเงา แต่ก็ห้ามอยู่ห่างจากวังจักรพรรดินักไม่ว่าอย่างไร โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาก็ยังต้องรับผิดชอบคุ้มครององค์จักรพรรดิอยู่ดีองค์จักรพรรดิกำลังคิด พอเป็นเช่นนี้ขอบเขตก็จะหดเล็กลง ถึงตอนนั้นค่อยส่งคนไปหาสถานที่พักกับที่ฝึกขององครักษ์เงามังกร แล้วค่อยส่งคนไปจับตาดูเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับองครักษ์เงามังกรอยู่ใต้หนังตานี่แล้วน่าเสียดาย หลายปีมานี้ คนขององค์จักรพรรดิก็ยังหาไม่เจอมาโดยตลอดแน่นอนว่าเขาเคยส่งสัยว่าเซียวหลันยวนไม่ได้จัดองครักษ์เงามังกรให้พักอยู่ใกล้ๆ วังจักรพรรดิ ดังนั้นจึงยังเคยออกคำสั่งโจมตีกะทันหัน ให้เขาส่งองครั
ดังนั้น การเลือกข้างและการเคลื่อนไหวเบื้องหลังองครักษ์เงามังกร พวกเขาก็น่าจะจัดการไว้หมดแล้ว"ท่านอ๋อง ตอนนี้คำสั่งลับที่สองยังไม่มีผล" ขุนพลองครักษ์พูดขึ้นมาคำหนึ่ง"จะมีผลหลังจากที่ข้าตายสินะ?"ขุนพลองครักษ์ได้ยินคำพูดนี้ก็นิ่งงันเช่นนั้นเขาก็เดาออกแล้วเซียวหลันยวนวางถ้วยชาลง เคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ ครู่ต่อมาจึงลุกขึ้นืน เดินไปที่ริมหน้าต่าง มองหิมะที่ยังตกอย่างเงียบงันด้านนอก"ตอนนั้นไท่ซ่างหวงพาเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้า อันที่จริงเจ้าเพิ่งปฏิบัติภารกิจหนึ่งเสร็จสิ้น พาองครักษ์เงามังกรไปสิบคน สิบคนนี้ของพวกเจ้าล้วนบาดเจ็บหนัก"เสียงเรียบๆ ของเซียวหลันยวนดังลอดเข้าไปในหูของขุนพลองครักษ์ เขาตกตะลึงไป มองไปยังร่างสูงใหญ๋ที่อยู่ข้างหน้าต่าง"ท่านอ๋องรู้ด้วยหรือ?"ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรกัน?ตอนนั้นเขาเพิ่งจะสี่ขวบเองนะสี่ขวบ ยังเป็นเด็กอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นสุขภาพอ๋องเจวี้ยนก็ย่ำแย่มาก แค่ขยับตัวก็จะเป็นลม เขาตอนนั้นน่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยและไม่น่ามาสนใจด้วยตอนที่ไท่ซ่างหวงส่งพวกเขาให้กับมือของอ๋องเจวี้ยน อ๋องเจวี้ยนที่ยังเล็กยังถามเขาอย่างไร้เดียงสา: พวกเจ้ามาปกป้องข้าหรือ?ข
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้