แสงจันทร์ลอยสูงเหนือยอดต้นไห่ถัง แสงสีเงินของจันทร์ดวงโตส่องผ่านหมู่เมฆบาง ๆ ทาบทับลงบนทิวทัศน์ที่ชวนหลงใหล ฤดูใบไม้ผลิทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย พัดไล้ผ่านผิวกายของลู่อิง หญิงสาวผู้มีความงามอ่อนโยนประดุจดอกไม้แรกแย้ม นางยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเล็ก ชุดสีอ่อนที่สวมใส่ขับเน้นผิวพรรณให้ดูนวลกระจ่างภายใต้แสงจันทร์ บัดนี้ เมื่อยืนท่ามกลางแสงนั้น นางยิ่งแลดูงดงามชวนมองยิ่งขึ้น
ลู่อิงเป็นนางกำนัลขององค์หญิงหยางจู ที่ออกมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นอกค่ายทหารกับบุรุษผู้ที่ต้องแสดงตนว่าเป็นสามี เวลานี้นางกำลังรอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจเย็น ร่างบอบบางยืนห่อตัวเล็กน้อยเมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน ทว่าแม้ลมจะเย็นปานใด ก็ยังพัดเอาดอกไห่ถังลอยละล่องตามทางเบา ๆ
นางเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมรอยยิ้ม มือขาวสะอาดของนางยกขึ้นรับดอกไห่ถังที่ปลิวลงมา กลีบดอกนุ่มนวลเมื่อสัมผัสกับปลายนิ้ว ยามที่ดอกไม้อยู่ในฝ่ามือ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากมันก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“เหตุใดยังไม่นอนอีก” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เซี่ยหานปิงเดินมาถึงเงี
เซี่ยหานปิงออกจากบ้านไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ลู่อิงอยู่เพียงลำพังในบ้านก็ได้แต่หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้แม้จะอยู่ติดชายแดน หลายสิ่งหลายอย่างขาดแคลน แต่ก็เงียบสงบ ชาวบ้านทุกคนต่างรู้จักกันดีและเต็มไปด้วยความเป็นมิตรลู่อิงกับเซี่ยหานปิงต่างถูกเข้าใจว่าเป็นคู่แต่งงานใหม่ที่เพิ่งพากันย้ายมาจากเมืองหลวงเพราะถูกทางครอบครัวกีดกัดความรักแม้จะเพิ่งย้ายมาไม่นาน ลู่อิงก็กลายเป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้าน เนื่องเพราะนางมีนิสัยอ่อนโยน และร่าเริงเป็นกันเอง ผู้คนต่างชื่นชอบนาง ยามเมื่อเดินผ่านบ้านหลังไหนก็มีแต่รอยยิ้มและคำทักทายยามที่นางอยู่คนเดียว บางทีก็อดรู้สึกเหงาและเบื่อไม่ได้ โชคดีที่นางมีความรู้ทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง วันนี้นางจึงตัดสินใจออกไปหาสมุนไพรในป่า ระหว่างทางเจอชาวบ้านไม่น้อย หากบางคนรู้จักก็เข้ามาพูดคุยแบ่งปันสมุนไพรกันลู่อิงเดินเก็บสมุนไพรจนเกือบครึ่งค่อนวัน แสงดวงอาทิตย์ที่เคยทอแสงอ่อน ๆ ในยามเช้าบัดนี้ลอยสูงอยู่กลางศีรษะ ทำให้อากาศเริ่มร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงตัดสินใจไปพักใต้ร่มไม้ใหญ่ริมลำธารที่ใสสะอาด เสียงน้ำไหลเบา ๆ ขับก
ลู่อิงลืมตาขึ้นมา รู้สึกถึงความแห้งผากในลำคอจนทำให้นางไอออกมาเบา ๆ นางพยายามขยับตัวช้า ๆ เสียงสวบสาบของผ้าห่มทำให้หญิงนางหนึ่งรีบเข้ามาประคองนางขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวล“แม่นางลู่อิงเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน” หญิงนางนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางคือ ฮูหยินจาง ภรรยาเจ้าของโรงหมอ ซึ่งลู่อิงจำได้อย่างแม่นยำ“ฮูหยินจาง นี่ข้า...”“เจ้าโดนงูกัดน่ะ ดีนะเซี่ยหานปิง สามีเจ้าพากลับมาได้ทันเวลาพอดี ตอนมาถึงพิษงูก็ลดลงไปมากแล้ว”“เซี่ยหานปิง...” ลู่อิงพึมพำเบา ๆ ความสับสนและความแปลกใจผุดขึ้นในใจ นางจำได้เลือนรางว่าตนเองออกไปหาสมุนไพรในป่า และถูกงูกัด หลังจากนั้นก็มีใครบางคนมาช่วยนางไว้ หรือว่า...จะเป็นเขา?“ก็ใช่น่ะสิ เอาล่ะ อย่าพูดมากเลย นอนพักก่อนดีกว่า ข้าจะไปตามสามีมาดูอาการ” ฮูหยินจางพูดพลางยิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนจะค่อย ๆ พยุงลู่อิงลงนอนอีกครั้ง“ขอบใจฮูหยิน” ลู่อิงตอบอย่างอ่อนแรง นางนอนลงอย่างเชื่อฟัง แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัยปนกับความรู้สึกหลากหลาย หากคนที่มาช่วยนางคือเซี่ยหานปิงจริง ๆ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่ไหน เขามาช่วยนางได้ทันเวลาพอดีได้อย่างไรแต่ขบคิดไปได้ไม่นานนัก ฮูหยินจางก็กลับม
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เซี่ยหานปิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาสวมชุดผ้าไหมสะอาดสีดำที่มีกลิ่นหอมของดอกไห่ถังอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ลู่อิงใช้อบเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ขณะนั้นฮูหยินจางกำลังป้อนน้ำแกงรากบัวให้ลู่อิงพอดีเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา“เซี่ยหานปิง” ฮูหยินจางเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน“อืม...นางเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะพยายามซ่อนมันไว้“ดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่ ตาเฒ่าจางบอกว่าพักอีกสักสองสามวันก็คงหายดี” ฮูหยินจางตอบ“เช่นนั้น...”“เช่นนั้นท่านก็ป้อนน้ำแกงนี้ให้นางเถอะ ข้าจะไปดูยาต้มเสียหน่อย” ฮูหยินจางกล่าวตัดบท นางพอจะดูออกว่าสองสามีภรรยาห่างเหินกันยิ่งนัก ทั้งเมื่อวันก่อนตอนที่ลู่อิงถามถึงสามีกับนาง นางยังทันได้เห็นใบหน้าน้อยอกน้อยใจนั้นด้วย“แต่ข้า...”“เอาเถอะ ๆ ท่านป้อนนางไปดี ๆ แล้วกัน” ฮูหยินจางรีบยัดถ้วยน้ำแกงใส่มือของเซี่ยหานปิง ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งความกระอักกระอ่วนไว้ระหว่างสองสามีภรรยาเซี่ยหานปิงมองถ้วยน้ำแกงในมือด้วยความลังเลทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ถนัดเรื่องการดูแลคนป่วยนัก ลู
“หามิได้ เพียงแต่แม่นางลู่ลืมแล้วว่าเรามีภารกิจอันใด ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าไม่มีเวลาดูแลท่านได้ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น”“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเช่นนี้”ลู่อิงนอนนิ่งบนเตียง ความคิดสับสนวุ่นวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าภารกิจที่นางและเซี่ยหานปิงได้รับนั้นสำคัญเพียงใด การที่ทั้งสองต้องปลอมตัวมาอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่วางมาอย่างรอบคอบ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับ องค์หญิงหยางจู ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเป็นทหารรับใช้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานผู้ซึ่งนางแอบมีใจองค์หญิงหยางจู แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ นางเลือกที่จะเสี่ยงต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นชาย เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับมู่หรงเซียวหนานในฐานะทหารรับใช้ เพื่อหวังว่า ความใกล้ชิดและการอุทิศตนจะช่วยให้ท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมผู้นี้รู้สึกถึงความรักที่นางมีให้ลู่อิงชื่นชมความรักมั่นขององค์หญิงหยางจู และสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงของนางตัดสินใจทำเช่นนั้นเพราะ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะให้องค์หญิงหยางจูอภิเษกกับองค์ชายจากต่างแคว้นเพื่อเชื่
ลู่อิงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันที่หมู่บ้านมีเทศกาลล่าไก่ป่า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักของชาวบ้าน เด็กน้อยชายหญิงวิ่งถือขนมหวานน้ำตาลปั้น ส่งเสียงหัวเราะสดใสทั่วทั้งบริเวณ ลู่อิงยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นความมีชีวิตชีวานั้น นางเองก็มาช่วยฮูหยินคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมอาหารในกระโจมใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ชายก็ออกไปล่าไก่ในป่าตามธรรมเนียมของเทศกาลแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความกังวลบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของลู่อิงองค์หญิงหยางจูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?องค์หญิงของนางอยู่ในค่ายทหารท่ามกลางความอันตรายโดยปลอมตัวเป็นทหาร คงเหน็ดเหนื่อยและลำบากมิใช่น้อย ลู่อิงคิดขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น นางจึงรีบไปหาเซี่ยหานปิงราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งขัดหัวลูกธนูเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมเทศกาลล่าไก่ป่า เขาครุ่นคิดว่าการเข้าร่วมเทศกาลนี้เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเข้าใกล้ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งยังได้ไก่ป่ากลับมาทำอาหารอีกด้วย และแน่นอน ลู่อิงคงจะดีใจที่มีไก่มาทำไก่ตุ๋นยาจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นางทำเป็นประจำแทบจะทุก ๆ สามสี่วัน เขาคิดว่าต
เมื่อเย็นย่ำอาทิตย์จวนจะลับฟ้า เทศกาลล่าไก่ป่าก็สิ้นสุดลง เซี่ยหานปิงกลับมาพร้อมกับไก่ป่าสิบห้าตัว เหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยเช่นเคย ดูท่าว่าเขาจะไม่ออมมือให้กับชายอื่นในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อยลู่อิงมองสามีกำมะลอของนางด้วยความชื่นชมปนขำขัน นางรู้นิสัยเขาดี เซี่ยหานปิงไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คงจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฝีมือการล่าสัตว์ได้ง่าย ๆ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่ป่าเท่านั้น แต่ข้าง ๆ ยังมีหมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกล่ามาอีกตัว“ยินดีด้วยแม่นางเซี่ย สามีเจ้าชนะการแข่งขันล่าไก่ป่าครั้งนี้แล้ว ไปรับของรางวัลกับท่านผู้นำหมู่บ้านเถอะ” ฮูหยินจางเดินเข้ามาแสดงความยินดีก่อนใคร ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำชมจากบรรดาหญิงสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ลู่อิงยิ้มรับคำยินดีด้วยท่าทีที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีไม่น้อยของรางวัลที่ได้รับเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างดีและไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีกสองตัว ลู่อิงอดคิดไม่ได้ว่าเทศกาลล่าไก่ป่ากลับได้ไก่บ้านมาเป็นรางวัล นางยิ้มขำในใจแต่ยังคงกล่าวขอบคุณท่านผู้นำหมู่บ้า
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก
เซี่ยหานปิงจัดการติดต่อกับรองแม่ทัพจางซื่อหมิงเพื่อขอพบองค์หญิงหยางจู ระหว่างรอ ลู่อิงก็ยืนกระสับกระส่ายด้วยความกังวลและเป็นห่วง โดยมีเซี่ยหานปิงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ“องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน“จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน“คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่“นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู”“อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก“แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย”“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้“นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะ
ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ
เซี่ยหานปิงขยับตัวขึ้นนั่ง ส่วนนั้นแข็งขืนปลายยอดมีน้ำซึมออกมา ลู่อิงเพิ่งเคยเห็นสิ่งใหญ่โตของบุรุษเป็นครั้งแรก นางไม่กล้ามองจึงเอาแต่หลับตาองครักษ์หนุ่มเห็นท่าทางของนางก็จำต้องสะกดอารมณ์เอาไว้พร้อมกับชักรูดแก่นกายของตนเองช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเปลือกตาของนางแล้วปลอบโยน“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ จะค่อย ๆ ทำ จะทะนุถนอมเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว”ลู่อิงลืมตาขึ้น นางสบตาเขา เมื่อเห็นความจริงใจนางจึงพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างเขินอาย เซี่ยหานปิงใช้มือจับท่อนล่างของตนถูไถไปกับความอ่อนนุ่มที่กำลังชุ่มฉ่ำ ลู่อิงไม่กล้าขยับเขยื้อนได้แต่กะพริบตามองแม้จะเขินอายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ขณะที่เซี่ยหานปิงสอดแทรกความเป็นชายเข้าไปทีละนิดอย่างช้า ๆ นางก็ส่งเสียงครางปนสะอื้นออกมาเป็นครั้งคราว คิ้วเรียวยาวขมวดเข้าเพราะนางรู้สึกเจ็บ“อย่าเกร็ง ครั้งแรกจะเจ็บเล็กน้อย จากนั้นเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”ลู่อิงมีน้ำตารื้นออกมาตรงหางตา เซี่ยหานปิงจึงจูบซับน้ำตาให้นาง พอเขาสัมผัสได้ว่าความอ่อนนุ่มชุ่มชื้นเปิดรับเขามากขึ้น มิได้เกร็งอย่างเช่นตอนแรก ก็ค่อย ๆ เริ่
ลู่อิงเงียบกริบ นางก้มหน้างุดลงกว่าเดิม ความอับอายท่วมท้น ที่เซี่ยหานปิงพูดมาไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจนางจึงไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะไม่รู้ว่าเซี่ยหานปิงจะคิดเช่นไร“หากเจ้าไม่เต็มใจก็ช่างเถิด ข้าว่าคงจะมีวิธีอื่นอีก” เซี่ยหานปิงเอ่ยปลอบ เขารู้ว่าลู่อิงต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ แม้ตัวเขาเองก็ยังลังเลไม่ต่าง การให้หญิงสาวต้องฝืนใจทำสิ่งใดคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ“ไม่...ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าจะรบกวนท่าน” นางรีบร้อนห้าม คว้าแขนของเขาที่กำลังจะลุกจากไป“ข้าก็กลัวเจ้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ลู่อิง ที่เจ้าบอกว่าชอบข้าจริงหรือไม่” เซี่ยหานปิงหันมาถามเต็มตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากนาง“จริงเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านไม่ดีมีใจตรงกับข้า ก็อย่าได้รักษาน้ำใจ” ลู่อิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้ในใจจะหวั่นไหวและกังวลว่าเขาจะตอบเช่นไรเซี่ยหานปิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดคางเรียวของนางขึ้นมา สบตานางอย่างลึกซึ้ง “แล้วถ้าหากว่าข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าล่ะ”“จริงหรือ” ลู่อิงตาโตขึ้ ใบ
ลู่อิงตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง รู้สึกเหมือนถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะขยับตัวได้ นางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้าน แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนกลับพร่ามัวเกินกว่าจะนึกถึงได้ถี่ถ้วน หลังจากลืมตาขึ้นเพียงครู่เดียว นางก็หลับลงไปอีกครั้งด้วยความอ่อนล้าไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยหานปิงก็เข้ามาในห้อง เขาวางป้านยาลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะประคองร่างบอบบางของลู่อิงขึ้นมาเพื่อให้ดื่มยา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ดูท่าแล้วพิษกำหนัดที่ลู่อิงถูกบังคับให้กลืนเข้าไปนั้นคงจะร้ายแรงมาก อีกทั้งเมื่อคืน นางยังต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดคืน ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอ จับบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวตลอดช่วงเช้า ลู่อิงยังคงนอนซมอยู่บนเตียง ไร้ท่าทีว่าจะดีขึ้น เซี่ยหานปิงเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงตัดสินใจไปตามหมอจางมาดูอาการของนาง หมอจางเดินทางมาถึงพร้อมกับอุปกรณ์ในการรักษา ก่อนจะทำการตรวจอาการอย่างละเอียดและฝังเข็มเพื่อกระตุ้นพลังชี่ของนาง“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“พิษที่นางได้รับนั้นร้ายแรงมาก แต่ว่ายังไม