ปิ่นปักผมสองขามีพู่ห้อยระย้าถูกเสียบเพื่อเก็บรวบเส้นผมเงาสลวย พร้อมทั้งประดับตกแต่งให้องค์หญิงแห่งแคว้นดูงดงามสมฐานะมากขึ้น ลู่อิงเปลี่ยนมายืนด้านหน้าเพื่อจะตรวจสอบความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย เนื่องจากหยางจูจะต้องออกไปพบกับองค์ชายจากแคว้นเยี่ยน ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่นางได้นำข่าวมาบอกเมื่อครั้งทั้งคู่ยังอยู่ที่เมืองชายแดน เมืองชายแดนอันเต็มไปด้วยความทรงจำ หยางจูก้าวขาพ้นประตู ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความจำใจ นางยังคงไม่ลืมชายเพียงคนเดียวที่นางได้มอบหัวใจให้เมื่อนานมาแล้ว แต่นี่คือหน้าที่ นางจึงปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง งานเลี้ยงอันรื่นเริงท่ามกลางเสียงดนตรีครึกครื้น คละเคล้าไปกับเสียงหัวเราะและการร่ายรำ สมควรจะสร้างความรื่นเริงใจ เว้นเสียแต่ว่านางกังวลกับผู้ที่จะมาเป็นสามี ว่าเขาอาจจะนิสัยกักขฬะ ป่าเถื่อน จิตใจ คับแคบ หรือมีบางอย่างผิดปกติ และนางต้องทนอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต “องค์หญิงเพคะ หากฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นองค์หญิงทรงบึ้งตึงเช่นนี้ จะโดนดุเอานะเพคะ” “รู้แล้วน่า” นางหันไปฉีกยิ้มใส่ลู่อิง ยืนรอให้มีการเบิกตัว แล้วจึงก้าวเข้าไปในงาน คนแปลกหน้าเพียงคนเดียว
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหยางจูกับองค์ชายเฟิงจวิ้นเป็นไปด้วยความเรียบเรื่อย เกือบทุกวันทั้งสองคนจะออกไปหาความสำราญข้างนอก เที่ยวเล่นและพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน ราวกับนางไม่เคยจากวังหลวงมาก่อน กระทั่งวันหนึ่ง ลู่อิงเอาข่าวมาแจ้งว่ากองทัพที่ชายแดนปราบกบฏจนสิ้นซาก ซ้ำยังบุกไปตีและยึดเมืองของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ศพของศัตรูกองพะเนินเทินกันรอให้นกแร้งมาจิกกิน เมื่อมันเริ่มเน่าก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว พวกที่หนีรอดไปได้ต่างเร่ร่อนผอมโซเป็นที่น่าอดสู มู่หรง เซียวหนานก็ไม่วายส่งคนข้ามไปตามจับกลับมาเป็นเชลย เขากำลังจะกลับเข้าวังหลวงเพื่อรับความดีความชอบในอีกไม่กี่วัน หัวใจของหยางจูเต้นกระหน่ำเมื่อคิดว่าจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ว่านี่คือหยางหยาง แต่นางหวังให้เขาจำไม่ได้ เพื่อที่เขาจะได้ทำเย็นชาและวางตนห่างเหิน นางจะไม่ต้องเหนื่อยกับการปฏิเสธหรืออธิบายสิ่งใด แม้นั่นจะเจ็บปวดมากก็ตามที “ช่วงนี้เจ้าดูเหม่อ ๆ นะหยางจู” องค์ชายชางทักตามประสาพี่ชายที่คอยตามดูน้องสาวอยู่ห่าง ๆ และเห็นว่าตั้งแต่กลับมา หยางจูดูไม่มีความสุขเลย ยิ่งมีข่าวว่ามู่หรงเซียวหนานกำลังเดินทางกลับ
เปลวแดดไหวระริกราวกับนักเต้นระบำกำลังอวดฝีเท้าท่ามกลางแดดแผดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใสมีปุยเมฆขาวลอยแต่งแต้มชวนมองอยู่เหนือศีรษะ สองพี่น้องยืนอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม เขม้นมองนกเป็ดน้ำที่กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยความสำราญใจในบ่อที่ขุดและจัดตกแต่งเอาไว้อย่างดี ลมเย็นพัดมาเบา ๆ พอให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง “เรื่องจดหมายที่พี่เขียนมาหาข้า” มู่หรงเยว่ชิงเกริ่น “ไม่สำคัญเสียแล้ว” มู่หรงเซียวหนานตอบพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เหตุใดจึงไม่สำคัญ” “เพราะพี่ไม่ได้ทำตามที่เจ้าแนะนำ ทั้งที่ควรจะทำเช่นนั้น มันจึงสายไป” “แม้จะสายเกินไป แต่ข้าก็อยากรู้ว่าอาการที่พี่พูดถึงคืออะไรกันแน่” มู่หรงเซียวหนานเพียงแต่ถอนหายใจ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น “พี่ใหญ่ ใช่เรื่องที่เขาลือกันว่าพี่เป็นพวกตัดแขนเสื้อหรือไม่” มู่หรงเยว่ชิงเห็นว่าคงต้องเข้าประเด็นโดยเร็วเท่านั้น มู่หรงเซียวหนานหันขวับไปหาผู้เป็นน้อง “เจ้ารู้?” “ไม่ต้องตกใจไปเจ้าค่ะ ข่าวไม่ได้แพร่มาถึงในวังหลวง เพียงแต่องค์ชายชางมีสหายอยู่ในกองทัพ จึงนำเรื่องมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเท่านั้น” นางพูดปดด้วยความแนบเนียน “องค์ชายน่ะรึ” “ข้าก็ไม่ค่อยรู้มากนัก แต่ถ้ามัน
“เพคะ” “เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ” ด้วยความที่คิดมาก่อนแล้ว เขาร่ายวรรคแรกขึ้นมาอย่างลื่นไหล จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษ ตามมาด้วยเยว่ชิงที่ต่อกลอนได้รวดเร็วไม่แพ้กัน เพราะเตี๊ยมกันมาแล้ว เพราะลำพังความสามารถของมู่หรงเยว่ชิง นางไม่มีหัวทางด้านศาสตร์และศิลป์ในการแต่งกลอนสักนิด ให้นางนับเงินเห็นจะเป็นอะไรที่นางถนัดที่สุดดังฉายาของนางที่ว่าท่านหญิงตำลึงทอง มู่หรงเซียวหนานคิดอยู่เล็กน้อย เขาเลือกเอ่ยถึงคืนจันทร์วันเพ็ญที่ไม่อาจข่มตาหลับในค่าย หยางจูเกิดความรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเขากล่าวถึงนาง นางจึงแต่งต่อว่าด้วยความงดงามของดวงจันทร์ พร้อมทั้งเขียนกลอนลงไปโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิด ปลายพู่กันขององค์หญิงหยางจูสะดุดตามู่หรงเซียวหนานนัก เพราะมันเหมือนกับลายมือของใครบางคนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน เขาจึงตั้งใจพินิจทุกตัวอักษรจนนึกสงสัยอะไรบางอย่าง แม้สิ่งที่คิดอยู่เห็นจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่มันกลับจุดประกายความหวังเล็ก ๆ ขึ้นในใจเขา เห็นทีเขาคงเสียสติเสียแล้ว “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอกระดาษแผ่นนี้ได้หรือไม่” “เอาไปสิ ถือเป็นของขวัญต้อนรับการกลับมาจากพวกเรา” “ขอบพระทัย” “ถึงเวลาที่เจ้าทั้งสองจะต
ทั้งสามออกมานอกวังด้วยกัน โดยสวมเสื้อผ้าให้ดูธรรมดาสามัญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าการมาเยือนขององค์ชายจะยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ความตั้งใจจริงของเขา คงจะเป็นการได้คำรับรองว่าจะได้อภิเษกแล้วพานางกลับไปยังแคว้นด้วยกัน หยางจูเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี แต่นางไขว้เขวไปเพราะการปรากฏตัวของมู่หรงเซียวหนาน การได้พบเจอเขาอีกครั้งทำให้นางรู้ว่าใจนางโหยหาเขามากเพียงใด หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ถูกขนาบข้างไปด้วยบุรุษสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งคือบัณฑิตทรงภูมิที่มีรอยยิ้มสดใส อีกคนร่างกายสูงใหญ่กำยำ แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่มิอาจทำลายความหล่อเหลาน่าเกรงขามของเขาไปได้ หยางจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขณะที่องค์ชายเฟิงจวิ้นอยากจะเอาใจด้วยการซื้อข้าวของมากมาย แต่มู่หรงเซียวหนานกลับชวนนางกินของอร่อยไม่ขาด และนางก็เพลิดเพลินเสียจนรู้ตัวอีกที ก็ซื้อของทุกอย่างเต็มไม้เต็มมือไปหมด “ท่านรู้จักกินอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ” นางมองขนมเคลือบน้ำตาลที่ มู่หรงเซียวหนานยื่นให้ด้วยความสนใจ “ชิงเอ๋อร์ชอบออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกมาก อย่างที่องค์หญิงน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง และบ่อยครั้ง พี่ชายอย่างพวกเราก็
“อ้อ เจ้านี่เป็นคนใกล้ชิดรองแม่ทัพ ยังสบายดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วยังมี เอ่อ ข้าก็จำได้ไม่แม่นยำนัก ชื่อเฉิงหรือเฉินอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเฉิงชุนกระมัง” “คนผู้นี้กระหม่อมไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าอยู่กองเดียวกับหยางหยาง ทหารรับใช้ของกระหม่อมเอง แต่หลังกลับจากค่ายก็ไม่ได้เห็นอีกเลย” ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดลงกว่าเดิมร้อยเท่า องค์ชายที่เสร็จจากการสั่งอาหาร หันมาเห็นเข้าก็ทำหน้าตาตื่น “องค์หญิงไม่สบายหรือ” เขาถือวิสาสะวางฝ่ามือบนหน้าผากนาง “ไม่มีไข้นี่นา” “หม่อมฉันแค่...แค่ร้อนน่ะเพคะ” นางแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ขอบตาร้อนผ่าว เพียงแค่นึกว่าสหายที่ร่วมลำบากด้วยกันมาอาจไม่มีชีวิตรอด นางจึงรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา “ได้กินอะไรอร่อย ๆ คงหายเพคะ” “แน่ใจหรือ หากท่านรู้สึกแย่ เรากลับเสียตอนนี้เลยก็ได้” “ไม่เพคะ หม่อมฉันอยากอยู่ต่อ” “เช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากท่านไม่ไหว ต้องบอกข้าทันทีเลยนะ” หยางจูผงกศีรษะรับ ขณะก้มหน้าก้มตา สองมือบนตักบีบกันแน่น มู่หรงเซียวหนานมองนาง แต่ไม่ได้มองอย่างจงใจนัก เขาไม่สบอารมณ์กับความห่วงใยออกนอกหน้าขององค์ชายผู้นี้ แต่ไม่มีเวลาจะใส่ใจ เนื่องจากลอบสังเก
หลังจากวันนั้น มู่หรงเซียวหนานมีโอกาสเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์บ่อยครั้ง รวมถึงองค์หญิงหยางจูด้วย แม้นางจะใช้เวลากับองค์ชายแคว้นเยี่ยน วาดภาพ แต่งกลอน หรือแม้แต่ชมสวนด้วยกัน เขาก็จะเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ แม้มันจะสร้างความไม่พอใจให้กับองค์ชายถึงเพียงใด เขาก็ทำเป็นตาบอด ไม่เห็นความขุ่นข้องนั้นเสีย “ดอกไม้นี่ช่างงามแท้” หยางจูรำพึงรำพัน ทอดสายตามองไปไกล มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างผู้ที่รื่นรมย์กับธรรมชาติ “วังของข้าก็มีอุทยานที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม แถมยังใหญ่เสียจนเดินแทบไม่รอบ ข้าว่าเจ้าน่าจะชอบ โดยเฉพาะวสันตฤดู ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกพอดิบพอดี เจ้าก็จะได้เห็น” “บุปผางดงามจับตาอย่างไม่อาจหาใดเทียบ เห็นจะอยู่ตรงหน้านี่แล้ว” มู่หรงเซียวหนานเดินตรงเข้ามาหาทั้งสอง มือไพล่หลัง ท่าทางสบายอารมณ์ “ก็นั่นละ หากบุปผางามเช่นองค์หญิงหยางจูได้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้เหล่านั้น นางก็จะได้เป็นเช่นนางพญาแห่งบุปผาทั้งมวล” “ท่านทั้งสองออกจะชมข้าเกินไป ธรรมชาติคือสิ่งที่สวรรค์ สรรสร้าง มิมีอะไรจะงามเทียบ” องค์ชายเฟิงจวิ้นทำท่าจะต่อประโยค แต่แม่ทัพหนุ่มชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
เท้าในรองเท้าปักลวดลายสวยงามก้าวย่างด้วยความเร่งรีบไปตามทางเดินคดเคี้ยวสลับซับซ้อน ความร้อนใจทำให้นางเดินชนกับนางกำนัลถึงสองครั้ง ซึ่งพวกนางก็ตาลีตาเหลือกลงไปคุกเข่ากับพื้น แต่นางก็ได้แต่รวบชุดสวยยกขึ้นจากพื้นเพื่อจะออกวิ่งอย่างสุดกำลัง แล้วก็ไปปะทะกับทหารยามที่ยืนอยู่ข้างตำหนักใหญ่ จนพวกเขาตกอกตกใจกันยกใหญ่ “เสด็จพ่อประทับอยู่ในตำหนักหรือเปล่า” หยางจูละล่ำละลักถามกงกง “อยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานมาขอเข้าเฝ้า” นางตาเหลือกเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นความจริง เผลอยกมือกัดเล็บด้วยความกังวล “ไปกราบทูลว่าข้าต้องการเข้าเฝ้า” “แต่ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้ใครรบกวนระหว่างนี้พ่ะย่ะค่ะ” “เสด็จพ่อจะอนุญาตหากเป็นข้า” กงกงอ้าปากจะค้านต่อ แต่ร่างคุ้นตาได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูบานใหญ่ เดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เป็นนางเสียอีกที่อยากจะถลาเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้องนั้น “องค์หญิงหยางจู ข้าตามหาท่านอยู่พอดี” “หาหม่อมฉันหรือเพคะ” นางหันไปหาองค์ชายเฟิงจวิ้นที่มาผิดที่ผิดเวลาอย่างที่สุด ก่อนจะหันกลับไปมองประตูมังกรอย่างอาลัย นางอยากเข้าไปหามู่
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก
เมื่อเย็นย่ำอาทิตย์จวนจะลับฟ้า เทศกาลล่าไก่ป่าก็สิ้นสุดลง เซี่ยหานปิงกลับมาพร้อมกับไก่ป่าสิบห้าตัว เหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยเช่นเคย ดูท่าว่าเขาจะไม่ออมมือให้กับชายอื่นในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อยลู่อิงมองสามีกำมะลอของนางด้วยความชื่นชมปนขำขัน นางรู้นิสัยเขาดี เซี่ยหานปิงไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คงจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฝีมือการล่าสัตว์ได้ง่าย ๆ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่ป่าเท่านั้น แต่ข้าง ๆ ยังมีหมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกล่ามาอีกตัว“ยินดีด้วยแม่นางเซี่ย สามีเจ้าชนะการแข่งขันล่าไก่ป่าครั้งนี้แล้ว ไปรับของรางวัลกับท่านผู้นำหมู่บ้านเถอะ” ฮูหยินจางเดินเข้ามาแสดงความยินดีก่อนใคร ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำชมจากบรรดาหญิงสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ลู่อิงยิ้มรับคำยินดีด้วยท่าทีที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีไม่น้อยของรางวัลที่ได้รับเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างดีและไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีกสองตัว ลู่อิงอดคิดไม่ได้ว่าเทศกาลล่าไก่ป่ากลับได้ไก่บ้านมาเป็นรางวัล นางยิ้มขำในใจแต่ยังคงกล่าวขอบคุณท่านผู้นำหมู่บ้า
ลู่อิงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันที่หมู่บ้านมีเทศกาลล่าไก่ป่า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักของชาวบ้าน เด็กน้อยชายหญิงวิ่งถือขนมหวานน้ำตาลปั้น ส่งเสียงหัวเราะสดใสทั่วทั้งบริเวณ ลู่อิงยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นความมีชีวิตชีวานั้น นางเองก็มาช่วยฮูหยินคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมอาหารในกระโจมใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ชายก็ออกไปล่าไก่ในป่าตามธรรมเนียมของเทศกาลแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความกังวลบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของลู่อิงองค์หญิงหยางจูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?องค์หญิงของนางอยู่ในค่ายทหารท่ามกลางความอันตรายโดยปลอมตัวเป็นทหาร คงเหน็ดเหนื่อยและลำบากมิใช่น้อย ลู่อิงคิดขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น นางจึงรีบไปหาเซี่ยหานปิงราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งขัดหัวลูกธนูเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมเทศกาลล่าไก่ป่า เขาครุ่นคิดว่าการเข้าร่วมเทศกาลนี้เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเข้าใกล้ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งยังได้ไก่ป่ากลับมาทำอาหารอีกด้วย และแน่นอน ลู่อิงคงจะดีใจที่มีไก่มาทำไก่ตุ๋นยาจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นางทำเป็นประจำแทบจะทุก ๆ สามสี่วัน เขาคิดว่าต
“หามิได้ เพียงแต่แม่นางลู่ลืมแล้วว่าเรามีภารกิจอันใด ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าไม่มีเวลาดูแลท่านได้ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น”“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเช่นนี้”ลู่อิงนอนนิ่งบนเตียง ความคิดสับสนวุ่นวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าภารกิจที่นางและเซี่ยหานปิงได้รับนั้นสำคัญเพียงใด การที่ทั้งสองต้องปลอมตัวมาอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่วางมาอย่างรอบคอบ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับ องค์หญิงหยางจู ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเป็นทหารรับใช้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานผู้ซึ่งนางแอบมีใจองค์หญิงหยางจู แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ นางเลือกที่จะเสี่ยงต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นชาย เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับมู่หรงเซียวหนานในฐานะทหารรับใช้ เพื่อหวังว่า ความใกล้ชิดและการอุทิศตนจะช่วยให้ท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมผู้นี้รู้สึกถึงความรักที่นางมีให้ลู่อิงชื่นชมความรักมั่นขององค์หญิงหยางจู และสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงของนางตัดสินใจทำเช่นนั้นเพราะ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะให้องค์หญิงหยางจูอภิเษกกับองค์ชายจากต่างแคว้นเพื่อเชื่
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เซี่ยหานปิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาสวมชุดผ้าไหมสะอาดสีดำที่มีกลิ่นหอมของดอกไห่ถังอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ลู่อิงใช้อบเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ขณะนั้นฮูหยินจางกำลังป้อนน้ำแกงรากบัวให้ลู่อิงพอดีเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา“เซี่ยหานปิง” ฮูหยินจางเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน“อืม...นางเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะพยายามซ่อนมันไว้“ดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่ ตาเฒ่าจางบอกว่าพักอีกสักสองสามวันก็คงหายดี” ฮูหยินจางตอบ“เช่นนั้น...”“เช่นนั้นท่านก็ป้อนน้ำแกงนี้ให้นางเถอะ ข้าจะไปดูยาต้มเสียหน่อย” ฮูหยินจางกล่าวตัดบท นางพอจะดูออกว่าสองสามีภรรยาห่างเหินกันยิ่งนัก ทั้งเมื่อวันก่อนตอนที่ลู่อิงถามถึงสามีกับนาง นางยังทันได้เห็นใบหน้าน้อยอกน้อยใจนั้นด้วย“แต่ข้า...”“เอาเถอะ ๆ ท่านป้อนนางไปดี ๆ แล้วกัน” ฮูหยินจางรีบยัดถ้วยน้ำแกงใส่มือของเซี่ยหานปิง ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งความกระอักกระอ่วนไว้ระหว่างสองสามีภรรยาเซี่ยหานปิงมองถ้วยน้ำแกงในมือด้วยความลังเลทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ถนัดเรื่องการดูแลคนป่วยนัก ลู
ลู่อิงลืมตาขึ้นมา รู้สึกถึงความแห้งผากในลำคอจนทำให้นางไอออกมาเบา ๆ นางพยายามขยับตัวช้า ๆ เสียงสวบสาบของผ้าห่มทำให้หญิงนางหนึ่งรีบเข้ามาประคองนางขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวล“แม่นางลู่อิงเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน” หญิงนางนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางคือ ฮูหยินจาง ภรรยาเจ้าของโรงหมอ ซึ่งลู่อิงจำได้อย่างแม่นยำ“ฮูหยินจาง นี่ข้า...”“เจ้าโดนงูกัดน่ะ ดีนะเซี่ยหานปิง สามีเจ้าพากลับมาได้ทันเวลาพอดี ตอนมาถึงพิษงูก็ลดลงไปมากแล้ว”“เซี่ยหานปิง...” ลู่อิงพึมพำเบา ๆ ความสับสนและความแปลกใจผุดขึ้นในใจ นางจำได้เลือนรางว่าตนเองออกไปหาสมุนไพรในป่า และถูกงูกัด หลังจากนั้นก็มีใครบางคนมาช่วยนางไว้ หรือว่า...จะเป็นเขา?“ก็ใช่น่ะสิ เอาล่ะ อย่าพูดมากเลย นอนพักก่อนดีกว่า ข้าจะไปตามสามีมาดูอาการ” ฮูหยินจางพูดพลางยิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนจะค่อย ๆ พยุงลู่อิงลงนอนอีกครั้ง“ขอบใจฮูหยิน” ลู่อิงตอบอย่างอ่อนแรง นางนอนลงอย่างเชื่อฟัง แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัยปนกับความรู้สึกหลากหลาย หากคนที่มาช่วยนางคือเซี่ยหานปิงจริง ๆ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่ไหน เขามาช่วยนางได้ทันเวลาพอดีได้อย่างไรแต่ขบคิดไปได้ไม่นานนัก ฮูหยินจางก็กลับม
เซี่ยหานปิงออกจากบ้านไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ลู่อิงอยู่เพียงลำพังในบ้านก็ได้แต่หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้แม้จะอยู่ติดชายแดน หลายสิ่งหลายอย่างขาดแคลน แต่ก็เงียบสงบ ชาวบ้านทุกคนต่างรู้จักกันดีและเต็มไปด้วยความเป็นมิตรลู่อิงกับเซี่ยหานปิงต่างถูกเข้าใจว่าเป็นคู่แต่งงานใหม่ที่เพิ่งพากันย้ายมาจากเมืองหลวงเพราะถูกทางครอบครัวกีดกัดความรักแม้จะเพิ่งย้ายมาไม่นาน ลู่อิงก็กลายเป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้าน เนื่องเพราะนางมีนิสัยอ่อนโยน และร่าเริงเป็นกันเอง ผู้คนต่างชื่นชอบนาง ยามเมื่อเดินผ่านบ้านหลังไหนก็มีแต่รอยยิ้มและคำทักทายยามที่นางอยู่คนเดียว บางทีก็อดรู้สึกเหงาและเบื่อไม่ได้ โชคดีที่นางมีความรู้ทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง วันนี้นางจึงตัดสินใจออกไปหาสมุนไพรในป่า ระหว่างทางเจอชาวบ้านไม่น้อย หากบางคนรู้จักก็เข้ามาพูดคุยแบ่งปันสมุนไพรกันลู่อิงเดินเก็บสมุนไพรจนเกือบครึ่งค่อนวัน แสงดวงอาทิตย์ที่เคยทอแสงอ่อน ๆ ในยามเช้าบัดนี้ลอยสูงอยู่กลางศีรษะ ทำให้อากาศเริ่มร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงตัดสินใจไปพักใต้ร่มไม้ใหญ่ริมลำธารที่ใสสะอาด เสียงน้ำไหลเบา ๆ ขับก
แสงจันทร์ลอยสูงเหนือยอดต้นไห่ถัง แสงสีเงินของจันทร์ดวงโตส่องผ่านหมู่เมฆบาง ๆ ทาบทับลงบนทิวทัศน์ที่ชวนหลงใหล ฤดูใบไม้ผลิทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย พัดไล้ผ่านผิวกายของลู่อิง หญิงสาวผู้มีความงามอ่อนโยนประดุจดอกไม้แรกแย้ม นางยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเล็ก ชุดสีอ่อนที่สวมใส่ขับเน้นผิวพรรณให้ดูนวลกระจ่างภายใต้แสงจันทร์ บัดนี้ เมื่อยืนท่ามกลางแสงนั้น นางยิ่งแลดูงดงามชวนมองยิ่งขึ้นลู่อิงเป็นนางกำนัลขององค์หญิงหยางจู ที่ออกมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นอกค่ายทหารกับบุรุษผู้ที่ต้องแสดงตนว่าเป็นสามี เวลานี้นางกำลังรอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจเย็น ร่างบอบบางยืนห่อตัวเล็กน้อยเมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน ทว่าแม้ลมจะเย็นปานใด ก็ยังพัดเอาดอกไห่ถังลอยละล่องตามทางเบา ๆนางเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมรอยยิ้ม มือขาวสะอาดของนางยกขึ้นรับดอกไห่ถังที่ปลิวลงมา กลีบดอกนุ่มนวลเมื่อสัมผัสกับปลายนิ้ว ยามที่ดอกไม้อยู่ในฝ่ามือ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากมันก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก“เหตุใดยังไม่นอนอีก” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เซี่ยหานปิงเดินมาถึงเงี
ลู่อิงยกมือขึ้นซับน้ำตา ขณะมองแผ่นหลังของนายหญิงหายลับเข้าไปในค่ายทหารใหญ่โต กำแพงสูงที่ล้อมทุกคนเอาไว้ตระหง่านอยู่ตรงหน้าทำให้นางคิดว่าองค์หญิงหยางจูผู้แสนบอบบาง ช่างเล็กกระจ้อยเพียงใดเมื่ออยู่หลังกำแพงนั่นเซี่ยหานปิงยืนดูคนที่กำลังอาลัยเจ้านาย แล้วเดินกลับไปที่รถม้าโดยไม่เอ่ยสิ่งใด“ท่านรอข้าด้วยสิ” ลู่อิงรีบปาดน้ำตาแล้วร้องเรียกองค์รักษ์หนุ่ม นางหันไปมองกำแพงค่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะรีบเดินกลับไปที่รถม้า ไม่วายค้อนคนที่นั่งประจำที่คนขับทีหนึ่งแล้วจึงค่อยขึ้นรถ“ทีนี้ท่านก็พาไปยังที่พักของเราได้แล้ว” ในใจนางยังคงรู้สึกเศร้าและอาลัยเมื่อนึกถึงองค์หญิงหยางจูที่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ในค่ายทหารเพียงลำพังรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งโดยไม่มีคำตอบใดจากเซี่ยหานปิง องครักษ์หนุ่มผู้เงียบขรึม ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าเย็นชานั้นสะท้อนความสงบเงียบของบุรุษผู้มีหน้าที่รับใช้เจ้านายด้วยความจงรักภักดีเมื่อพ้นจากเส้นทางลู่อิงมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านชายแดนที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ บ้านเรือนเรียงรายห่างกันไม่มาก ส่วนมากเป็นกระท่อมไม้ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง