ทั้งสามออกมานอกวังด้วยกัน โดยสวมเสื้อผ้าให้ดูธรรมดาสามัญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าการมาเยือนขององค์ชายจะยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ความตั้งใจจริงของเขา คงจะเป็นการได้คำรับรองว่าจะได้อภิเษกแล้วพานางกลับไปยังแคว้นด้วยกัน หยางจูเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี แต่นางไขว้เขวไปเพราะการปรากฏตัวของมู่หรงเซียวหนาน การได้พบเจอเขาอีกครั้งทำให้นางรู้ว่าใจนางโหยหาเขามากเพียงใด
หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ถูกขนาบข้างไปด้วยบุรุษสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งคือบัณฑิตทรงภูมิที่มีรอยยิ้มสดใส อีกคนร่างกายสูงใหญ่กำยำ แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่มิอาจทำลายความหล่อเหลาน่าเกรงขามของเขาไปได้ หยางจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขณะที่องค์ชายเฟิงจวิ้นอยากจะเอาใจด้วยการซื้อข้าวของมากมาย แต่มู่หรงเซียวหนานกลับชวนนางกินของอร่อยไม่ขาด และนางก็เพลิดเพลินเสียจนรู้ตัวอีกที ก็ซื้อของทุกอย่างเต็มไม้เต็มมือไปหมด “ท่านรู้จักกินอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ” นางมองขนมเคลือบน้ำตาลที่ มู่หรงเซียวหนานยื่นให้ด้วยความสนใจ “ชิงเอ๋อร์ชอบออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกมาก อย่างที่องค์หญิงน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง และบ่อยครั้ง พ“อ้อ เจ้านี่เป็นคนใกล้ชิดรองแม่ทัพ ยังสบายดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วยังมี เอ่อ ข้าก็จำได้ไม่แม่นยำนัก ชื่อเฉิงหรือเฉินอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเฉิงชุนกระมัง” “คนผู้นี้กระหม่อมไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าอยู่กองเดียวกับหยางหยาง ทหารรับใช้ของกระหม่อมเอง แต่หลังกลับจากค่ายก็ไม่ได้เห็นอีกเลย” ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดลงกว่าเดิมร้อยเท่า องค์ชายที่เสร็จจากการสั่งอาหาร หันมาเห็นเข้าก็ทำหน้าตาตื่น “องค์หญิงไม่สบายหรือ” เขาถือวิสาสะวางฝ่ามือบนหน้าผากนาง “ไม่มีไข้นี่นา” “หม่อมฉันแค่...แค่ร้อนน่ะเพคะ” นางแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ขอบตาร้อนผ่าว เพียงแค่นึกว่าสหายที่ร่วมลำบากด้วยกันมาอาจไม่มีชีวิตรอด นางจึงรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา “ได้กินอะไรอร่อย ๆ คงหายเพคะ” “แน่ใจหรือ หากท่านรู้สึกแย่ เรากลับเสียตอนนี้เลยก็ได้” “ไม่เพคะ หม่อมฉันอยากอยู่ต่อ” “เช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากท่านไม่ไหว ต้องบอกข้าทันทีเลยนะ” หยางจูผงกศีรษะรับ ขณะก้มหน้าก้มตา สองมือบนตักบีบกันแน่น มู่หรงเซียวหนานมองนาง แต่ไม่ได้มองอย่างจงใจนัก เขาไม่สบอารมณ์กับความห่วงใยออกนอกหน้าขององค์ชายผู้นี้ แ
หลังจากวันนั้น มู่หรงเซียวหนานมีโอกาสเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์บ่อยครั้ง รวมถึงองค์หญิงหยางจูด้วย แม้นางจะใช้เวลากับองค์ชายแคว้นเยี่ยน วาดภาพ แต่งกลอน หรือแม้แต่ชมสวนด้วยกัน เขาก็จะเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ แม้มันจะสร้างความไม่พอใจให้กับองค์ชายถึงเพียงใด เขาก็ทำเป็นตาบอด ไม่เห็นความขุ่นข้องนั้นเสีย “ดอกไม้นี่ช่างงามแท้” หยางจูรำพึงรำพัน ทอดสายตามองไปไกล มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างผู้ที่รื่นรมย์กับธรรมชาติ “วังของข้าก็มีอุทยานที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม แถมยังใหญ่เสียจนเดินแทบไม่รอบ ข้าว่าเจ้าน่าจะชอบ โดยเฉพาะวสันตฤดู ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกพอดิบพอดี เจ้าก็จะได้เห็น” “บุปผางดงามจับตาอย่างไม่อาจหาใดเทียบ เห็นจะอยู่ตรงหน้านี่แล้ว” มู่หรงเซียวหนานเดินตรงเข้ามาหาทั้งสอง มือไพล่หลัง ท่าทางสบายอารมณ์ “ก็นั่นละ หากบุปผางามเช่นองค์หญิงหยางจูได้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้เหล่านั้น นางก็จะได้เป็นเช่นนางพญาแห่งบุปผาทั้งมวล” “ท่านทั้งสองออกจะชมข้าเกินไป ธรรมชาติคือสิ่งที่สวรรค์ สรรสร้าง มิมีอะไรจะงามเทียบ” องค์ชายเฟิงจวิ้นทำท่าจะต่อประโยค แต่แม่ทัพหนุ
เท้าในรองเท้าปักลวดลายสวยงามก้าวย่างด้วยความเร่งรีบไปตามทางเดินคดเคี้ยวสลับซับซ้อน ความร้อนใจทำให้นางเดินชนกับนางกำนัลถึงสองครั้ง ซึ่งพวกนางก็ตาลีตาเหลือกลงไปคุกเข่ากับพื้น แต่นางก็ได้แต่รวบชุดสวยยกขึ้นจากพื้นเพื่อจะออกวิ่งอย่างสุดกำลัง แล้วก็ไปปะทะกับทหารยามที่ยืนอยู่ข้างตำหนักใหญ่ จนพวกเขาตกอกตกใจกันยกใหญ่ “เสด็จพ่อประทับอยู่ในตำหนักหรือเปล่า” หยางจูละล่ำละลักถามกงกง “อยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานมาขอเข้าเฝ้า” นางตาเหลือกเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นความจริง เผลอยกมือกัดเล็บด้วยความกังวล “ไปกราบทูลว่าข้าต้องการเข้าเฝ้า” “แต่ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้ใครรบกวนระหว่างนี้พ่ะย่ะค่ะ” “เสด็จพ่อจะอนุญาตหากเป็นข้า” กงกงอ้าปากจะค้านต่อ แต่ร่างคุ้นตาได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูบานใหญ่ เดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เป็นนางเสียอีกที่อยากจะถลาเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้องนั้น “องค์หญิงหยางจู ข้าตามหาท่านอยู่พอดี” “หาหม่อมฉันหรือเพคะ” นางหันไปหาองค์ชายเฟิงจวิ้นที่มาผิดที่ผิดเวลาอย่างที่สุด ก่อนจะหันกลับไปมองประตูมังกรอย
ช่วงวสันต์ตอนปลายสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยหอบเอาความเย็น สดชื่นของฤดูเหมันต์ปะปนมาทำให้อากาศในตอนนี้ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหล่าต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีและผลัดใบ ดอกไม้ฤดูหนาวเริ่มผลิบาน ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งช่วงหนึ่ง บนถนนสายหลักทั้งสองฟากถูกประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดง บางที่ก็มีการจุดประทัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงคึกคัก ชาวเมืองทุกคนต่างพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสออกมายืนเฝ้ารอเพื่อชมความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนเจ้าสาวขององค์หญิงหยางจูซึ่งเป็นพระธิดาองค์โปรดของฮ่องเต้ ขบวนเจ้าสาวของขององค์หญิงหยางจูนี้มีความยาวตั้งแต่ประตูวังหลวงไปจนถึงสามช่วงถนน หากมองจากหัวขบวนไปยังท้ายขบวนก็มิอาจคำนวณได้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ใด หัวขบวนมีองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่ง เป่ยหนานขี่ม้านำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวขนาดแปดคนหาม ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุด เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผ้าแพรสีแดง องค์หญิงหยางจูสวมมงกุฎหงส์นั่งอยู่บนเกี้ยว หัวใจของนางกำลังกระหน่ำเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ด้านนอกมีลู่อิงที่เดินขนาบด้านข้าง และองครักษ์เซี่ยที
“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายถึงเรื่องใด” ว่าจบก็เข้าไปนั่งลงข้างร่างเล็กแล้วโอบไหล่บางเข้าหา “ทะ ท่าน! เดี๋ยวก่อนสิ” หยางจูสะดุ้ง ดันตัวเขาออก คราวนี้มู่หรงเซียวหนานหัวเราะดังกว่าเดิม “ท่านแกล้งข้า” หยางจูต่อว่าและเชิดหน้าขึ้นอย่างแง่งอน “ข้าขอโทษ เอาละ หน้าที่ของเจ้าบ่าวเช่นข้า ก่อนอื่นข้าต้องเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวของข้าเสียก่อน” ว่าจบเขาก็ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของหยางจูออก ใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มอย่างดีทำให้มู่หรงเซียวหนานค้างไปชั่วขณะ ปกตินางเป็นหญิงงามอยู่แล้ว แต่ในวันนี้นางดูอิ่มเอิบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขทำให้นางดูน่ามองยิ่งขึ้น และเขารู้สึกภูมิใจที่ความสุขของนางในวันนี้มีเขาเป็นส่วนหนึ่ง “ท่านงามมากองค์หญิงหยางจู” เขาบอกคล้ายละเมอ “ท่านยังเรียกข้าว่าองค์หญิงอยู่อีกหรือ” “อ้อ นี่คงเป็นอีกข้องผิดพลาดของข้าสินะ ท่านเป็นสตรีที่อยู่สูงกว่าข้าจนข้ามิอาจเอื้อม ชาติกำเนิดรึก็สูงปานนั้น ความงามรึก็งามราวเทพธิดา ข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยที่มิคู่ควรกับท่านเลย” “แต่ตอนนี้ท่านเป็นสามีข้า ยังเรียกเสียห่างเหินอีกหรือ” หยางจูท้วง “ข้ารู้ เอาเป็นว่าข้าเรี
“หา!! เจ้าบอกว่าอยากทำสิ่งใดนะ พูดให้พี่ฟังอีกทีซิ”ภายในตำหนักขนาดใหญ่ที่ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงฐานะของผู้อยู่อาศัย บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เบิกตามองสตรีใบหน้าจิ้มลิ้มที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องของตนด้วยความตื่นตระหนกตกใจระคนเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่นางเพิ่งจะเอ่ยขอ จนถึงกับต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ รวมทั้งคาดหวังให้ตัวเองฟังผิด“ข้าอยากปลอมตัวเข้าไปอยู่ในกองทัพของสหายท่าน อนุญาตเถอะนะเพคะ” เสียงใสตอบกลับกึ่งอ้อนวอน“แต่เจ้าเป็นองค์หญิง!”เฉินไป่ชางหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหนานร้องออกมาอย่างเหลืออด สองมือจับไหล่บอบบางของน้องสาว แล้วมองเข้าไปในดวงตากลมโตสุกใสอย่างเคร่งขรึมจริงจัง“เจ้าปลอมตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นไม่ได้ ไม่เด็ดขาดหยางจู”ย้ำท้ายประโยคด้วยเสียงเด็ดขาดที่ไม่ค่อยได้ใช้กับนางบ่อยนัก แต่หากไม่ย้ำให้ชัด มีหรือที่น้องสาวจอมแก่นของเขาจะฟังดรุณีน้อยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสุกสกาวเมื่อครู่หม่นแสงลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ แต่นั่นก็เป็นอยู่เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น นางก็กลับมาร่าเริงอีกคร
เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ใจอ่อนง่าย ๆ หยางจูก็ปล่อยให้น้ำตาที่คลออยู่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย พร้อมเสียงสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทา เฉินไป่ชางตาลีตาเหลือกเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ราวกับนางคือน้องสาวตัวน้อยเมื่อครั้งทั้งคู่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ“ฮึก!! ข้าขอเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ฮืออออ” สะอื้นพลางแอบเหลือบตามองท่าทีลนลานของคนเป็นพี่“ก็ได้ ๆ พี่จะไปปรึกษากับเสด็จอาว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาด เจ้าหยุดร้องแล้วรออยู่นี่” เขาทนเห็นน้ำตาของน้องน้อยสุดที่รักไม่ไหวจึงรีบตกปากรับคำในที่สุด“จริงนะเพคะ” หยางจูลืมความเศร้าโศกเงยหน้ามองพี่ชายตาแป๋ว แต่เมื่อเห็นเขามองนางก็แสร้งทำเป็นบีบน้ำตาอีกรอบเพื่อความสมจริง“อย่าร้อง ไม่ต้องร้อง ในเมื่อพี่พูดแล้วก็จะทำตามนั้น เจ้าหยุดร้องก่อนเถอะนะ” คนเป็นพี่รู้ทั้งรู้ว่าน้องสาวแกล้งบีบน้ำตา แต่ก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้นางพยักหน้าถี่รัว ยกปาดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยตนเอง เพื่อเป็นเครื่องยืนยันให้พี่ชายสบายใจเมื่อเห็นว่านางหยุดร้องแล้ว เขาก็ประคองไปนั่งที่เก้าอี้ “เอาละ เจ้ากลับตำหนักไปก่อน พี่จะไปหารือเรื่องนี้กับเสด็จอา ได้เรื่องอย่างไรแล้วพี่จ
การเดินทางขององค์หญิงผู้ดื้อรั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบและถูกเก็บให้เป็นความลับมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยจดหมายได้ถูกคนของหลี่อวี้อ๋องส่งไปล่วงหน้าก่อนแล้ว เพื่อให้รองแม่ทัพจางซื่อหมิงเตรียมการในสิ่งที่จำเป็นเพื่อต้อนรับการมาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์แต่อุตริดันคิดแผลง ๆ อยากมาตกระกำลำบากในค่ายทหาร ทั้งนี้หลี่อวี้อ๋องได้เตรียมการเป็นอย่างดี โดยให้หลานรักออกเดินทางพร้อมกับทหารอารักขาที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านเดินทางล่วงหน้าไปประจำการตามจุดต่าง ๆ เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง ข้าวของในหีบไม้เรียบ ๆ ไม่สะดุดตาสองหีบ มีเพียงเสื้อผ้าธรรมดาและตำราไม่กี่เล่ม กับของสำหรับการปลอมตัว และของใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิงซึ่งจะต้องเก็บอย่างมิดชิดหยางจูนั่งกระเด้งกระดอนอยู่ในเกวียนเทียมม้าคันเล็กสภาพเก่าคร่ำคร่าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต เมื่อไปถึงที่เมืองชายแดนนางจะต้องลงจากรถม้าคันนี้ที่จะขนสัมภาระเข้าไปในค่ายตามเส้นทางลับ แล้วเปลี่ยนไปใช้รถม้าคันอื่นแทนเป็นระยะทางสั้น ๆ แม้จะฟังดูยากลำบากสำหรับองค์หญิงเช่นนาง แต่ในหัวใจดวงน้อยที่มีเพียงความปรารถนาจะได้ยลโฉมหน้าของชายในดวงใจ นางก็มีเพียงความตื่นเต้นเพียงเท่
“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายถึงเรื่องใด” ว่าจบก็เข้าไปนั่งลงข้างร่างเล็กแล้วโอบไหล่บางเข้าหา “ทะ ท่าน! เดี๋ยวก่อนสิ” หยางจูสะดุ้ง ดันตัวเขาออก คราวนี้มู่หรงเซียวหนานหัวเราะดังกว่าเดิม “ท่านแกล้งข้า” หยางจูต่อว่าและเชิดหน้าขึ้นอย่างแง่งอน “ข้าขอโทษ เอาละ หน้าที่ของเจ้าบ่าวเช่นข้า ก่อนอื่นข้าต้องเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวของข้าเสียก่อน” ว่าจบเขาก็ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของหยางจูออก ใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มอย่างดีทำให้มู่หรงเซียวหนานค้างไปชั่วขณะ ปกตินางเป็นหญิงงามอยู่แล้ว แต่ในวันนี้นางดูอิ่มเอิบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขทำให้นางดูน่ามองยิ่งขึ้น และเขารู้สึกภูมิใจที่ความสุขของนางในวันนี้มีเขาเป็นส่วนหนึ่ง “ท่านงามมากองค์หญิงหยางจู” เขาบอกคล้ายละเมอ “ท่านยังเรียกข้าว่าองค์หญิงอยู่อีกหรือ” “อ้อ นี่คงเป็นอีกข้องผิดพลาดของข้าสินะ ท่านเป็นสตรีที่อยู่สูงกว่าข้าจนข้ามิอาจเอื้อม ชาติกำเนิดรึก็สูงปานนั้น ความงามรึก็งามราวเทพธิดา ข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยที่มิคู่ควรกับท่านเลย” “แต่ตอนนี้ท่านเป็นสามีข้า ยังเรียกเสียห่างเหินอีกหรือ” หยางจูท้วง “ข้ารู้ เอาเป็นว่าข้าเรี
ช่วงวสันต์ตอนปลายสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยหอบเอาความเย็น สดชื่นของฤดูเหมันต์ปะปนมาทำให้อากาศในตอนนี้ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหล่าต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีและผลัดใบ ดอกไม้ฤดูหนาวเริ่มผลิบาน ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งช่วงหนึ่ง บนถนนสายหลักทั้งสองฟากถูกประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดง บางที่ก็มีการจุดประทัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงคึกคัก ชาวเมืองทุกคนต่างพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสออกมายืนเฝ้ารอเพื่อชมความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนเจ้าสาวขององค์หญิงหยางจูซึ่งเป็นพระธิดาองค์โปรดของฮ่องเต้ ขบวนเจ้าสาวของขององค์หญิงหยางจูนี้มีความยาวตั้งแต่ประตูวังหลวงไปจนถึงสามช่วงถนน หากมองจากหัวขบวนไปยังท้ายขบวนก็มิอาจคำนวณได้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ใด หัวขบวนมีองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่ง เป่ยหนานขี่ม้านำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวขนาดแปดคนหาม ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุด เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผ้าแพรสีแดง องค์หญิงหยางจูสวมมงกุฎหงส์นั่งอยู่บนเกี้ยว หัวใจของนางกำลังกระหน่ำเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ด้านนอกมีลู่อิงที่เดินขนาบด้านข้าง และองครักษ์เซี่ยที
เท้าในรองเท้าปักลวดลายสวยงามก้าวย่างด้วยความเร่งรีบไปตามทางเดินคดเคี้ยวสลับซับซ้อน ความร้อนใจทำให้นางเดินชนกับนางกำนัลถึงสองครั้ง ซึ่งพวกนางก็ตาลีตาเหลือกลงไปคุกเข่ากับพื้น แต่นางก็ได้แต่รวบชุดสวยยกขึ้นจากพื้นเพื่อจะออกวิ่งอย่างสุดกำลัง แล้วก็ไปปะทะกับทหารยามที่ยืนอยู่ข้างตำหนักใหญ่ จนพวกเขาตกอกตกใจกันยกใหญ่ “เสด็จพ่อประทับอยู่ในตำหนักหรือเปล่า” หยางจูละล่ำละลักถามกงกง “อยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานมาขอเข้าเฝ้า” นางตาเหลือกเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นความจริง เผลอยกมือกัดเล็บด้วยความกังวล “ไปกราบทูลว่าข้าต้องการเข้าเฝ้า” “แต่ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้ใครรบกวนระหว่างนี้พ่ะย่ะค่ะ” “เสด็จพ่อจะอนุญาตหากเป็นข้า” กงกงอ้าปากจะค้านต่อ แต่ร่างคุ้นตาได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูบานใหญ่ เดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เป็นนางเสียอีกที่อยากจะถลาเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้องนั้น “องค์หญิงหยางจู ข้าตามหาท่านอยู่พอดี” “หาหม่อมฉันหรือเพคะ” นางหันไปหาองค์ชายเฟิงจวิ้นที่มาผิดที่ผิดเวลาอย่างที่สุด ก่อนจะหันกลับไปมองประตูมังกรอย
หลังจากวันนั้น มู่หรงเซียวหนานมีโอกาสเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์บ่อยครั้ง รวมถึงองค์หญิงหยางจูด้วย แม้นางจะใช้เวลากับองค์ชายแคว้นเยี่ยน วาดภาพ แต่งกลอน หรือแม้แต่ชมสวนด้วยกัน เขาก็จะเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ แม้มันจะสร้างความไม่พอใจให้กับองค์ชายถึงเพียงใด เขาก็ทำเป็นตาบอด ไม่เห็นความขุ่นข้องนั้นเสีย “ดอกไม้นี่ช่างงามแท้” หยางจูรำพึงรำพัน ทอดสายตามองไปไกล มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างผู้ที่รื่นรมย์กับธรรมชาติ “วังของข้าก็มีอุทยานที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม แถมยังใหญ่เสียจนเดินแทบไม่รอบ ข้าว่าเจ้าน่าจะชอบ โดยเฉพาะวสันตฤดู ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกพอดิบพอดี เจ้าก็จะได้เห็น” “บุปผางดงามจับตาอย่างไม่อาจหาใดเทียบ เห็นจะอยู่ตรงหน้านี่แล้ว” มู่หรงเซียวหนานเดินตรงเข้ามาหาทั้งสอง มือไพล่หลัง ท่าทางสบายอารมณ์ “ก็นั่นละ หากบุปผางามเช่นองค์หญิงหยางจูได้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้เหล่านั้น นางก็จะได้เป็นเช่นนางพญาแห่งบุปผาทั้งมวล” “ท่านทั้งสองออกจะชมข้าเกินไป ธรรมชาติคือสิ่งที่สวรรค์ สรรสร้าง มิมีอะไรจะงามเทียบ” องค์ชายเฟิงจวิ้นทำท่าจะต่อประโยค แต่แม่ทัพหนุ
“อ้อ เจ้านี่เป็นคนใกล้ชิดรองแม่ทัพ ยังสบายดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วยังมี เอ่อ ข้าก็จำได้ไม่แม่นยำนัก ชื่อเฉิงหรือเฉินอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเฉิงชุนกระมัง” “คนผู้นี้กระหม่อมไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าอยู่กองเดียวกับหยางหยาง ทหารรับใช้ของกระหม่อมเอง แต่หลังกลับจากค่ายก็ไม่ได้เห็นอีกเลย” ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดลงกว่าเดิมร้อยเท่า องค์ชายที่เสร็จจากการสั่งอาหาร หันมาเห็นเข้าก็ทำหน้าตาตื่น “องค์หญิงไม่สบายหรือ” เขาถือวิสาสะวางฝ่ามือบนหน้าผากนาง “ไม่มีไข้นี่นา” “หม่อมฉันแค่...แค่ร้อนน่ะเพคะ” นางแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ขอบตาร้อนผ่าว เพียงแค่นึกว่าสหายที่ร่วมลำบากด้วยกันมาอาจไม่มีชีวิตรอด นางจึงรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา “ได้กินอะไรอร่อย ๆ คงหายเพคะ” “แน่ใจหรือ หากท่านรู้สึกแย่ เรากลับเสียตอนนี้เลยก็ได้” “ไม่เพคะ หม่อมฉันอยากอยู่ต่อ” “เช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากท่านไม่ไหว ต้องบอกข้าทันทีเลยนะ” หยางจูผงกศีรษะรับ ขณะก้มหน้าก้มตา สองมือบนตักบีบกันแน่น มู่หรงเซียวหนานมองนาง แต่ไม่ได้มองอย่างจงใจนัก เขาไม่สบอารมณ์กับความห่วงใยออกนอกหน้าขององค์ชายผู้นี้ แ
ทั้งสามออกมานอกวังด้วยกัน โดยสวมเสื้อผ้าให้ดูธรรมดาสามัญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าการมาเยือนขององค์ชายจะยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ความตั้งใจจริงของเขา คงจะเป็นการได้คำรับรองว่าจะได้อภิเษกแล้วพานางกลับไปยังแคว้นด้วยกัน หยางจูเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี แต่นางไขว้เขวไปเพราะการปรากฏตัวของมู่หรงเซียวหนาน การได้พบเจอเขาอีกครั้งทำให้นางรู้ว่าใจนางโหยหาเขามากเพียงใด หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ถูกขนาบข้างไปด้วยบุรุษสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งคือบัณฑิตทรงภูมิที่มีรอยยิ้มสดใส อีกคนร่างกายสูงใหญ่กำยำ แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่มิอาจทำลายความหล่อเหลาน่าเกรงขามของเขาไปได้ หยางจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขณะที่องค์ชายเฟิงจวิ้นอยากจะเอาใจด้วยการซื้อข้าวของมากมาย แต่มู่หรงเซียวหนานกลับชวนนางกินของอร่อยไม่ขาด และนางก็เพลิดเพลินเสียจนรู้ตัวอีกที ก็ซื้อของทุกอย่างเต็มไม้เต็มมือไปหมด “ท่านรู้จักกินอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ” นางมองขนมเคลือบน้ำตาลที่ มู่หรงเซียวหนานยื่นให้ด้วยความสนใจ “ชิงเอ๋อร์ชอบออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกมาก อย่างที่องค์หญิงน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง และบ่อยครั้ง พ
“เพคะ”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ”ด้วยความที่คิดมาก่อนแล้ว เขาร่ายวรรคแรกขึ้นมาอย่างลื่นไหล จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษ ตามมาด้วยเยว่ชิงที่ต่อกลอนได้รวดเร็วไม่แพ้กัน เพราะเตี๊ยมกันมาแล้ว เพราะลำพังความสามารถของมู่หรงเยว่ชิง นางไม่มีหัวทางด้านศาสตร์และศิลป์ในการแต่งกลอนสักนิด ให้นางนับเงินเห็นจะเป็นอะไรที่นางถนัดที่สุดดังฉายาของนางที่ว่าท่านหญิงตำลึงทองมู่หรงเซียวหนานคิดอยู่เล็กน้อย เขาเลือกเอ่ยถึงคืนจันทร์วันเพ็ญที่ไม่อาจข่มตาหลับในค่าย หยางจูเกิดความรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเขากล่าวถึงนาง นางจึงแต่งต่อว่าด้วยความงดงามของดวงจันทร์ พร้อมทั้งเขียนกลอนลงไปโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดปลายพู่กันขององค์หญิงหยางจูสะดุดตามู่หรงเซียวหนานนัก เพราะมันเหมือนกับลายมือของใครบางคนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน เขาจึงตั้งใจพินิจทุกตัวอักษรจนนึกสงสัยอะไรบางอย่าง แม้สิ่งที่คิดอยู่เห็นจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่มันกลับจุดประกายความหวังเล็ก ๆ ขึ้นในใจเขา เห็นทีเขาคงเสียสติเสียแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมขอกระดาษแผ่นนี้ได้หรือไม่”“เอาไปสิ ถือเป็นของขวัญต้อนร
เปลวแดดไหวระริกราวกับนักเต้นระบำกำลังอวดฝีเท้าท่ามกลางแดดแผดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใสมีปุยเมฆขาวลอยแต่งแต้มชวนมองอยู่เหนือศีรษะ สองพี่น้องยืนอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม เขม้นมองนกเป็ดน้ำที่กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยความสำราญใจในบ่อที่ขุดและจัดตกแต่งเอาไว้อย่างดี ลมเย็นพัดมาเบา ๆ พอให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง “เรื่องจดหมายที่พี่เขียนมาหาข้า” มู่หรงเยว่ชิงเกริ่น “ไม่สำคัญเสียแล้ว” มู่หรงเซียวหนานตอบพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เหตุใดจึงไม่สำคัญ” “เพราะพี่ไม่ได้ทำตามที่เจ้าแนะนำ ทั้งที่ควรจะทำเช่นนั้น มันจึงสายไป” “แม้จะสายเกินไป แต่ข้าก็อยากรู้ว่าอาการที่พี่พูดถึงคืออะไรกันแน่” มู่หรงเซียวหนานเพียงแต่ถอนหายใจ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น “พี่ใหญ่ ใช่เรื่องที่เขาลือกันว่าพี่เป็นพวกตัดแขนเสื้อหรือไม่” มู่หรงเยว่ชิงเห็นว่าคงต้องเข้าประเด็นโดยเร็วเท่านั้น มู่หรงเซียวหนานหันขวับไปหาผู้เป็นน้อง “เจ้ารู้?” “ไม่ต้องตกใจไปเจ้าค่ะ ข่าวไม่ได้แพร่มาถึงในวังหลวง เพียงแต่องค์ชายชางมีสหายอยู่ในกองทัพ จึงนำเรื่องมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเท่านั้น” นางพูดปดด้วยความแนบเนียน “องค์ชายน่ะรึ”
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหยางจูกับองค์ชายเฟิงจวิ้นเป็นไปด้วยความเรียบเรื่อย เกือบทุกวันทั้งสองคนจะออกไปหาความสำราญข้างนอก เที่ยวเล่นและพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน ราวกับนางไม่เคยจากวังหลวงมาก่อน กระทั่งวันหนึ่ง ลู่อิงเอาข่าวมาแจ้งว่ากองทัพที่ชายแดนปราบกบฏจนสิ้นซาก ซ้ำยังบุกไปตีและยึดเมืองของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ศพของศัตรูกองพะเนินเทินกันรอให้นกแร้งมาจิกกิน เมื่อมันเริ่มเน่าก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว พวกที่หนีรอดไปได้ต่างเร่ร่อนผอมโซเป็นที่น่าอดสู มู่หรง เซียวหนานก็ไม่วายส่งคนข้ามไปตามจับกลับมาเป็นเชลย เขากำลังจะกลับเข้าวังหลวงเพื่อรับความดีความชอบในอีกไม่กี่วัน หัวใจของหยางจูเต้นกระหน่ำเมื่อคิดว่าจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ว่านี่คือหยางหยาง แต่นางหวังให้เขาจำไม่ได้ เพื่อที่เขาจะได้ทำเย็นชาและวางตนห่างเหิน นางจะไม่ต้องเหนื่อยกับการปฏิเสธหรืออธิบายสิ่งใด แม้นั่นจะเจ็บปวดมากก็ตามที “ช่วงนี้เจ้าดูเหม่อ ๆ นะหยางจู” องค์ชายชางทักตามประสาพี่ชายที่คอยตามดูน้องสาวอยู่ห่าง ๆ และเห็นว่าตั้งแต่กลับมา หยางจูดูไม่มีความสุขเลย ยิ่งมีข่าวว่ามู่หรงเซียวหนานกำ