ข่าวที่ได้รับทำเอาเซี่ยหานปิงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของ องค์หญิงหยางจูนั่งไม่ติดที่ เมื่อได้รู้ว่านางถูกจับตัวไปโดยฝีมือของไอ้พวกบกฏเล่นไม่ซื่อ ช่างเป็นเรื่องไร้ศักดิ์ศรีอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อพวกมันใช้วิธีการสกปรกเพื่อจะต่อรองกับแม่ทัพมู่หรงเซียวหนานเช่นนี้ แม้จะเข้าใจถึงข้อจำกัดของท่านแม่ทัพ ในการช่วยเหลือผู้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นเพียงเด็กรับใช้ และบุรุษเช่นนั้นคงไม่เอากองทัพไปแลกกับคนเพียงหนึ่งคน แต่อย่างน้อย ก็ควรทำสิ่งใดบ้าง ในเมื่อใคร ๆ ต่างก็ดูออกว่าท่านแม่ทัพมีจิตผูกพันรักใคร่นางไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความนิ่งเฉย รองแม่ทัพหรือแม้แต่ทหารรับใช้ที่เป็นสหายขององค์หญิงยังเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่า หากเซี่ยหานปิงไม่สามารถพึ่งพาชายที่มีทหารให้เลือกใช้นับหมื่นในมือ เขาก็หวังว่าตนเองจะพอมีทางช่วยเหลือองค์หญิงกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นทางนัก แต่ก็รู้ดีว่าจะรอช้าไม่ได้ เขายังไม่รู้ว่าจะบอกลู่อิงอย่างไร ไม่ให้นางสิ้นสติหรือร้องไห้คร่ำครวญ ไม่แน่ว่าหากเขาหาทางบอกหรือเลือกคำพูดไม่ดีพอ นางอาจจะทั้งสิ้นสติและฟื้นขึ้นมาร้องไห้คร่ำครวญ ต่อจากนั้นก็อาจจะ
หยางจูได้สติฟื้นขึ้นมา พบว่าตนถูกจับล่ามโซ่เอาไว้กับเสากลางลานซึ่งเป็นพื้นที่โล่งท่ามกลางวงล้อมของศัตรู ทำให้นางต้องทนหนาวทนร้อนจวนเจียนจะหมดสติอยู่หลายรอบ ดีที่มันยังหาที่บังแดดมาให้ แม้จะไม่บังลมจนนางโดนฝุ่นจับราวกับเป็นของเก่าโบราณชิ้นหนึ่ง ด้านข้างกันมีคนผู้หนึ่งที่ถูกจับล่ามโซ่เอาไว้กับเสาด้วยเช่นกัน แม้ใบหน้าจะตอบซูบลงไปมาก แต่นางจำมันได้แม่นยำ ไอ้ฟาหยางชั่ว! ต้องเป็นมันไม่ผิดดแน่ที่จับนางมาเพราะเสียงขู่ที่นางได้ยินนั้นคุ้นหูไม่น้อย สุดท้ายคนทรยศอย่างมันก็หนีไม่พ้นความตาย ใครจะโง่รับคนขายชาติเอาไว้ “ไอ้ชั่วฟาหยาง” นางด่าทอด้วยความคับแค้นใจ “เป็นเพราะแก ไอ้อ่อนปวกเปียก ข้าถึงต้องโดนจับไว้อย่างนี้” มันกล่าวโทษ “เป็นเพราะแกนั่นแหละที่คิดทรยศจับตัวข้ามา แล้วเป็นไงสุดท้ายก็ต้องมาตายที่นี่ แกมันโง่ ไอ้คนขายชาติ” “ฮ่า ๆ ๆ ถูกขังในคุกนั่นก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ตายที่นี่อย่างน้อยแกก็ต้องตายพร้อมข้า ข้าละสะใจนัก อยากรู้ว่าไอ้แม่ทัพตัดแขนเสื้อนั่นจะว่าอย่างไร” มันหัวเราะอย่างเสียสติ หยางจูนึกถึงมู่หรงเซียวหนาน เขาจะรู้ไหมว่านางถูกจับตัวมา แล้วเขาจะตามมาช่วยเหลือนางหรือไม่ ห
เมื่อกลับถึงค่ายอย่างปลอดภัย หยางจูเอ่ยถึงความต้องการของตนให้กับองครักษ์ฟังอีกครั้งเพื่อที่เขาจะได้ทำตามแผนของนางได้สะดวก “องค์หญิงแน่ใจแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหานปิงถามย้ำ เขารู้สึกเห็นใจผู้เป็นนายไม่น้อย “ข้าแน่ใจ ข้าไม่อยากสร้างเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว ต่อจากนี้ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หยางจูยืนยัน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ชีวิตนาง แต่ยังใหญ่โตถึงขั้นอาจแพ้ศึกเสียเมืองเลยทีเดียว และต้นเหตุล้วนมาจากความเอาแต่ใจของนางทั้งสิ้น เซี่ยหานปิงและจางซื่อหมิงเห็นความหนักแน่นขององค์หญิงจึงพยักหน้าให้แก่กัน แม้ในใจจะนึกเสียดาย อยากให้ความรักของผู้เป็นนายสมหวัง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ จางซื่อหมิงรีบห่มผ้าให้หยางจูเมื่อนางดื่มยาจนหมดขวด แล้วนอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียง แข็ง ๆ ลี่ถังเปิดประตูเข้ามาเพื่อจะเอาอาหารมาให้ แต่เมื่อเห็นรองแม่ทัพนั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา ก็รีบเข้ามาจับไปตามเนื้อตัวของสหายที่เย็นเฉียบ เขารู้สึกประหวั่นพรั่งพรึง จับชีพจรที่ข้อมือ และอังมือใต้จมูก แต่กลับไร้ซึ่งลมหายใจ “ท่านรองแม่ทัพ” ลี่ถังเอ่ยเสียงสั่นพร่า “หยางหยางตายแล้ว” “เป็นไปไม่ได้” “ข้าเองก
หลังจากมู่หรงเซียวหนานออกคำสั่งเข้าโจมตีกองทัพกบฏ และเป็นผู้นำในการลอบเข้าไปป่วนค่ายก่อนที่จางซื่อหมิงจะยกทัพใหญ่มาสมทบ เขากับนายทหารใต้บังคับบัญชาเผาทำลายคลังเสบียงและโรงเก็บอาวุธ สร้างความสับสนอลหม่าน และตื่นตระหนกได้เป็นอย่างดี เมื่อมองพวกมันวิ่งพล่านหาทางดับไฟ แต่ตัวเองดันติดไฟไปด้วย เขาก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าเริ่มมีการส่งคนออกตามล่ามือวางเพลิง ทุกคนจึงหนีออกมาหลบในที่ปลอดภัยที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เขาดักรอจางซื่อหมิงที่ตามมาได้ตรงเวลาตามแผน จากนั้นก็ถึงเวลาสวมบทแม่ทัพบนหลังม้าอย่างองอาจ “พร้อมหรือไม่” เขาเอ่ยถามคนข้าง ๆ เสียงกร้าว “ไม่เคยพร้อมเท่านี้มาก่อนเลย” “เดินทัพได้!!” สิ้นเสียงคำสั่ง กองทัพขนาดใหญ่เดินเรียงแถวไปตามทาง ทหารจำนวนมากเสียจนดูคล้ายกับมดละลานตา เสียงฝีเท้าย่ำลงพร้อมกันถึงขนาดทำให้แผ่นดินสะเทือน แม้จะอยู่ระยะไกลก็ยังรู้สึกได้ เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะโจมตีด้วยเกาทัณฑ์ กองทัพก็หยุดพักชั่วครู่และเตรียมอาวุธอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพที่จะกล่าวปลุกระดม ให้ขวัญกำลังใจและสร้างความกระหายในชัยชนะ แต่สำหรับมู่หรงเซียวหนาน
ปิ่นปักผมสองขามีพู่ห้อยระย้าถูกเสียบเพื่อเก็บรวบเส้นผมเงาสลวย พร้อมทั้งประดับตกแต่งให้องค์หญิงแห่งแคว้นดูงดงามสมฐานะมากขึ้น ลู่อิงเปลี่ยนมายืนด้านหน้าเพื่อจะตรวจสอบความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย เนื่องจากหยางจูจะต้องออกไปพบกับองค์ชายจากแคว้นเยี่ยน ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่นางได้นำข่าวมาบอกเมื่อครั้งทั้งคู่ยังอยู่ที่เมืองชายแดน เมืองชายแดนอันเต็มไปด้วยความทรงจำ หยางจูก้าวขาพ้นประตู ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความจำใจ นางยังคงไม่ลืมชายเพียงคนเดียวที่นางได้มอบหัวใจให้เมื่อนานมาแล้ว แต่นี่คือหน้าที่ นางจึงปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง งานเลี้ยงอันรื่นเริงท่ามกลางเสียงดนตรีครึกครื้น คละเคล้าไปกับเสียงหัวเราะและการร่ายรำ สมควรจะสร้างความรื่นเริงใจ เว้นเสียแต่ว่านางกังวลกับผู้ที่จะมาเป็นสามี ว่าเขาอาจจะนิสัยกักขฬะ ป่าเถื่อน จิตใจ คับแคบ หรือมีบางอย่างผิดปกติ และนางต้องทนอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต “องค์หญิงเพคะ หากฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นองค์หญิงทรงบึ้งตึงเช่นนี้ จะโดนดุเอานะเพคะ” “รู้แล้วน่า” นางหันไปฉีกยิ้มใส่ลู่อิง ยืนรอให้มีการเบิกตัว แล้วจึงก้าวเข้าไปในงาน คนแปลกหน้าเพียงคนเดียว
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหยางจูกับองค์ชายเฟิงจวิ้นเป็นไปด้วยความเรียบเรื่อย เกือบทุกวันทั้งสองคนจะออกไปหาความสำราญข้างนอก เที่ยวเล่นและพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน ราวกับนางไม่เคยจากวังหลวงมาก่อน กระทั่งวันหนึ่ง ลู่อิงเอาข่าวมาแจ้งว่ากองทัพที่ชายแดนปราบกบฏจนสิ้นซาก ซ้ำยังบุกไปตีและยึดเมืองของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ศพของศัตรูกองพะเนินเทินกันรอให้นกแร้งมาจิกกิน เมื่อมันเริ่มเน่าก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว พวกที่หนีรอดไปได้ต่างเร่ร่อนผอมโซเป็นที่น่าอดสู มู่หรง เซียวหนานก็ไม่วายส่งคนข้ามไปตามจับกลับมาเป็นเชลย เขากำลังจะกลับเข้าวังหลวงเพื่อรับความดีความชอบในอีกไม่กี่วัน หัวใจของหยางจูเต้นกระหน่ำเมื่อคิดว่าจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ว่านี่คือหยางหยาง แต่นางหวังให้เขาจำไม่ได้ เพื่อที่เขาจะได้ทำเย็นชาและวางตนห่างเหิน นางจะไม่ต้องเหนื่อยกับการปฏิเสธหรืออธิบายสิ่งใด แม้นั่นจะเจ็บปวดมากก็ตามที “ช่วงนี้เจ้าดูเหม่อ ๆ นะหยางจู” องค์ชายชางทักตามประสาพี่ชายที่คอยตามดูน้องสาวอยู่ห่าง ๆ และเห็นว่าตั้งแต่กลับมา หยางจูดูไม่มีความสุขเลย ยิ่งมีข่าวว่ามู่หรงเซียวหนานกำลังเดินทางกลับ
เปลวแดดไหวระริกราวกับนักเต้นระบำกำลังอวดฝีเท้าท่ามกลางแดดแผดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใสมีปุยเมฆขาวลอยแต่งแต้มชวนมองอยู่เหนือศีรษะ สองพี่น้องยืนอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม เขม้นมองนกเป็ดน้ำที่กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยความสำราญใจในบ่อที่ขุดและจัดตกแต่งเอาไว้อย่างดี ลมเย็นพัดมาเบา ๆ พอให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง “เรื่องจดหมายที่พี่เขียนมาหาข้า” มู่หรงเยว่ชิงเกริ่น “ไม่สำคัญเสียแล้ว” มู่หรงเซียวหนานตอบพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เหตุใดจึงไม่สำคัญ” “เพราะพี่ไม่ได้ทำตามที่เจ้าแนะนำ ทั้งที่ควรจะทำเช่นนั้น มันจึงสายไป” “แม้จะสายเกินไป แต่ข้าก็อยากรู้ว่าอาการที่พี่พูดถึงคืออะไรกันแน่” มู่หรงเซียวหนานเพียงแต่ถอนหายใจ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น “พี่ใหญ่ ใช่เรื่องที่เขาลือกันว่าพี่เป็นพวกตัดแขนเสื้อหรือไม่” มู่หรงเยว่ชิงเห็นว่าคงต้องเข้าประเด็นโดยเร็วเท่านั้น มู่หรงเซียวหนานหันขวับไปหาผู้เป็นน้อง “เจ้ารู้?” “ไม่ต้องตกใจไปเจ้าค่ะ ข่าวไม่ได้แพร่มาถึงในวังหลวง เพียงแต่องค์ชายชางมีสหายอยู่ในกองทัพ จึงนำเรื่องมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเท่านั้น” นางพูดปดด้วยความแนบเนียน “องค์ชายน่ะรึ” “ข้าก็ไม่ค่อยรู้มากนัก แต่ถ้ามัน
“เพคะ” “เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ” ด้วยความที่คิดมาก่อนแล้ว เขาร่ายวรรคแรกขึ้นมาอย่างลื่นไหล จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษ ตามมาด้วยเยว่ชิงที่ต่อกลอนได้รวดเร็วไม่แพ้กัน เพราะเตี๊ยมกันมาแล้ว เพราะลำพังความสามารถของมู่หรงเยว่ชิง นางไม่มีหัวทางด้านศาสตร์และศิลป์ในการแต่งกลอนสักนิด ให้นางนับเงินเห็นจะเป็นอะไรที่นางถนัดที่สุดดังฉายาของนางที่ว่าท่านหญิงตำลึงทอง มู่หรงเซียวหนานคิดอยู่เล็กน้อย เขาเลือกเอ่ยถึงคืนจันทร์วันเพ็ญที่ไม่อาจข่มตาหลับในค่าย หยางจูเกิดความรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเขากล่าวถึงนาง นางจึงแต่งต่อว่าด้วยความงดงามของดวงจันทร์ พร้อมทั้งเขียนกลอนลงไปโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิด ปลายพู่กันขององค์หญิงหยางจูสะดุดตามู่หรงเซียวหนานนัก เพราะมันเหมือนกับลายมือของใครบางคนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน เขาจึงตั้งใจพินิจทุกตัวอักษรจนนึกสงสัยอะไรบางอย่าง แม้สิ่งที่คิดอยู่เห็นจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่มันกลับจุดประกายความหวังเล็ก ๆ ขึ้นในใจเขา เห็นทีเขาคงเสียสติเสียแล้ว “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอกระดาษแผ่นนี้ได้หรือไม่” “เอาไปสิ ถือเป็นของขวัญต้อนรับการกลับมาจากพวกเรา” “ขอบพระทัย” “ถึงเวลาที่เจ้าทั้งสองจะต
“เปล่า! ข้าไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย นางตอบกลับอย่างร้อนรน เมื่อได้พูดออกไปแล้ว ลู่อิงก็นึกได้ถึงจุดประสงค์ที่ตนมาแต่แรก นางพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมาปกติ “ข้าแค่อยากจะมาขอบคุณท่าน...สิ่งนี้ของท่านใช่หรือไม่” นางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ยื่นให้เขาดูเซี่ยหานปิงมองปิ่นปักผมในมือของลู่อิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่”จากนั้นเขาก็เดินเลยนางไป หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดกระบี่ของตนอย่างทะนุถนอมลู่อิงขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่เข้าใจ หากไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของใครกัน แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยถามออกไป เสียงทุ้มต่ำของเซี่ยหานปิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “บัดนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว เป็นฮูหยินของนายพราน จะมีปิ่นปักผมสวย ๆ สักชิ้นก็ไม่แปลกนักหรอก” เขาหันมามองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์หาเงินได้มากเท่าใด”“ท่านนี้มัน....เฮ้อ!” ลู่อิงอดไม่ได้ที่จะหลุดถอนหายใจเบา ๆ ในใจนางรู้สึกอึดอัดเพราะคำพูดนั้น แต่เมื่อคิดถึงน้ำใจของเขา คำพูดต่อว่ามากมายก็ถูกนางกลืนลงท้องไป แล้วเอ่ยถามกลับด้ว
ตรงหน้านางคือปิ่นปักผมที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่สวยงาม นางจำได้ว่าได้หยุดแวะดูตอนเดินผ่านหน้าแผงขายก่อนที่จะไปเยี่ยมองค์หญิงหยางจู แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันแพงเกินไปสำหรับหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างตน ทว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็ไม่รู้ ครุ่นคิดไปก็น่าจะเป็นเซี่ยหานปิงเป็นแน่แม้ปิ่นนี้จะเรียบง่าย มีไข่มุกเพียงเม็ดเดียวอยู่ตรงด้าม แต่กลับถูกใจนางเป็นอย่างมาก แต่เพราะนางกำลังรับบทเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา จึงมิควรใช้ของแพง ๆ เช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นที่น่าสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดยิ้มออกมามิได้เมื่อคิดถึงเซี่ยหานปิง อาจจะเป็นเขาที่ซื้อมันมาให้เพื่อเป็นการเอาใจ หรืออาจจะเป็นแค่ความใส่ใจเล็กน้อยจากเขาเท่านั้น แต่สำหรับนางคงมิอาจปิดบังความดีใจได้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณ นางจึงตัดสินใจหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องพักของเซี่ยหานปิง นางเคาะประตูอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ นางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย และเมื่อไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่ภายในห้องกลับไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของบนโต๊ะยังคงอยู่ในที่เดิม ไม่มี
เซี่ยหานปิง ที่ปกติสงวนวาจา ยามนี้กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่เคย “เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าองค์หญิงเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี นางมีไหวพริบยอดเยี่ยมและเข้มแข็งกว่าที่คิดมาก อีกทั้งพวกทหารชั้นประทวนนายอื่นยังมีชีวิตที่ลำบากกว่าองค์หญิงมาก”ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดยาวเช่นนี้จากเขา “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะพูดมากขนาดนี้เลยนะ ท่านรู้จักการใช้ชีวิตในค่ายทหารดีนักหรือ”เซี่ยหานปิงหัวเราะเบา ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเขา “ข้าเคยผ่านมันมามาก่อน พอจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้าคิดว่าองค์หญิงหยางจูเข้มแข็งกว่าที่ท่านคิด ท่านควรเชื่อมั่นในนาง”“เราไปหาองค์หญิงกันอีกครั้งดีหรือไม่” ลู่อิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แม้ดวงตาของนางจะเต็มไปด้วยความหวัง แต่นางก็รู้ว่าเซี่ยหานปิงมักจะไม่อนุญาต“ไม่ได้ ไปบ่อยจะยิ่งทำให้น่าสงสัย” เซี่ยหานปิง ที่ยังคงสงบนิ่งดั่งภูผา ส่ายศีรษะเบา ๆ น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึมตามปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองและดวงตาละห้อยของลู่อิง แววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามผ่อนคลายท่าทางขอ
เซี่ยหานปิงจัดการติดต่อกับรองแม่ทัพจางซื่อหมิงเพื่อขอพบองค์หญิงหยางจู ระหว่างรอ ลู่อิงก็ยืนกระสับกระส่ายด้วยความกังวลและเป็นห่วง โดยมีเซี่ยหานปิงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ“องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน“จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน“คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่“นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู”“อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก“แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย”“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้“นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะ
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก
เมื่อเย็นย่ำอาทิตย์จวนจะลับฟ้า เทศกาลล่าไก่ป่าก็สิ้นสุดลง เซี่ยหานปิงกลับมาพร้อมกับไก่ป่าสิบห้าตัว เหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยเช่นเคย ดูท่าว่าเขาจะไม่ออมมือให้กับชายอื่นในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อยลู่อิงมองสามีกำมะลอของนางด้วยความชื่นชมปนขำขัน นางรู้นิสัยเขาดี เซี่ยหานปิงไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คงจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฝีมือการล่าสัตว์ได้ง่าย ๆ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่ป่าเท่านั้น แต่ข้าง ๆ ยังมีหมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกล่ามาอีกตัว“ยินดีด้วยแม่นางเซี่ย สามีเจ้าชนะการแข่งขันล่าไก่ป่าครั้งนี้แล้ว ไปรับของรางวัลกับท่านผู้นำหมู่บ้านเถอะ” ฮูหยินจางเดินเข้ามาแสดงความยินดีก่อนใคร ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำชมจากบรรดาหญิงสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ลู่อิงยิ้มรับคำยินดีด้วยท่าทีที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีไม่น้อยของรางวัลที่ได้รับเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างดีและไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีกสองตัว ลู่อิงอดคิดไม่ได้ว่าเทศกาลล่าไก่ป่ากลับได้ไก่บ้านมาเป็นรางวัล นางยิ้มขำในใจแต่ยังคงกล่าวขอบคุณท่านผู้นำหมู่บ้า
ลู่อิงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันที่หมู่บ้านมีเทศกาลล่าไก่ป่า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักของชาวบ้าน เด็กน้อยชายหญิงวิ่งถือขนมหวานน้ำตาลปั้น ส่งเสียงหัวเราะสดใสทั่วทั้งบริเวณ ลู่อิงยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นความมีชีวิตชีวานั้น นางเองก็มาช่วยฮูหยินคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมอาหารในกระโจมใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ชายก็ออกไปล่าไก่ในป่าตามธรรมเนียมของเทศกาลแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความกังวลบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของลู่อิงองค์หญิงหยางจูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?องค์หญิงของนางอยู่ในค่ายทหารท่ามกลางความอันตรายโดยปลอมตัวเป็นทหาร คงเหน็ดเหนื่อยและลำบากมิใช่น้อย ลู่อิงคิดขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น นางจึงรีบไปหาเซี่ยหานปิงราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งขัดหัวลูกธนูเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมเทศกาลล่าไก่ป่า เขาครุ่นคิดว่าการเข้าร่วมเทศกาลนี้เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเข้าใกล้ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งยังได้ไก่ป่ากลับมาทำอาหารอีกด้วย และแน่นอน ลู่อิงคงจะดีใจที่มีไก่มาทำไก่ตุ๋นยาจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นางทำเป็นประจำแทบจะทุก ๆ สามสี่วัน เขาคิดว่าต
“หามิได้ เพียงแต่แม่นางลู่ลืมแล้วว่าเรามีภารกิจอันใด ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าไม่มีเวลาดูแลท่านได้ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น”“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเช่นนี้”ลู่อิงนอนนิ่งบนเตียง ความคิดสับสนวุ่นวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าภารกิจที่นางและเซี่ยหานปิงได้รับนั้นสำคัญเพียงใด การที่ทั้งสองต้องปลอมตัวมาอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่วางมาอย่างรอบคอบ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับ องค์หญิงหยางจู ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเป็นทหารรับใช้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานผู้ซึ่งนางแอบมีใจองค์หญิงหยางจู แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ นางเลือกที่จะเสี่ยงต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นชาย เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับมู่หรงเซียวหนานในฐานะทหารรับใช้ เพื่อหวังว่า ความใกล้ชิดและการอุทิศตนจะช่วยให้ท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมผู้นี้รู้สึกถึงความรักที่นางมีให้ลู่อิงชื่นชมความรักมั่นขององค์หญิงหยางจู และสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงของนางตัดสินใจทำเช่นนั้นเพราะ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะให้องค์หญิงหยางจูอภิเษกกับองค์ชายจากต่างแคว้นเพื่อเชื่
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เซี่ยหานปิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาสวมชุดผ้าไหมสะอาดสีดำที่มีกลิ่นหอมของดอกไห่ถังอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ลู่อิงใช้อบเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ขณะนั้นฮูหยินจางกำลังป้อนน้ำแกงรากบัวให้ลู่อิงพอดีเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา“เซี่ยหานปิง” ฮูหยินจางเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน“อืม...นางเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะพยายามซ่อนมันไว้“ดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่ ตาเฒ่าจางบอกว่าพักอีกสักสองสามวันก็คงหายดี” ฮูหยินจางตอบ“เช่นนั้น...”“เช่นนั้นท่านก็ป้อนน้ำแกงนี้ให้นางเถอะ ข้าจะไปดูยาต้มเสียหน่อย” ฮูหยินจางกล่าวตัดบท นางพอจะดูออกว่าสองสามีภรรยาห่างเหินกันยิ่งนัก ทั้งเมื่อวันก่อนตอนที่ลู่อิงถามถึงสามีกับนาง นางยังทันได้เห็นใบหน้าน้อยอกน้อยใจนั้นด้วย“แต่ข้า...”“เอาเถอะ ๆ ท่านป้อนนางไปดี ๆ แล้วกัน” ฮูหยินจางรีบยัดถ้วยน้ำแกงใส่มือของเซี่ยหานปิง ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งความกระอักกระอ่วนไว้ระหว่างสองสามีภรรยาเซี่ยหานปิงมองถ้วยน้ำแกงในมือด้วยความลังเลทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ถนัดเรื่องการดูแลคนป่วยนัก ลู