เสี่ยวเจียหน้าซีดลง นางไม่คิดว่าอาเต๋อจะยอมรับออกมาตรงๆ ยามนั้นนางออกไปพบกับชิงฉางที่นัดพบนางและเห็นทั้งคู่เข้า ก่อนที่ชิงฉางจะเอ่ยว่าเขาคิดจะถอนหมั้นกับซูมี่เพื่อมาหมั้นหมายกับนาง
ทำให้เสี่ยวเจียคิดแผนนี้ขึ้นมาทันที เพราะนางคิดว่าอาเต๋อที่ชื่นชอบซูมี่อยู่แล้วคงจะยอมรับออกมาเพื่อให้ได้แต่งกับนาง
"เจ้าทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย เจ้าต้องชดใช้" ซูมี่หันไปหาเสี่ยวเจียอย่างดุดันก่อนที่จะแบมือแล้วขอค่าทำขวัญจากเสี่ยวเจียห้าตำลึง
"แล้วก็ไปบอกบุรุษที่เจ้านัดพบให้นำหนังสือหมั้นมาคืนข้า มิเช่นนั้นข้าจะนำเรื่องที่พวกเจ้าลอบพบกันประกาศไปทั่วหมู่บ้าน" ซูมี่เดินไปกระซิบที่ข้างหูของเสี่ยวเจีย
เสี่ยวเจียล้มลงไปกองกับพื้น นางไม่คิดว่าเรื่องที่นางนัดพบกับชิงฉาง ซูมี่นางจะพบเห็นเข้า ซูมี่ยัดเงินห้าตำลึงใส่ถุงเงินของนางก่อนจะเดินกลับเรือนของนางไปอย่างสบายใจ
ในเมื่ออยากให้นางเป็นนางร้าย นางก็จะร้ายให้เต็มที่
เช้าวันรุ่งขึ้น ชิงฉางก็นำสัญญาหมั้นหมายมาคืนให้ซูมี่ พร้อมทั้งให้ผู้นำหมู่บ้านมารับรู้ด้วย ชาวบ้านที่มาร่วมรับรู้ต่างคิดว่าซูมี่จะร้องห่มร้องไห้ แต่เมื่อเห็นนางมองหนังสือสัญญาถอนหมั้นที่มือแล้วยิ้มอย่างยินดีก็พากันมองนางอย่างแปลกใจ
"ข้ายินดีกับเจ้าด้วยเสี่ยวเจีย" ซูมี่ที่เห็นเสี่ยวเจียยืนมองเหตุการณ์ที่เรือนของท่านผู้นำหมู่บ้านด้วยก็เอ่ยเสียงดังออกมา
"เจ้าจะมายินดีกลับข้าเรื่องอันใด" เสี่ยวเจียหันซ้ายหันขวามองชาวบ้านอย่างระแวง
"เอ่อ มิใช่ชิงฉางสัญญาจะมาหมั้นหมายกับเจ้าหรือหลังจากถอนหมั้นข้า" ซูมี่มองอย่างใสซื่อ
ชาวบ้านที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเสี่ยวเจียกับชิงฉางสลับไปมา
"เจ้าพูดอันใดมี่เออร์" ชิงฉางเอ่ยดุนางเสียงเข้ม
"อ้าวมิใช่เจ้าบอกนางเช่นนั้นหรือ นางถึงกล้าใส่ร้ายข้าเรื่องอาเต๋อ" เมื่อซูมี่พูดจบ เสียงฮือฮาของชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเหมือนจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดก็มองทั้งคู่ด้วยสายตาต่อว่า
ชิงฉางถลึงตามองวูมี่ก่อนที่เขาจะรีบเดินหนีออกไป โดยไม่สนสายตาของเสี่ยวเจียที่มองมาอย่างมีความหวัง ซูมี่นางก็ทำเพียงแค่หยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะเดินคล่องแขนมารดากลับเรือนไป
"เจ้านี่นา" จางกุ้ยจิ้มจมูกบุตรสาวอย่างมันเขี้ยว ก่อนหน้านี้นางพูดแล้วว่าอย่าได้พูดออกไป แต่บุตรสาวตัวดีกลับไม่เชื่อนาง
"ท่านพ่อ ท่านแม่รีบเข้าเรือนเร็วเจ้าค่ะ ข้ามีอะไรจะบอกพวกท่าน" ซูมี่รีบดึงแขนให้มารดาออกเดินกลับเรือนเร็วขึ้น
เมื่อมาถึงภายในเรือน ซูมี่ก็พาบิดามารดามานั่งที่เก้าอี้ในห้องโถงก่อน
"พวกท่านอย่าตกใจนะเจ้าค่ะ" ต้าหลางกับจางกุ้ยพยักหน้ารับ
"พวกท่านพร้อมหรือยังเจ้าคะ" เมื่อเห็นบิดามารดาพยักหน้ารับ
ซูมี่ก็เอ่ยนึกถึงของที่อยู่ภายในมิติ นางเรียกให้ข้าวสารและเนื้อออกมาด้านนอก เมื่อมีของปรากฏขึ้นกลางห้องโถง ต้าหลางกับจางกุ้ยก็กระโดดมานั่งกอดกันอย่างตกใจ
"กะ เกิดอันใดขึ้น" ต้าหลางที่เพิ่งหาเสียงเจอก็เอ่ยขึ้นมา
ซูมี่เล่าเรื่องที่วิญญาณของนางหลุดไปอีกภพหนึ่งที่มีความเป็นอยู่ที่เจริญมากกว่าที่นี่ นางได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพรและวิธีการรักษาคน และนางก็ได้มิติติดตัวมาด้วย ทำให้นางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นล่วงหน้า แต่ที่ซูมี่มิได้เล่าคือเรื่องที่นางจบชีวิตในภพนี้แล้วได้ไปเกิดใหม่ที่ยังมีความทรงจำเดิม
กว่าซูมี่จะเล่าเรื่องและอธิบายให้บิดามารดาเข้าใจก็ใช้เวลาอยู่นาน กว่านางจะปลอบให้มารดาที่ยังตกใจสติกลับเข้าทีก็แทบจะถึงเวลาอาหารเย็นเสียแล้ว
ในเมื่อตกใจกันไปแล้วซูมี่ถามเป่าเปาในใจว่านางสามารถพาบิดามารดาเข้ามิติได้หรือไม่ เมื่อเป่าเปาบอกว่าได้ ซูมี่ก็ไม่รอให้บิดามารดาได้เตรียมใจนางจับไปที่มือของทั้งคู่ก่อนจะพาหายตัวเข้าไปด้านใน
ต้าหลางกับจางกุ้ยเมื่อยืนทรงตัวได้แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทั้งคู่ที่ไม่รู้ว่ายังมีสติเหลืออยู่ได้อย่างไรเพราะเรื่องทั้งหมดที่พวกเขารับรู้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
"เป่าเปาคารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ" เป่าเปาเรียกต้าหลางกับจางกุ้ยตามซูมี่
ทั้งคู่กระโดดถอยหลังและกอดกันตัวสั่น เมื่อเห็นทูตน้อยเป่าเปาที่มีร่างเป็นคนแต่นางมีปีกบินได้ ซูมี่รีบเขาไปปลอบเรียกสติบิดามารดา ก่อนจะแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกับเป่าเปา
"ท่านพ่อ ท่านแม่ เป่าเปาไม่น่ากลัว เป่าเปาน่ารักเจ้าค่ะ" เป่าเปาบินนำหน้าพาต้าหลางและจางกุ้ยเพื่อพาไปดูสิ่งต่างๆภายในมิติ
เสียงเล็กๆที่แนะนำทั้งคู่ไปตลอดทางทำให้ซูมี่เผลอยิ้มออกมา เมื่อบิดามารดาเห็นข้าวข้างมากมายที่กองอยู่ในโกดังก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ ต้าหลางที่เห็นแปลงสมุนไพรหายากก็วิ่งเข้าไปดู เขาคิดว่าหากขุดไปขายจะได้เงินมากเพียงใด
ซูมี่มองบิดามารดาอย่างขบขัน เพราะมารดาก็เหมือนจะเดินดูของอย่างสนใจอยู่ในโกดัง ส่วนบิดาก็ลูบหัวโสมที่แปลงอย่างหวงแหน
"เป่าเปา โสมขุดไปขายได้หรือไม่" ซูมี่ที่เห็นแววตาของบิดาที่อยากจะขุดเหลือเกินก็เอ่ยถามเป่าเปา
"โสมที่นายหญิงปลูกไว้ อายุห้าสิบปีแล้วเจ้าค่ะ หากอยากขุดไปขายก็ขุดได้เลยเจ้าค่ะ" เป่าเปาที่กำลังจะโบกมือเพื่อเก็บผลผลิตในแปลงทั้งหมดก็โดนห้ามไว้เสียก่อน
"ท่านพ่อ ท่านอยากได้กี่หัวก็ขุดเถิดเจ้าค่ะ" ซูมี่หันไปพูดกับบิดา เมื่อได้ยินบุตรสาวพูดต้าหลางก็รับที่ขุดมาจากเป่าเปาและลงมือขุดอย่างเบามือทันที
ต้าหลางนำออกมาเพียงสามหัวเท่านั้นมิได้นำออกไปขายมาก เพราะเขาอยากจะนำเงินไปสร้างเรือนหลังใหม่ หากจะนำของในมิติออกไปก็ต้องหลบสายตาของชาวบ้าน จึงอยากให้มีกำแพงเรือนที่สูงขึ้น และบ้านที่แข็งแรงเพื่อให้ผ่านหน้าหนาวไปได้ซูมี่นางรู้สึกหิวจึงชวนบิดามารดาออกจากมิติเพื่อไปทำอาหารที่เรือน ซูมี่ที่เห็นมารดาหอบของอยู่ในอ้อมแขนมากมายก็ส่ายหัว ก่อนที่จะพาทั้งสองออกไป ต้าหลางกับจางกุ้ยก็ยังเอ่ยลาและบอกจะเข้ามาหาเป่าเปาบ่อยๆอีกด้วยเมื่อออกมาด้านนอกแล้ว เวลาที่ผ่านไปเหมือนพวกเขาเข้าไปได้ไม่นาน ต้าหลางกับจางกุ้ยที่คิดว่าออกมาฟ้าจะมืดเสียแล้วต่างก็แปลกใจ"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูมี่พูด นางจางกุ้ยก็รีบร้อนหอบของเข้าครัวไปก่อนจะรีบลงมือเร่งทำอาหารอย่างรวดเร็วทั้งสามนั่งกินข้าวอย่างรวดเร็ว เมื่อมีเครื่องปรุงที่มากกว่าเดิมอาหารที่ทำออกมาจึงมีรสชาติที่หน่อยกว่าในทุกวัน กับข้าวที่มากมายบนโต๊ะทั้งสามก็กินเสียหมดเรียบชิงฉางที่อ่านหนังสืออยู่ในเรือน เพราะเรือนของเขาอยู่ติดกับตระกูลซูย่อมต้องได้กลิ่นอาหารที่ลอยมาถึงเรือนของเขา ชิงฉางต้องปิดตำราลงเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง และเขาก็เดินไปดื่มน้ำ
ท่านผู้นำหมู่บ้านก็รับไว้อย่างเต็มใจ แต่ก่อนที่ต้าหลางจะกลับเขาได้สอบถามเรื่องหาคนสร้างเรือนหลังใหม่ ผู้นำหมู่บ้านก็รับปากว่าจะจัดหาคนให้อย่างเต้มที่ เพราะบุตรชายคนโตของเขารับสร้างเรือนอยู่ ในช่วงนี้ก็ยังว่างพอดีจึงเริ่มสร้างเรือนให้ต้าหลางได้เลยต้าหลางเมื่อเสร็จเรื่องที่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้านเขาก็ตรงกลับเรือนเพื่อนำเรื่องไปแจ้งให้สองแม่ลูกได้รับรู้ ทั้งสามเดินไปดูที่ดินที่ต้าหลางได้ทำการซื้อไว้เรียบร้อยแล้วซูมี่มองที่สองร้อยหมู่แล้วถอนหายใจ ที่มากเพียงนี้คงต้องหาคนเพิ่มเสียแล้ว "ท่านพ่อ ท่านแม่ สร้างเรือนตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ" ซูมี่ต้องการสร้างเรือนให้อยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำมากนัก เพราะนางอยากดึงน้ำเข้ามาใช้ที่เรือนโดยไม่ต้องเดินไปหาบน้ำอีกแล้วต้าหลางเมื่อมองไปทิศที่บุตรสาวชี้ก็หยุดนิ่งคิด เพราะใกล้แม่น้ำมากไปก็ไม่ดี ช่วงน้ำมากอาจจะท่วมมาถึงเรือนได้ เมื่อได้ฟังและคิดตามที่บิดาพูดก็เห็นจะเป็นจริง เพราะตอนที่นางยังเล็กก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอยู่เรือนหลังใหม่จึงถูกสร้างด้านหน้าของที่ดิน ด้านหลังก็ปลูกข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรแทน จางกุ้ยที่นางไม่ได้แสดงความคิดเห็นเพราะยังตกตะลึงกับจำ
ของที่ขนมานำมาไว้ที่ห้องโถง เมื่อชาวบ้านเข้ามาภายในเรือนก็ต้องตกตะลึงกับความกว้างขวางภายใน และห้องนอนที่มีมากถึงห้าห้องนอนซูมี่นำของไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เมื่อเดินออกมาชาวบ้านก็เดินชมเรือนเสร็จแล้ว นางเห็นมารดายืนคุยอยู่กับท่านป้าฝูก็เลยเดินเข้าไปหา"มี่เออร์มาพอดี ป้าฝูถามแม่เรื่องหมั้นหมายของเจ้า" จางกุ้ยเมื่อเห็นบุตรสาวส่งสายตาให้จึงได้หันไปปฏิเสธป้าฝูที่ต้องการจะหาคู่หมั้นคนใหม่ให้ซูมี่เมื่อส่งชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ซูมี่นางก็เริ่มนำของออกมาใช้แต่เพียงภายในห้องนอนของนางและบิดามารดาก่อน เพราะยังมีคนงานและชาวบ้านที่ยังมาทำงานอยู่ ของในเรือนจึงยังนำออกมาไม่ได้สองเดือนต่อมาเรือนข้างกับห้องพักคนงานก็เสร็จลง จางกุ้ยที่จ่ายเงินครั้งสุดท้ายให้กับฉินโกวก็อดที่จะเสียดายมิได้ เพราะว่าค่าสร้างเรือนก็หมดไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง"ท่านแม่ หากท่านอยากมีเงินเพิ่มก็ให้ท่านพ่อนำโสมไปขายอีกดีหรือไม่เจ้าคะ""ไม่ได้ ไม่ได้ จะมีผู้ใดโชคดีพบโสมปีหนึ่งสองสามครั้ง" ต้าหลางโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย"เช่นนั้นก็หาคนงาน เพื่อปลูกผัก สมุนไพรขายเถิดเจ้าค่ะ" ต้าหลางกับจางกุ้ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแต่ความกังวลใ
"นายท่านขอรับ" ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามนายหน้าไปทำสัญญา ก็ถูกหนึ่งในทาสที่ซื้อไว้ดึงรั้งชายเสื้อของต้าหลาง"มีอันใด" ต้าหลางหันไปมองอย่างข้องใจ เมื่อเห็นทาสนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น"ทะท่าน ช่วยพาภรรยากับบุตรสาวของข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ" ต้าหลางหันมาหาซูมี่อย่างหนักใจก่อนที่ซูมี่จะเอ่ยพูด ทาสอีกห้าคนก็คุกเข่าลงเสียงดังและบอกความต้องการที่เหมือนกัน"เช่นนั้นก็ซื้อไปทั้งหมดเถิดท่านพ่อ" ซูมี่ถอนหายใจ หากมิใช่เป่าเปารับรองนางก็ไม่กล้าพาทุกคนกลับไปที่เรือน เพราะกลัวจะล่วงรู้เรื่องของนางนายหน้าที่ได้ยินก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะให้คนไปพาครอบครัวของทั้งห้าออกมา แล้วเดินนำต้าหลางกับซูมี่ไปห้องรับรองเพื่อจ่ายเงินและมอบสัญญาของทาสทั้งหมดให้จากที่ต้าหลางจะได้ทาสบุรุษไปทำงานเพียงยี่สิบคน กับต้องพากลับถึงสามสิบสองคน"ท่านมีรถม้าไปส่งที่จวนข้าหรือไม่" ซูมี่หันไปถามนายหน้า เขาก็รีบสอบถามที่อยู่ก่อนจะรับปากว่าจะไปส่งคนที่หมู่บ้านให้ซูมี่เดินไปที่กลุ่มคนที่นางซื้อไว้ ก่อนจะมอบเงินให้เขาสิบตำลึงทองเพื่อไปซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคน โดยนางยกให้เขาเป็นพ่อบ้านจัดการเรื่องทุกเรื่องไปเลย เมื่อสอบถามความได้ว่าเขาเคยเป
"ข้ามีเรื่องที่จะขอพวกท่านเพียงเรื่องเดียวเจ้าค่ะ" ซูมี่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากที่นางตั้งชื่อให้ทุกคนเสร็จ"เชิญคุณหนูพูดได้เลยขอรับ"ท่านลุงกวงเอ่ยแทนทุกคน"เรื่องที่พวกท่านเห็นภายในเรือน ห้ามนำออกไปพูดที่ใดเด็ดขาด หากมีคนใดที่พูดออกไปข้ารับรองว่าคนนั้นต้องเสียใจแน่นอนเจ้าค่ะ"ทุกคนคุกเข่าลงยกมือสาบานว่าเรื่องที่พวกเขาพบเห็นจะไม่มีวันนำออกไปพูดเด็ดขาด ซูมี่ที่เห็นเช่นนั้นนางก็หายเข้าไปในเรือน และบอกให้ทุกคนรอนางด้านนอกสักประเดี๋ยว"เชิญเจ้าค่ะ" เพียงไม่นานซูมี่ก็ออกมาเรียกทุกคนเข้าไปทุกคนเดินตามนางไปอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นของที่กองอยู่ที่ห้องโถงต่างก็ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา เพราะที่นอนและหมอน ผ้าห่มที่กองอยู่พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่จวนท่านเจ้าเมืองหรือขุนนางใหญ่ก็ไม่มีให้เห็น"ให้พวกข้าหรือขอรับ" ท่านลุงถังเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ"เจ้าค่ะ พวกท่านลองดูว่าพอกับจำนวนคนหรือไม่" เมื่อนับแล้วก็พบว่ามากกว่าจำนวนคนเสียอีก ซูมี่นางจึงให้พวกเขาช่วยยกที่เหลือไปเก็บที่ห้องว่างในเรือนหลักที่นางพักอยู่กับบิดามารดา"ส่วนเรือนข้างสองเรือนและเรือนด้านหลังพวกท่านก็แ
แม้นางจะไปดักรอที่หน้าเรือนก็ไม่เคยได้พบเขา จนวันนี้ที่นางกำลังจะไปดักรอเช่นเดิมก็เห็นชิงฉางมาพร้อมรถม้าเพื่อมาเก็บของที่เรือนจึงได้รีบร้อนมาหาซูมี่เสียก่อน"ข้ากับชิงฉางมิได้เป็นคู่หมั้นกันแล้ว เขาจะมากับใครไปที่ใดล้วนไม่เกี่ยวกับข้า" ซูมี่เมื่อพูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเข้าเรือนเพื่อไปทำงานต่อ"เจ้าต้องไปกับข้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่ข้ากับพี่ชางลอบพบกัน" เสี่ยวเจียเหมือนเสียสติไปแล้วนางลากซูมี่อย่างแรงเพื่อเดินไปเรือนของชิงฉางแม้โม่ลี่จะเข้าช่วยเหลือแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของเสี่ยวเจียที่เหมือนจะขุดแรงทั้งหมดที่นางมีเพื่อลากตัวซูมี่ไปด้วย ซูมี่จำต้องยอมให้นางลากตัวไป โม่ลี่ก็เดินตามไปด้วยอย่างเป็นห่วงเมื่อมาถึงหน้าเรือนของชิงฉางก็พบว่ายังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่มาสอบถามเขาอยู่ ซูมี่นางเพียงยืนกอดอกรออยู่ข้างนอกเพื่อดูเรื่องสนุก"เสี่ยเจียไปตามเจ้ามาจนได้" เสี่ยวเผ่ยเมื่อเห็นซูมี่นางยืนอยู่ด้วยก็เดินเข้ามาหาพร้อมพูดคุยทันที"อืม ก็อย่างที่เจ้าเห็น เสี่ยวเจียดูท่าจะเสียสติไปแล้ว" ซูมี่ส่ายหัวเพราะตอนนี้เสี่ยวเจียเดินเข้าไปหาชิงฉางแล้วโวยวายเสียงดัง โดยไม่สนสายตาของชาวบ้านที่มองนางอย่าางแปลกใ
วันต่อมาเสี่ยวเผ่ยมาหาซูมี่ที่เรือนเพื่อดูว่านางเป็นเช่นใดบ้างก็เล่าเรื่องเหตุการณ์หลังจากที่ซูมี่นางกลับไปแล้วให้ฟังคำพูดของซูมี่ทำให้ชาวบ้านรู้ว่าถิงถิงนางกำลังตั้งครรภ์และบุตรในท้องเป็นลูกของชิงฉาง เสี่ยวเจียเมื่อรู้เรื่องก็ตรงเข้าไปทำร้ายถิงถิงที่รถม้าแต่ถูกชิงฉางกับชาวบ้านช่วยกันจับตัวไว้เสียก่อนชิงฉางจึงได้รีบขึ้นรถม้าไปนั่งกับถิงถิงแล้วรีบออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว ภายในรถม้าเสี่ยวเผ่ยไม่ได้เห็นใบหน้าของถิงถิงแต่รู้ได้ว่าทั้งคู่กำลังมีปากเสียงกันอยู่และมีเสียงร้องไห้ของถิงถิงดังออกมาจากด้านในด้วยซูมี่ที่นั่งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมิได้เอ่ยขัดก็ยิ้มน้อยๆขึ้นมา"เห้อ เห็นใจก็แต่เสี่ยวเจียไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นเช่นใดบ้าง" ซูมี่เอ่ยออกมาจากใจจริงหากนางยังไม่ถอนหมั้นกับชิงฉางและไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมด นางในตอนนี้คงมีสภาพไม่ต่างจากเสี่ยวเจียเพราะการที่ได้ไปเกิดในยุคใหม่ทำให้นางได้รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่ต้องพึ่งบุรุษนางก็อยู่ได้ แต่อาจจะได้รับเสียงนินทาจากชาวบ้านมากเสียหน่อยเสี่ยวเผ่ยอยู่คุยเล่นต่ออีกครู่นางก็ขอตัวกลับเรือนไปช่วยมารดาของนางทำงาน ซูมี่นางจึงได้ออกไปเดินเล่นดูที
ซูมี่กับสือเอ้อเดินเล่นสำรวจไปทั่วจนมาถึงริมแม่น้ำ สือเอ้อที่วิ่งเล่นอย่างซุกซนก็วิ่งหน้าตื่นกลับมาหานาง"คุณหนู คุณหนู" เสียงสือเอ้อตะโกนมาแต่ไกล"อย่าวิ่งประเดี๋ยวหกล้ม" ซูมี่ที่เห็นก็รีบร้องห้าม"ข้าเห็นคนขอรับ""เพียงแค่คนตกใจอันใด" สือเอ้อที่หอบอยู่ก็ยังไม่ทันพูดจบซูมี่นางก็เอ่ยแทรกเสียแล้ว"บุรุษคนนั้นร่างเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่ที่ริมแม่น้ำขอรับ" ซูมี่ขมวดคิ้วก่อนที่จะเดินไปตามทิศที่สือเอ้อชี้บอกนางนางให้สือเอ้อวิ่งไปตามคนอื่นมาที่ริมแม่น้ำ เมื่อเดินไปถึงชายคนนั้นใบหน้าก็แทบจะไร้สีเลือดแล้ว เนื้อตัวของเขามีรอยแผลจากดาบอยู่หลายแห่งซูมี่นางลากคนขึ้นมาจากน้ำแล้วเริ่มตรวจว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาจะแทบจะไร้ลมหายใจอยู่แล้ว"นายหญิงท่านนำน้ำวิเศษให้เขาดื่มก่อนเจ้าค่ะ" เสียงของเป่าเปาดังขึ้นในความคิดของนาง"จะไม่เกิดเรื่องอันใดตามมาใช่หรือไม่" ซูมี่เอ่ยถามอย่างกังวล"ไม่เกิดหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านช้าบุรุษผู้นี้จะตายแล้วนะเจ้าคะ" ซูมี่นางจึงเรียกน้ำวิเศษออกมาจากในมิติแล้วป้อนไปที่ปากของบุรุษผู้นั้น"เหอะ หากอยากตายก็ไม่ต้องดื่ม" ซูมี่ที่หมดความอดทนเพราะไม่ว่านางจะป้อนเ
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ