วันต่อมาเสี่ยวเผ่ยมาหาซูมี่ที่เรือนเพื่อดูว่านางเป็นเช่นใดบ้างก็เล่าเรื่องเหตุการณ์หลังจากที่ซูมี่นางกลับไปแล้วให้ฟัง
คำพูดของซูมี่ทำให้ชาวบ้านรู้ว่าถิงถิงนางกำลังตั้งครรภ์และบุตรในท้องเป็นลูกของชิงฉาง เสี่ยวเจียเมื่อรู้เรื่องก็ตรงเข้าไปทำร้ายถิงถิงที่รถม้าแต่ถูกชิงฉางกับชาวบ้านช่วยกันจับตัวไว้เสียก่อน
ชิงฉางจึงได้รีบขึ้นรถม้าไปนั่งกับถิงถิงแล้วรีบออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว ภายในรถม้าเสี่ยวเผ่ยไม่ได้เห็นใบหน้าของถิงถิงแต่รู้ได้ว่าทั้งคู่กำลังมีปากเสียงกันอยู่และมีเสียงร้องไห้ของถิงถิงดังออกมาจากด้านในด้วย
ซูมี่ที่นั่งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมิได้เอ่ยขัดก็ยิ้มน้อยๆขึ้นมา
"เห้อ เห็นใจก็แต่เสี่ยวเจียไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นเช่นใดบ้าง" ซูมี่เอ่ยออกมาจากใจจริง
หากนางยังไม่ถอนหมั้นกับชิงฉางและไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมด นางในตอนนี้คงมีสภาพไม่ต่างจากเสี่ยวเจีย
เพราะการที่ได้ไปเกิดในยุคใหม่ทำให้นางได้รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่ต้องพึ่งบุรุษนางก็อยู่ได้ แต่อาจจะได้รับเสียงนินทาจากชาวบ้านมากเสียหน่อย
เสี่ยวเผ่ยอยู่คุยเล่นต่ออีกครู่นางก็ขอตัวกลับเรือนไปช่วยมารดาของนางทำงาน ซูมี่นางจึงได้ออกไปเดินเล่นดูที่ดินที่บิดากับคนงานกำลังทำแปลงปลูกกันอยู่
ต้าหลางใช้รูปแบบแปลงเช่นเดียวกับในมิติของซูมี่ เพราะเขาคิดว่ามันสะดวกเวลาเดินเก็บผลผลิต และการยกร่องด้านข้างเพื่อปล่อยน้ำเข้าไปก็สะดวกสบายสำหรับคนงานด้วย
ซูมี่นางยังเพาะต้นกล้าของต้นข้าวไว้แทนการหว่านอีกด้วย ต้าหลางก็ไม่ขัดใจบุตรสาวเพราะรู้ว่านางมีความสามารถมากกว่าเขา
ตัวซูมี่นางรู้เพียงจากหนังสือที่นำมาด้วย หากจะให้นางลงมือทำด้วยตนเองนั่นยังไม่เคยและเห็นทีจะเป็นไปได้ยาก เพียงต้นไม้ที่นางซื้อมาปลูกที่หอพักยังตายเลย
"นายหญิงท่านมีน้ำวิเศษจะกลัวอันใดเจ้าค่ะ" เป่าเปาที่ล่วงรู้ความคิดของซูมี่ก็เอ่ยขึ้น
"ข้าไม่ได้กลัวว่าน้ำวิเศษจะใช้การไม่ได้ ข้าขี้เกียจเท่านั้น" เป่าเปาเบ้ปากเมื่อได้ยินสิ่งที่นายหญิงพูดออกมาอย่างดูแคลน
ก็จริงอย่างที่ซูมี่นางคิด ในเมื่อเสียเงินซื้อตัวคนงานมามากถึงสามสิบกว่าคน แล้วเหตุใดนางต้องมาลงมือเพาะปลูกเองด้วยเล่า
ต้าหลางพาคนงานปรับหน้าดินอยู่สามวัน ตอนแรกซูมี่นางจะใส่ปุ๋ยบำรุงดินด้วย แต่เป่าเปานางบอกว่าน้ำในบึงก็เหมือนเป็นปุ๋ยบำรุงดินแล้วไม่ต้องใส่ เพียงใช้น้ำในบึงผสมน้ำในแม่น้ำก็ใช้ได้แล้ว
ระหว่างที่รอต้นกล้าผักและต้นข้าวที่เพาะไว้ ซูมี่นางก็หางานมาให้ทุกคนได้ทำ ดอกบัวภายในมิติที่มีอยู่มากมายภายในบึงและมีตลอดทั้งปี ต่อให้นางเก็บไปมากเพียงใดดอกบัวในบึงก็จะเติบโตเข้ามาแทนที่มากเท่านั้น
ตอนนี้ลานเรือนใต้ต้นไม้ใหญ่มีคนงานนั่งล้อมรอบดอกบัวที่กองเต็มไปหมด สีหน้าของแต่ละคนตอนนี้เรียบเฉยเสียแล้วไม่มีอาการแตกตื่นตกใจเช่นตอนแรก
หากซูมี่นางจะเอาของในมิติออกมาต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่มีใครที่ตกใจแล้ว หรือถ้านางหายตัวเข้าไปในมิติก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนไปแล้ว
ซูมี่นางให้แยกกลีบดอก เกสรดอกออกเพื่อนำไปตากแห้งจะได้ทำเป็นชาไว้ดื่ม และนางยังคิดที่จะนำไปขายอีกด้วย
"คุณหนูดอกบัวกินได้หรือขอรับ" สือเอ้อวัยแปดหนาวถามนางด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
"กินได้สิ สือเอ้อก็จะได้กินด้วยนะ" ซูมี่บีบแก้มของสือเอ้อที่ตอนนี้เริ่มเป็นซาลาเปาลูกน้อยๆแล้ว
ซูมี่จึงได้บอกสรรพคุณทางยาของดอกบัวและเกสรบัวหลวงคือใช้บำรุงหัวใจ แก้ไข้ตัวร้อน แก้อ่อนเพลีย ขับโลหิต ขับเสมหะ แก้จุกเสียด และแก้ท้องเสียให้ทุกคนได้รู้ เพื่อให้เขาแบ่งไว้ดื่มกินกันทุกวัน
ยิ่งเป็นดอกบัวที่เกิดในบึงภายในมิติสรรพคุณที่ได้ย่อมดีกว่าดอกบัวที่เกิดด้านนอกแน่
ซูมี่นางให้โม่ลี่น้ำเกสรดอกบัวสดที่เพิ่งนำออกมาจากดอกต้มให้ทุกคนได้ลองดื่ม เมื่อทุกคนได้ดื่มจึงได้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นของดีกว่าชาราคาชั่งละพันตำลึงทองเสียอีก
"คุณหนูหากท่านนำออกไปขายจะเกิดเรื่องหรือไม่ขอรับ" พ่อบ้านกวงเอ่ยถามอย่างกังวล
เพราะเขาเป็นพ่อบ้านของขุนนางมาก่อน ชาที่ดีภายในจวนเขาย่อมต้องเคยได้ลิ้มลอง แต่ชาของซูมี่เพียงแค่จิบเล็กน้อยร่างกายที่ปวดเหมื่อยยังหายเป็นปลิดทิ้ง หากมีโรคเรื้อรังเขาเชื่อว่าดื่มเป็นประจำต้องหายแน่นอน
แล้วเช่นนี้หากนำไปขายจะไม่เกิดคลื่นใต้น้ำหรือ ยิ่งซูมี่ที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่มีคนหนุนหลังอาจจะเกิดอันตรายกับนางได้
"ไว้มีหนทางต้องได้วางขายแน่นอน" ซูมี่เมื่อคิดตามสิ่งที่พ่อบ้านกวงกังวลนางจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างไม่ร้อนใจ
ของที่ทำเสร็จแล้วนางเก็บไว้ในมิติก็ได้ ถึงอย่างไรของภายในก็สดใหม่อยู่เสมอ คนอื่นเมื่อเห็นซูมี่มิได้กังวลเท่าใดต่างก็หันมาสนใจงานตรงหน้ากันต่อ
เกือบเจ็ดวันที่ทุกคนต้องทำชาดอกบัว ต้นกล้าผัก สมุนไพรและข้าวก็พร้อมลงปลูกได้แล้ว ชาดอกบัวทุกคนในเรือนต่างก็ได้รับคนละกล่องหากหมดเมื่อใดก็ให้มาขอเพิ่มได้
ตอนนี้ทุกคนในเรือนจึงไปอยู่ที่แปลงผัก เพื่อลงต้นกล้า ซูมี่นางก็เช่นกัน แต่นางเพียงเดินดูและช่วยงานเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่นางลงมือปลูกต้นกล้าในมือก็แทบจะแหลกคามือ
ซูมี่มองต้นกล้าต้นที่สิบที่นางทำหักอย่างไม่เข้าใจ เมื่อก่อนตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน มือนางออกจะเบาเวลาที่เย็บแผล เพียงแค่ปลูกต้นไม้เหตุใดถึงหักได้
"นายหญิงต้นไม้กับเข็มจะเหมือนกันได้อย่างไรเจ้าค่ะ" เป่าเปาหัวเราะอย่างขบขัน
"ช่างเถิดข้าให้กำลังใจก็คงพอ" ซูมี่ล้มเลิกความคิดแล้วพาสือเอ้อไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำแทน
ซูมี่กับสือเอ้อเดินเล่นสำรวจไปทั่วจนมาถึงริมแม่น้ำ สือเอ้อที่วิ่งเล่นอย่างซุกซนก็วิ่งหน้าตื่นกลับมาหานาง"คุณหนู คุณหนู" เสียงสือเอ้อตะโกนมาแต่ไกล"อย่าวิ่งประเดี๋ยวหกล้ม" ซูมี่ที่เห็นก็รีบร้องห้าม"ข้าเห็นคนขอรับ""เพียงแค่คนตกใจอันใด" สือเอ้อที่หอบอยู่ก็ยังไม่ทันพูดจบซูมี่นางก็เอ่ยแทรกเสียแล้ว"บุรุษคนนั้นร่างเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่ที่ริมแม่น้ำขอรับ" ซูมี่ขมวดคิ้วก่อนที่จะเดินไปตามทิศที่สือเอ้อชี้บอกนางนางให้สือเอ้อวิ่งไปตามคนอื่นมาที่ริมแม่น้ำ เมื่อเดินไปถึงชายคนนั้นใบหน้าก็แทบจะไร้สีเลือดแล้ว เนื้อตัวของเขามีรอยแผลจากดาบอยู่หลายแห่งซูมี่นางลากคนขึ้นมาจากน้ำแล้วเริ่มตรวจว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาจะแทบจะไร้ลมหายใจอยู่แล้ว"นายหญิงท่านนำน้ำวิเศษให้เขาดื่มก่อนเจ้าค่ะ" เสียงของเป่าเปาดังขึ้นในความคิดของนาง"จะไม่เกิดเรื่องอันใดตามมาใช่หรือไม่" ซูมี่เอ่ยถามอย่างกังวล"ไม่เกิดหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านช้าบุรุษผู้นี้จะตายแล้วนะเจ้าคะ" ซูมี่นางจึงเรียกน้ำวิเศษออกมาจากในมิติแล้วป้อนไปที่ปากของบุรุษผู้นั้น"เหอะ หากอยากตายก็ไม่ต้องดื่ม" ซูมี่ที่หมดความอดทนเพราะไม่ว่านางจะป้อนเ
ผ่านมาสามวันการเพาะปลูกทั้งหมดก็เสร็จสิ้น ซูมี่ยืนมองผัก สมุนไพร ผลไม้ ข้าวที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้คนงานที่ดูแลจะแปลกใจแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเอ่ยถามเพราะการที่พวกเขาได้มีเจ้านายที่อาหารการกินก็กินเช่นเดียวกับพวกเขาหรือแม้ของใช้ล้วนแล้วแต่ได้รับทุกอย่างที่เหมือนเจ้านาย ก็ทำให้ทุกคนไม่คิดที่จะทรยศตระกูลซูแล้ว"มี่เออร์ คุณชายไป๋จะออกเดินทางแล้ว" จางกุ้ยเดินมาตามบุตรสาวที่แปลงผัก"อ้อ ให้เขาไปได้เลยเจ้าค่ะ" ซูมี่หันไปสนใจสือเอ้อที่กำลังช่วยบิดามารดารดน้ำอยู่แต่เขาเหมือนจะอยากเล่นน้ำมากกว่า"เจ้ามิไปดูเขาเสียหน่อยหรือ" "ดูอันใดเจ้าคะ ข้าดูบาดแผลเขามาหลายวันแล้วเจ้าค่ะท่านแม่" ซูมี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ"แต่เขาจะมอบสินน้ำใจให้เจ้า""เช่นนั้นไปกันเถิดเจ้าค่ะ" ซูมี่ที่ได้ยินว่าจะได้เงินตอบแทนก็รีบกลับคำพูดทันทีจางกุ้ยรวมทั้งบ่าวที่ได้ยินต่างก็ส่ายหัวให้คุณหนูของตน เมื่อมาถึงเรือนหลักก็เห็นฮุ่ยหมิ่นยืนอยู่ด้านหน้าเรือนกับบิดาของนางแล้ว "คุณหนูซู ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตของข้าไว้" "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" ซูมี่แบมือไปที่ตรงหน้าของฮุ่ยหมิ่น เขามองมาที่นางอยากแปลกใจ ต้าหลางกับจางกุ้ยที่เห็นบ
ซูมี่ออกมาด้านนอกนางก็เดินไปพบบิดามารดาที่แปลงผักด้านหลังเรือน อีกไม่กี่วันผักของนางก็ตัดได้แล้ว สมุนไพรบางอย่างก็สามารถเก็บพร้อมผักได้เลย "ผักมากถึงเพียงนี้คงต้องนำออกไปขายบ้างเจ้าค่ะ" หากให้กินกันเพียงในเรือนก็คงจะไม่ทันกิน หากขายไม่ได้นางค่อยนำมาดอง"พ่อก็คิดเช่นกัน พรุ่งนี้ว่าจะเข้าเมืองเพื่อไปคุยกับเหลาอาหาร" ต้าหลางมองแปลงผักอย่างชื่นชมผลผลิตที่ได้ผักอวบน่ากินจนนางจางกุ้ยอดใจไม่ไหวเข้าไปแลกเก็บเพื่อนำไปทำอาหาร ป้าเหมย ป้าอวี้ต่างก็เข้าไปช่วยเก็บอย่างสนุกสนานอาหารเย็นทั้งจวนนั่งกินรวมกันภายในห้องโถงเรือนหลักซึ่งใหญ่เพียงพอที่จะให้คนเกือบสี่สิบคนนั่งกินกันอย่างสบาย นายบ่าวต่างนั่งกินรวมกันโดยไม่ได้แบ่งแยก โต๊ะที่ซูมี่นำออกมาใช้ก็สร้างความสะดวกสบายให้กับทุกคนโดยไม่ต้องนั่งกับพื้นเช่นเคยผักที่พวกเขาปลูกทั้งสดและกรอบ สือเอ้อกับเสี่ยวจินที่เป็นเด็กไม่ชอบกินผักยังกินข้าวเสียสองถ้วย เมื่อเด็กน้อยทั้งสองรู้ว่าอีกไม่กี่วันผักที่ตนกินจะถูกนำไปขายต่างก็พากันทำหน้าเศร้า สร้างความขบขันให้กับทุกคน"สือเอ้อ เสี่ยวจิน พี่สาวมีผักให้เจ้ากินทุกวัน แล้วก็ยังมี" ซูมี่เรียกผลไม้ที่นางปลูกไว้ในมิต
สุนัขป่าสองตัววิ่งตามเป่าเปาออกมาอย่างรวดเร็ว บ่าวด้านหลังก็รีบเอาตัวบังนายของตน แต่เมื่อซูมี่วิ่งออกไปเพื่อช่วยเป่าเปา สุนัขป่าตัวใหญ่ครึ่งตัวนางก็หยุดลงและหมอบลงที่แทบเท้าของนาง"คารวะนายหญิงเจ้าแห่งมิติ" สุนัขเพศผู้เอ่ยขึ้น"เจ้าพูดได้" ซูมี่ยกมือขึ้นปิดบอกอย่างตกตะลึง เพราะนางก็คิดไม่ถึงเช่นกัน"มิใช่ขอรับ มีเพียงท่านที่เป็นเจ้าของมิติเท่านั้นที่ฟังพวกข้ารู้เรื่อง" ซูมี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ"พวกเจ้าอยู่ในถ้ำหรือ" ซูมี่สื่อสารกับสุนัขป่าทั้งสองตัวทางจิตของนาง สิ่งที่ทุกคนเห็นคือนางกำลังจ้องมองสุนัขอยู่"ใช่ขอรับ""เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนที่อยู่ของพวกเจ้าแล้ว" ซูมี่ไม่อยากจะเข้าไปแย่งสิ่งที่อยู่ด้านในของสุนัขป่าทั้งสองตัว"มันเป็นของท่านขอรับ ทุกสิ่งที่อยู่ในมิติแห่งนี้" สุนัขป่าตัวผู้ เดินนำซูมี่เข้าไปด้านใน แต่เมื่อคนอื่นจะตามซูมี่เข้าไปก็ถูกสุนัขป่าตัวเมียขวางไว้ มีเพียงเป่าเปาเท่านั้นที่ตามซูมี่เข้าไปได้ เพราะสุนัขป่าหวงที่อยู่ของมันด้านในถ้ำที่ซูมี่คิดว่าจะมืดมิด แต่กลับสว่างราวกับจุกเทียนไว้ เมื่อพิจารณาไปรอบๆถ้ำก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สิ่งที่นางเห็นคือเพชร พลอย ทองคำ ที่อยู่
ต้าหลางกับจางกุ้ยเมื่อนึกถึงผักที่พวกตนได้ปลูกก็คิดตามที่ซูมี่พูด เพราะผักที่วางขายทั่วไปที่พบเห็นต้นเล็กไม่อวบอิ่มดูน่ากินไม่เท่าผักที่จวนของตน"เช่นนั้นก็นำออกไปส่งไม่ต้องมากนัก" ต้าหลางก็เห็นด้วยยิ่งผักของพวกเขาหากได้กินทุกวันร่างกายที่ทรุดโทรมก็แข็งแรงขึ้นเหมือนเป็นวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง เช้าวันต่อมาต้าหลางก็ให้ซูถังกับซูโจวเป็นคนนำผักออกไปส่ง โดยครั้งนี้เขานำไปอย่างละตะกร้าขนาดกลางเท่านั้น ผักที่ส่งให้เหลาอาหารเฉิงไฉมี หลัวโป(หัวไชเท้า) หูหลัวโป(แครอท) ไป๋ไช่(ผักกาดขาว) ชิงช่าย(กวางตุ้ง) และจิ่วไช่(กุยช่าย)แต่ความจริงมีอีกหลายอย่าง ในยุคนี้ยังไม่มีให้เห็นจึงยังไม่ได้นำออกไปขาย เพราะเหลาอาหารก็คงยังไม่รู้วิธีทำหลงจู๊หม่าที่เห็นคนของต้าหลางส่งของมาให้น้อยก็อยากจะได้เพิ่ม เพียงแค่เมื่อวานลูกค้าที่ได้ลองกินผักชุดแรกวันนี้ก็พากันมาถามหาอีกแล้ว"เจ้าบอกต้าหลางข้าขอเพิ่มอีกได้หรือไม่" หลงจู๊หม่าแสดงความต้องการของตนออกมาอย่างไม่ปิดบัง"ผักที่เรือนของนายท่านซู แบ่งมาให้ได้เท่านี้ขอรับ" ซูถังที่เตรียมคำพูดมาแล้วก็บอกหลงจู๊หม่าไปเช่นนั้น"แต่ต่อไปมีเท่าใดข้ารับซื้อทั้งหมด แล้วจะเพิ่มราคาใ
หลงจู๊หม่าชิมอาหารแต่ละอย่างพร้อมทั้งเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รสชาติอาหารของเหลาเฉิงไฉนับว่าดีแล้ว แต่เทียบไม่ได้กับของตระกูลซูเลยซูมี่นางคิดในใจ จะเทียบได้อย่างไร เพราะในเรือนของนางมีเครื่องปรุงที่หาจากที่อื่นไม่ได้ หรือนางจะขายเครื่องปรุงด้วยดีตลอดเวลาที่หลงจู๊หม่าได้ลองกิน เขาก็เอ่ยถามอยู่ตลอดว่าผักชนิดใด แต่เพราะเขาจำได้ไม่หมดจึงขอซื้อวิธีทำจากซูมี่เลย "ข้าให้จานละห้าสิบตำลึง" เขายอมจ่ายวิธีทำของแต่ละจาน"เช่นนั้นข้าจะเขียนให้ท่านเจ้าค่ะ" ซูมี่ยิ้มรับก่อนจะหายออกไปจากห้องหนึ่งแค่ครึ่งชั่วยามซูมี่นางก็เดินกลับเข้ามาพร้อมทั้งกระดาษที่จดวิธีทำเกือบสิบอย่างในมือ"เร็วถึงเพียงนี้" หลงจู๊หม่ารับกระดาษไปดูพร้อมทั้งจุ๊ปากอย่างชื่นชมจะไม่ให้เร็วได้อย่างไร ในเมื่อซูมี่นางเข้าไปคัดลอกตามหนังสืออยู่ภายในมิติ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เขาก็เดินออกจากเรือนตระกูลซูไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม เพราะการมาครั้งนี้กลับไปย่อมต้องได้รางวัลก้อนใหญ่จากนายท่านฉุยเป็นแน่จางกุ้ยกำลังนับเงินที่ได้มาจากหลงจู๊หม่าที่ครั้งนี้ขายผักได้ถึง ห้าร้อยตำลึงเงิน แล้วยังมีค่าเมนูอาหารอีกห้าร้อยตำลึงเงิน นางจางกุ้ย
ก่อนที่นายท่านฉุยกับหลงจู๊หม่าจะกลับเข้าเมืองไปได้หันมาถามต้าหลางว่าบุตรสาวหมั้นหมายกับผู้ใดไว้หรือยัง"ก่อนหน้านี้เคยหมั้นหมายแล้วขอรับ แต่เกิดเรื่องขึ้นจึงต้องถอนหมั้น" ต้าหลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเพราะการที่วูมี่นางจะหมั้นหมายใหม่อีกครั้งต้องบอกเรื่องที่นางเคยถอนหมั้นแล้วเสียก่อน หากแต่งเข้าไปบ้านฝ่ายชายมารู้เรื่องที่หลังจะทำให้เกิดปัญหาได้"เช่นนั้นหรือ" นายท่านฉุยมองอย่างเสียดายแล้วขึ้นรถม้ากลับไปมิใช่ว่าสตรีที่ถูกถอนหมั้นจะไม่ดี แต่เรื่องนี้เขาต้องไปสืบเสียก่อน ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นการค้าระหว่างคหบดีฉุยและตระกูลซูเป็นไปด้วยดี เมื่อถึงเวลาหลงจู๊ก็ส่งเสี่ยวเอ้อหน้าร้านที่สนิทกับต้าหลาง นามว่าเสี่ยวฟานให้เป็นคนมารับผัก เพราะกลัวว่าหากส่งคนอื่นที่ไม่รู้จักมาจะไม่ได้ผักกลับไปผ่านมานับครึ่งปีผลไม้ในสวนก็ถึงเวลาที่จะออกวางขายได้แล้ว ต้าหลางจึงเดินทางเข้าเมืองกับซูมี่และพ่อบ้านกวง เพื่อไปดูร้านค้าที่ตนต้องการจะซื้อ"มี่เออร์เจ้าถูกใจบ้างหรือยัง" ต้าหลางหันไปถามบุตรสาวที่ตอนนี้เจ้าหน้าที่พาพวกเขามาดูหลายร้านแล้ว"ข้าว่าร้านนี้เหมาะสมที่สุดแล้วเจ้าค่ะ" ด้านขวาเป็นเหลาอาหา
"หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ" ซูมี่ก้มศีรษะลงแล้วกำลังจะเดินจากไป"ประเดี๋ยวก่อน" ฮุ่ยหมิ่นเรียกรั้งนางไว้"มีอันใดเจ้าคะ""ข้านำเงินมาให้เจ้า ตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าในครั้งนั้น" เขาคิดว่านางน่าจะชอบเงินที่สุดแล้ว จากครั้งที่แล้วที่นางเดินออกมาส่งเขา เพราะมารดาของนางบอกว่าเขาจะมอบสินน้ำใจให้"ได้เจ้าค่ะ" ซูมี่แบมือเพื่อขอตั๋วเงินจากฮุ่ยหมิ่นฮุ่ยหมิ่นส่ายหน้าอย่างขบขันก่อนจะหยิบตั๋วเงินห้าพันตำลึงออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้นาง"คุณชายไป๋ ท่านมาทำการค้าหรือขอรับ" ต้าหลางที่เสร็จเรื่องไม่เห็นซูมี่มาพบตนก็เดินกลับมาดูนาง"คารวะนายท่านซู ข้ามาทำการค้าขอรับ" ซูมี่กลอกตา บิดานางเชื่อเขาจริงหรือว่ามาทำการค้า ทั่วทั้งตัวของเขามีแต่รอบแผลเป็นที่เกิดจากดาบ คนเช่นนี้จะเป็นพ่อค้าได้อย่างไรฮุ่ยหมิ่นเหมือนรู้ว่าซูมี่นางคิดอะไร เขากำมือขึ้นปิดปากเพื่อกระแอมอย่างเก้อเขินที่นางรู้ทันว่าเขาพูดปด"มีที่พักแล้วหรือยังขอรับ" ซูมี่หันไปมองบิดาที่เอ่ยชวนฮุ่ยหมิ่นไปที่เรือนอย่างรวดเร็ว"ยังเลยขอรับข้าเพิ่งจะถึง" ฮุ่ยหมิ่นที่เห็นอาการของซูมี่จึงคิดที่อยากจะแกล้งนาง จึงตอบรับคำเชิญของต้าหลางฮุ่ยหมิ่นให้
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ