ท่านผู้นำหมู่บ้านก็รับไว้อย่างเต็มใจ แต่ก่อนที่ต้าหลางจะกลับเขาได้สอบถามเรื่องหาคนสร้างเรือนหลังใหม่ ผู้นำหมู่บ้านก็รับปากว่าจะจัดหาคนให้อย่างเต้มที่ เพราะบุตรชายคนโตของเขารับสร้างเรือนอยู่ ในช่วงนี้ก็ยังว่างพอดีจึงเริ่มสร้างเรือนให้ต้าหลางได้เลย
ต้าหลางเมื่อเสร็จเรื่องที่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้านเขาก็ตรงกลับเรือนเพื่อนำเรื่องไปแจ้งให้สองแม่ลูกได้รับรู้ ทั้งสามเดินไปดูที่ดินที่ต้าหลางได้ทำการซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว
ซูมี่มองที่สองร้อยหมู่แล้วถอนหายใจ ที่มากเพียงนี้คงต้องหาคนเพิ่มเสียแล้ว
"ท่านพ่อ ท่านแม่ สร้างเรือนตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ" ซูมี่ต้องการสร้างเรือนให้อยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำมากนัก เพราะนางอยากดึงน้ำเข้ามาใช้ที่เรือนโดยไม่ต้องเดินไปหาบน้ำอีกแล้ว
ต้าหลางเมื่อมองไปทิศที่บุตรสาวชี้ก็หยุดนิ่งคิด เพราะใกล้แม่น้ำมากไปก็ไม่ดี ช่วงน้ำมากอาจจะท่วมมาถึงเรือนได้ เมื่อได้ฟังและคิดตามที่บิดาพูดก็เห็นจะเป็นจริง เพราะตอนที่นางยังเล็กก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอยู่
เรือนหลังใหม่จึงถูกสร้างด้านหน้าของที่ดิน ด้านหลังก็ปลูกข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรแทน จางกุ้ยที่นางไม่ได้แสดงความคิดเห็นเพราะยังตกตะลึงกับจำนวนเงินที่ได้จากการขายโสมอยู่ แล้วยิ่งรู้ว่าต้าหลางซื้อที่ดินไปถึงร้อยยี่สิบตำลึงทอง นางก็ยิ่งอยากจะเป็นลม
วันรุ่งขึ้นเมื่อบุตรชายคนโตของผู้นำหมู่บ้าน ฉินโกว มาที่เรือนตระกูลซู เรื่องที่ต้าหลางซื้อที่ดินผืนใหญ่และกำลังจะสร้างเรือนหลังใหม่ก็รับรู้ไปทั่วหมู่บ้าน
ชิงฉางที่กลับมาจากสำนักศึกษาเมื่อทราบเรื่องเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพียงไม่กี่วันตระกูลซูจะโชคดีพบสมุนไพรราคาสูงจนสามารถมีเงินเป็นกอบเป็นกำเช่นนี้ได้
"หากอาฉางยังเป็นคู่หมั้นของมี่เออร์อยู่ก็คงสบายไปแล้ว" ชาวบ้านพูดกับชิงฉางก่อนจะเดินไปดูคนงานที่กำลังขนของเขามาในพื้นที่ของต้าหลาง
ชิงฉางกลับเรือนด้วยใบหน้าหมองคล้ำ เพราะความลำบากที่เขาได้รับจนต้องพึ่งพาตระกูลซูมาหลายปี ทำให้ชาวบ้านคิดมาโดยตลอดว่าเขาโชคดีมากเพียงใด แต่สำหรับเขายิ่งชาวบ้านพูดกันมากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่เท่านั้น เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์
ต่อให้ซูมี่นางจะมีเงินทองขึ้นมามากเพียงใดก็เป็นเพียงลูกชาวนา ในเมื่อเขาเป็นถึงซิ่วไฉและในอนาคตเขาก็จะได้เป็นขุนนาง ทำไมต้องมีภรรยาที่มีฐานะเช่นนี้ด้วย แม้แต่ถิงถิงที่เป็นเพียงลูกอนุของพ่อค้าต่อให้มีเงินช่วยเหลือเขา แต่ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะแต่งนางเป็นฮูหยินหรือไม่
ชิงฉางไม่แม้แต่จะจุดเทียนในเรือน เขานั่งเงียบๆและจมอยู่ในความคิดกับความมืด เพราะความรู้ของเขาที่มีมากจึงทำให้มองคนในหมู่บ้านเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น อีกเพียงสองปีเขาก็จะเดินทางไปสอบจวี่เหริน เมื่อสอบผ่านเขาจะได้เข้าเมืองหลวง
และเรื่องภายในหมู่บ้านก็จะเป็นเพียงเรื่องราวในหนหลังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดให้ควรค่าแก่การนึกถึง เมื่อคิดได้ตกแล้วชิงฉางก็จุดเทียนเริ่มทบทวนตำราอีกครั้ง
ทางด้านของซูมี่เรือนหลังใหม่ก็เริ่มถูกสร้างขึ้นตามแบบที่นางได้มอบให้ฉินโกว เรือนของนางเป็นเรือนสี่ประสาน ที่เรือนหลักมีถึงห้าห้องนอน นางยังให้สร้างห้องน้ำในห้องนอนไว้ทุกห้องและด้านนอกอีกด้วย
เรือนด้านข้างทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ภายในเรือนมีสามห้องนอน และหนึ่งห้องโถง ด้านหลังยังมีห้องพักคนงานที่ถูกให้สร้างอีกนับสิบห้อง
ฉินโกวเมื่อเห็นแบบก็อ้าปากค้าง แบบที่ได้มาไม่ได้แตกต่างจากเรือนของขุนนางในเมืองมากนัก แต่ความใหญ่โตจะเรียกเรือนมิได้แล้ว มันคือจวนในหมู่บ้านเสียมากกว่า
จำนวนคนงานที่ใช้ในการสร้างก็ต้องหามาเพิ่ม ต้าหลางจึงบอกให้จ้างคนในหมู่บ้านที่อยากหารายได้ โดยยังให้ภรรยาของฉินโกวหาคนมาทำอาหารเลี้ยงคนงานที่มาทำงานด้วย
นางจางกุ้ยก็มิได้หวงข้าวสาร แป้งหรือเนื้อ ตอนที่ภรรยาฉินโกว ท่านป้าฝูมาช่วยทำอาหารต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นเนื้อและผักสดมาก
"พวกท่านใช้ได้เต็มที่เลยเจ้าค่ะ" จางกุ้ยยิ้มแล้วพูดขึ้น
เมื่อชาวบ้านที่เหลือรู้ว่าตระกูลซูเรื่องอาหารคนงานอย่างใจกว้างก็อยากจะมาทำงานที่เรือนของพวกเขา ซูมี่จึงเสนอความคิดให้ชาวบ้านมาช่วยกันถากถางพื้นที่ที่รกร้าง แล้วกำจัดหินออก โดยให้ค่าแรงวันละสามสิบอิแปะ ข้าวหนึ่งมื้อ แต่หากพบเห็นใครที่กินแรงคนอื่นวันต่อไปก็ไม่ให้มาทำแล้ว
ค่าแรงที่ได้รับเท่ากับไปทำงานในเมืองแถมยังมีข้าวที่มีเนื้อให้กินใครบ้างจะไม่อยากทำ ชาวบ้านจึงเดินมาที่ที่ดินเพื่อขอทำงาน ในวันแรกต้าหลางก็รับทุกคน แต่พอตอนที่จ่ายเงินคนที่ไม่ตั้งใจทำงานต้าหลางก็บอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำแล้ว
นับจากวันนั้นชาวบ้านก็ตั้งใจทำงานกันมากขึ้น อาหารที่เลี้ยงทุกวันปริมาณก็ไม่ได้น้อยลง ต้าหลางออกไปซื้อที่เมืองอยู่ทุกวันนั้นคือสิ่งที่ชาวบ้านเห็น แต่ความจริงเขาเข้าเมืองไปในวันแรกเพื่อซื้อรถม้ากับซูมี่เท่านั้น
ระหว่างทางก็ให้ซูมี่นางนำของออกมาจากมิติใส่ไว้ในรถม้า หลังๆต้าหลางกับซูมี่จะเข้าเมืองทุกสามวันแทน แต่พวกเขาก็ไปจอดรถม้าอยู่ในป่าบดบังสายตาของคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้วนำของออกมาแทน
เพียงสองเดือนเรือนหลักก็เสร็จเรียบร้อย ต้าหลางจึงเริ่มขนของเขามาไว้ภายในบ้าน ของที่ซูมี่นางเคยนำออกมาจากมิติก็เก็บเข้าไปก่อน ชาวบ้านที่ไปช่วยขนจึงไม่ได้เห็นสิ่งของที่แปลกตา
ของที่ขนมานำมาไว้ที่ห้องโถง เมื่อชาวบ้านเข้ามาภายในเรือนก็ต้องตกตะลึงกับความกว้างขวางภายใน และห้องนอนที่มีมากถึงห้าห้องนอนซูมี่นำของไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เมื่อเดินออกมาชาวบ้านก็เดินชมเรือนเสร็จแล้ว นางเห็นมารดายืนคุยอยู่กับท่านป้าฝูก็เลยเดินเข้าไปหา"มี่เออร์มาพอดี ป้าฝูถามแม่เรื่องหมั้นหมายของเจ้า" จางกุ้ยเมื่อเห็นบุตรสาวส่งสายตาให้จึงได้หันไปปฏิเสธป้าฝูที่ต้องการจะหาคู่หมั้นคนใหม่ให้ซูมี่เมื่อส่งชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ซูมี่นางก็เริ่มนำของออกมาใช้แต่เพียงภายในห้องนอนของนางและบิดามารดาก่อน เพราะยังมีคนงานและชาวบ้านที่ยังมาทำงานอยู่ ของในเรือนจึงยังนำออกมาไม่ได้สองเดือนต่อมาเรือนข้างกับห้องพักคนงานก็เสร็จลง จางกุ้ยที่จ่ายเงินครั้งสุดท้ายให้กับฉินโกวก็อดที่จะเสียดายมิได้ เพราะว่าค่าสร้างเรือนก็หมดไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง"ท่านแม่ หากท่านอยากมีเงินเพิ่มก็ให้ท่านพ่อนำโสมไปขายอีกดีหรือไม่เจ้าคะ""ไม่ได้ ไม่ได้ จะมีผู้ใดโชคดีพบโสมปีหนึ่งสองสามครั้ง" ต้าหลางโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย"เช่นนั้นก็หาคนงาน เพื่อปลูกผัก สมุนไพรขายเถิดเจ้าค่ะ" ต้าหลางกับจางกุ้ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแต่ความกังวลใ
"นายท่านขอรับ" ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามนายหน้าไปทำสัญญา ก็ถูกหนึ่งในทาสที่ซื้อไว้ดึงรั้งชายเสื้อของต้าหลาง"มีอันใด" ต้าหลางหันไปมองอย่างข้องใจ เมื่อเห็นทาสนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น"ทะท่าน ช่วยพาภรรยากับบุตรสาวของข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ" ต้าหลางหันมาหาซูมี่อย่างหนักใจก่อนที่ซูมี่จะเอ่ยพูด ทาสอีกห้าคนก็คุกเข่าลงเสียงดังและบอกความต้องการที่เหมือนกัน"เช่นนั้นก็ซื้อไปทั้งหมดเถิดท่านพ่อ" ซูมี่ถอนหายใจ หากมิใช่เป่าเปารับรองนางก็ไม่กล้าพาทุกคนกลับไปที่เรือน เพราะกลัวจะล่วงรู้เรื่องของนางนายหน้าที่ได้ยินก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะให้คนไปพาครอบครัวของทั้งห้าออกมา แล้วเดินนำต้าหลางกับซูมี่ไปห้องรับรองเพื่อจ่ายเงินและมอบสัญญาของทาสทั้งหมดให้จากที่ต้าหลางจะได้ทาสบุรุษไปทำงานเพียงยี่สิบคน กับต้องพากลับถึงสามสิบสองคน"ท่านมีรถม้าไปส่งที่จวนข้าหรือไม่" ซูมี่หันไปถามนายหน้า เขาก็รีบสอบถามที่อยู่ก่อนจะรับปากว่าจะไปส่งคนที่หมู่บ้านให้ซูมี่เดินไปที่กลุ่มคนที่นางซื้อไว้ ก่อนจะมอบเงินให้เขาสิบตำลึงทองเพื่อไปซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคน โดยนางยกให้เขาเป็นพ่อบ้านจัดการเรื่องทุกเรื่องไปเลย เมื่อสอบถามความได้ว่าเขาเคยเป
"ข้ามีเรื่องที่จะขอพวกท่านเพียงเรื่องเดียวเจ้าค่ะ" ซูมี่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากที่นางตั้งชื่อให้ทุกคนเสร็จ"เชิญคุณหนูพูดได้เลยขอรับ"ท่านลุงกวงเอ่ยแทนทุกคน"เรื่องที่พวกท่านเห็นภายในเรือน ห้ามนำออกไปพูดที่ใดเด็ดขาด หากมีคนใดที่พูดออกไปข้ารับรองว่าคนนั้นต้องเสียใจแน่นอนเจ้าค่ะ"ทุกคนคุกเข่าลงยกมือสาบานว่าเรื่องที่พวกเขาพบเห็นจะไม่มีวันนำออกไปพูดเด็ดขาด ซูมี่ที่เห็นเช่นนั้นนางก็หายเข้าไปในเรือน และบอกให้ทุกคนรอนางด้านนอกสักประเดี๋ยว"เชิญเจ้าค่ะ" เพียงไม่นานซูมี่ก็ออกมาเรียกทุกคนเข้าไปทุกคนเดินตามนางไปอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นของที่กองอยู่ที่ห้องโถงต่างก็ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา เพราะที่นอนและหมอน ผ้าห่มที่กองอยู่พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่จวนท่านเจ้าเมืองหรือขุนนางใหญ่ก็ไม่มีให้เห็น"ให้พวกข้าหรือขอรับ" ท่านลุงถังเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ"เจ้าค่ะ พวกท่านลองดูว่าพอกับจำนวนคนหรือไม่" เมื่อนับแล้วก็พบว่ามากกว่าจำนวนคนเสียอีก ซูมี่นางจึงให้พวกเขาช่วยยกที่เหลือไปเก็บที่ห้องว่างในเรือนหลักที่นางพักอยู่กับบิดามารดา"ส่วนเรือนข้างสองเรือนและเรือนด้านหลังพวกท่านก็แ
แม้นางจะไปดักรอที่หน้าเรือนก็ไม่เคยได้พบเขา จนวันนี้ที่นางกำลังจะไปดักรอเช่นเดิมก็เห็นชิงฉางมาพร้อมรถม้าเพื่อมาเก็บของที่เรือนจึงได้รีบร้อนมาหาซูมี่เสียก่อน"ข้ากับชิงฉางมิได้เป็นคู่หมั้นกันแล้ว เขาจะมากับใครไปที่ใดล้วนไม่เกี่ยวกับข้า" ซูมี่เมื่อพูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเข้าเรือนเพื่อไปทำงานต่อ"เจ้าต้องไปกับข้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่ข้ากับพี่ชางลอบพบกัน" เสี่ยวเจียเหมือนเสียสติไปแล้วนางลากซูมี่อย่างแรงเพื่อเดินไปเรือนของชิงฉางแม้โม่ลี่จะเข้าช่วยเหลือแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของเสี่ยวเจียที่เหมือนจะขุดแรงทั้งหมดที่นางมีเพื่อลากตัวซูมี่ไปด้วย ซูมี่จำต้องยอมให้นางลากตัวไป โม่ลี่ก็เดินตามไปด้วยอย่างเป็นห่วงเมื่อมาถึงหน้าเรือนของชิงฉางก็พบว่ายังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่มาสอบถามเขาอยู่ ซูมี่นางเพียงยืนกอดอกรออยู่ข้างนอกเพื่อดูเรื่องสนุก"เสี่ยเจียไปตามเจ้ามาจนได้" เสี่ยวเผ่ยเมื่อเห็นซูมี่นางยืนอยู่ด้วยก็เดินเข้ามาหาพร้อมพูดคุยทันที"อืม ก็อย่างที่เจ้าเห็น เสี่ยวเจียดูท่าจะเสียสติไปแล้ว" ซูมี่ส่ายหัวเพราะตอนนี้เสี่ยวเจียเดินเข้าไปหาชิงฉางแล้วโวยวายเสียงดัง โดยไม่สนสายตาของชาวบ้านที่มองนางอย่าางแปลกใ
วันต่อมาเสี่ยวเผ่ยมาหาซูมี่ที่เรือนเพื่อดูว่านางเป็นเช่นใดบ้างก็เล่าเรื่องเหตุการณ์หลังจากที่ซูมี่นางกลับไปแล้วให้ฟังคำพูดของซูมี่ทำให้ชาวบ้านรู้ว่าถิงถิงนางกำลังตั้งครรภ์และบุตรในท้องเป็นลูกของชิงฉาง เสี่ยวเจียเมื่อรู้เรื่องก็ตรงเข้าไปทำร้ายถิงถิงที่รถม้าแต่ถูกชิงฉางกับชาวบ้านช่วยกันจับตัวไว้เสียก่อนชิงฉางจึงได้รีบขึ้นรถม้าไปนั่งกับถิงถิงแล้วรีบออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว ภายในรถม้าเสี่ยวเผ่ยไม่ได้เห็นใบหน้าของถิงถิงแต่รู้ได้ว่าทั้งคู่กำลังมีปากเสียงกันอยู่และมีเสียงร้องไห้ของถิงถิงดังออกมาจากด้านในด้วยซูมี่ที่นั่งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมิได้เอ่ยขัดก็ยิ้มน้อยๆขึ้นมา"เห้อ เห็นใจก็แต่เสี่ยวเจียไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นเช่นใดบ้าง" ซูมี่เอ่ยออกมาจากใจจริงหากนางยังไม่ถอนหมั้นกับชิงฉางและไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมด นางในตอนนี้คงมีสภาพไม่ต่างจากเสี่ยวเจียเพราะการที่ได้ไปเกิดในยุคใหม่ทำให้นางได้รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่ต้องพึ่งบุรุษนางก็อยู่ได้ แต่อาจจะได้รับเสียงนินทาจากชาวบ้านมากเสียหน่อยเสี่ยวเผ่ยอยู่คุยเล่นต่ออีกครู่นางก็ขอตัวกลับเรือนไปช่วยมารดาของนางทำงาน ซูมี่นางจึงได้ออกไปเดินเล่นดูที
ซูมี่กับสือเอ้อเดินเล่นสำรวจไปทั่วจนมาถึงริมแม่น้ำ สือเอ้อที่วิ่งเล่นอย่างซุกซนก็วิ่งหน้าตื่นกลับมาหานาง"คุณหนู คุณหนู" เสียงสือเอ้อตะโกนมาแต่ไกล"อย่าวิ่งประเดี๋ยวหกล้ม" ซูมี่ที่เห็นก็รีบร้องห้าม"ข้าเห็นคนขอรับ""เพียงแค่คนตกใจอันใด" สือเอ้อที่หอบอยู่ก็ยังไม่ทันพูดจบซูมี่นางก็เอ่ยแทรกเสียแล้ว"บุรุษคนนั้นร่างเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่ที่ริมแม่น้ำขอรับ" ซูมี่ขมวดคิ้วก่อนที่จะเดินไปตามทิศที่สือเอ้อชี้บอกนางนางให้สือเอ้อวิ่งไปตามคนอื่นมาที่ริมแม่น้ำ เมื่อเดินไปถึงชายคนนั้นใบหน้าก็แทบจะไร้สีเลือดแล้ว เนื้อตัวของเขามีรอยแผลจากดาบอยู่หลายแห่งซูมี่นางลากคนขึ้นมาจากน้ำแล้วเริ่มตรวจว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาจะแทบจะไร้ลมหายใจอยู่แล้ว"นายหญิงท่านนำน้ำวิเศษให้เขาดื่มก่อนเจ้าค่ะ" เสียงของเป่าเปาดังขึ้นในความคิดของนาง"จะไม่เกิดเรื่องอันใดตามมาใช่หรือไม่" ซูมี่เอ่ยถามอย่างกังวล"ไม่เกิดหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านช้าบุรุษผู้นี้จะตายแล้วนะเจ้าคะ" ซูมี่นางจึงเรียกน้ำวิเศษออกมาจากในมิติแล้วป้อนไปที่ปากของบุรุษผู้นั้น"เหอะ หากอยากตายก็ไม่ต้องดื่ม" ซูมี่ที่หมดความอดทนเพราะไม่ว่านางจะป้อนเ
ผ่านมาสามวันการเพาะปลูกทั้งหมดก็เสร็จสิ้น ซูมี่ยืนมองผัก สมุนไพร ผลไม้ ข้าวที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้คนงานที่ดูแลจะแปลกใจแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเอ่ยถามเพราะการที่พวกเขาได้มีเจ้านายที่อาหารการกินก็กินเช่นเดียวกับพวกเขาหรือแม้ของใช้ล้วนแล้วแต่ได้รับทุกอย่างที่เหมือนเจ้านาย ก็ทำให้ทุกคนไม่คิดที่จะทรยศตระกูลซูแล้ว"มี่เออร์ คุณชายไป๋จะออกเดินทางแล้ว" จางกุ้ยเดินมาตามบุตรสาวที่แปลงผัก"อ้อ ให้เขาไปได้เลยเจ้าค่ะ" ซูมี่หันไปสนใจสือเอ้อที่กำลังช่วยบิดามารดารดน้ำอยู่แต่เขาเหมือนจะอยากเล่นน้ำมากกว่า"เจ้ามิไปดูเขาเสียหน่อยหรือ" "ดูอันใดเจ้าคะ ข้าดูบาดแผลเขามาหลายวันแล้วเจ้าค่ะท่านแม่" ซูมี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ"แต่เขาจะมอบสินน้ำใจให้เจ้า""เช่นนั้นไปกันเถิดเจ้าค่ะ" ซูมี่ที่ได้ยินว่าจะได้เงินตอบแทนก็รีบกลับคำพูดทันทีจางกุ้ยรวมทั้งบ่าวที่ได้ยินต่างก็ส่ายหัวให้คุณหนูของตน เมื่อมาถึงเรือนหลักก็เห็นฮุ่ยหมิ่นยืนอยู่ด้านหน้าเรือนกับบิดาของนางแล้ว "คุณหนูซู ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตของข้าไว้" "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" ซูมี่แบมือไปที่ตรงหน้าของฮุ่ยหมิ่น เขามองมาที่นางอยากแปลกใจ ต้าหลางกับจางกุ้ยที่เห็นบ
ซูมี่ออกมาด้านนอกนางก็เดินไปพบบิดามารดาที่แปลงผักด้านหลังเรือน อีกไม่กี่วันผักของนางก็ตัดได้แล้ว สมุนไพรบางอย่างก็สามารถเก็บพร้อมผักได้เลย "ผักมากถึงเพียงนี้คงต้องนำออกไปขายบ้างเจ้าค่ะ" หากให้กินกันเพียงในเรือนก็คงจะไม่ทันกิน หากขายไม่ได้นางค่อยนำมาดอง"พ่อก็คิดเช่นกัน พรุ่งนี้ว่าจะเข้าเมืองเพื่อไปคุยกับเหลาอาหาร" ต้าหลางมองแปลงผักอย่างชื่นชมผลผลิตที่ได้ผักอวบน่ากินจนนางจางกุ้ยอดใจไม่ไหวเข้าไปแลกเก็บเพื่อนำไปทำอาหาร ป้าเหมย ป้าอวี้ต่างก็เข้าไปช่วยเก็บอย่างสนุกสนานอาหารเย็นทั้งจวนนั่งกินรวมกันภายในห้องโถงเรือนหลักซึ่งใหญ่เพียงพอที่จะให้คนเกือบสี่สิบคนนั่งกินกันอย่างสบาย นายบ่าวต่างนั่งกินรวมกันโดยไม่ได้แบ่งแยก โต๊ะที่ซูมี่นำออกมาใช้ก็สร้างความสะดวกสบายให้กับทุกคนโดยไม่ต้องนั่งกับพื้นเช่นเคยผักที่พวกเขาปลูกทั้งสดและกรอบ สือเอ้อกับเสี่ยวจินที่เป็นเด็กไม่ชอบกินผักยังกินข้าวเสียสองถ้วย เมื่อเด็กน้อยทั้งสองรู้ว่าอีกไม่กี่วันผักที่ตนกินจะถูกนำไปขายต่างก็พากันทำหน้าเศร้า สร้างความขบขันให้กับทุกคน"สือเอ้อ เสี่ยวจิน พี่สาวมีผักให้เจ้ากินทุกวัน แล้วก็ยังมี" ซูมี่เรียกผลไม้ที่นางปลูกไว้ในมิต
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ