“มะ...ไม่จริง ฉันไม่รู้สึกอะไรกับคุณทั้งนั้น มีแค่พี่นับสิบเท่านั้นที่ฉันระ...อื้อ...” แล้วปากน้อยก็ถูกปากหนาปิดกลืนกินคำพูดในช่วงท้ายประโยค อามาร์ไม่ปรารถนาให้นางได้พูดว่า ‘รัก’ หรือต้องการชายอื่นนอกจากตน แม้เพลานี้นางยังมิรู้ใจตนเอง แต่ในเร็ววันนี้พุฒิตาต้องเข้าใจความรู้สึกสับสนวุ่นวายของใจตนแน่
“อ่า...อื้อ” เสียงครางอู้อี้ดังลอดออกจากปากทั้งสอง พุฒิตาไม่เข้าใจตัวเองว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไรอยู่และทำไมถึงเผลอไผลและจูบตอบเวตาลตนนี้ เธอเกลียดตัวเอง แต่ตอนนี้ก็ห้ามความปรารถนาของร่างกายตัวเองไม่ได้ หัวใจของเธอก็ทำงานหนัก ยิ่งตอนนี้เสื้อผ้าของเธอถูกปลดเปลื้องออกด้วยเวทคาถาของอามาร์
“อ่า...อื้ม” อามาร์ยกอุ้มร่างน้อยไปยังเตียงนอนนุ่มเมื่อจัดการเปลื้องอาภรณ์ของนางเรียบร้อยตามใจปรารถนา จากคิดว่าจะรอคืนนี้ แต่เพลานี้อดใจไม่ไหวเมื่อได้อยู่ใกล้และตีฝีปากกับนางก็อยากจะบดจูบหนักหน่วง เรียวลิ้นอุ่นร้อนดุนดันเข้าไปในโพรงปากพุฒิตา ไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กให้จนมุมแล้วตวัดกอดเกี่ยวฟัดหนักหน่วงดูดกลืนกินความหวาน และยิ่งนางจูบตอบก็ยิ่งทำให้เลือดในกายของเวตาลร้อนรุ่ม
อามาร์สาดซัดความคิดถึง ความรักคะนึงหานับหลายพันปีของตนเองใส่ไปกับแรงเคลื่อนไหวโยกเสียวของตนเองจนร่างน้อยใต้ร่างกระเด็นกระดอนไปตามแรงรักของตนเอง แต่ก็มีแขนแข็งแรงกอดรัดโอบรั้งไว้ไม่ให้เอวสาวหลุดถอยห่างความอวบใหญ่ของตนเอง พั่บ! พั่บ! พั่บ! เสียงจังหวะกระแทกเนื้อดุดันดังตลอดการเคลื่อนไหวร่างใหญ่ของอามาร์ และร่างน้อยก็สั่นไหวสะท้านครางกระเส่าเมื่อปากหนาผละออกมาไซ้ซอกคอระหงขบเม้มหนักหน่วง ตอนนี้พุฒิตาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ หัวใจก็ทำงานหนักเหลือเกิน เหงื่อไคลซึมอาบท่วมตัวทั้งเธอและคนที่กำลังโอบกอดรัดเธอแน่น “อื้อ...คุณ…มันชั่วช้า อะ...อื้อ” “ชูว์...อย่าดูถูกความรักของข้าเช่นนี้ยอดดวงใจ อ่า...” แล้วเขาก็ขบเม้มติ่งหูของนางพร้อมเอวสอบเคลื่อนไหวซอยถี่ “ความเห็นแก่ตัวต่างหาก อะ...อื้อ”
“ห้ามไปไหนทั้งนั้น ข้าต้องการคนถูหลังให้” เมื่อเห็นว่านางจักเดินไปต่อ อามาร์ก็สั่งห้ามทันทีพร้อมกับกระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตนปลดกระดุมเสร็จพอดีถอดโยนทิ้งกองรวมกับเสื้อสูทตัวนอกที่ถอดก่อนหน้า“ใยบวบก็มี คุณก็ถูเองสิ อีกอย่างคุณไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับฉัน”“มิมีสิ่งใดที่ ‘ผัว’ เจ้าต้องการแล้วมิได้ดอกหนาพุฒิตา” อามาร์ตั้งใจเอ่ยเน้นคำว่า ‘ผัว’ กับนางในดวงใจเหมือนกับที่เน้นคำว่า ‘เมีย’ ก่อนหน้า และยิ่งได้เห็นสองแก้มนวลแดงระเรื่อลามไปถึงหูแล้วมันน่ามันเขี้ยวเหลือเกิน“แต่ความต้องการของคุณใช้ไม่ได้กับฉันคุณอามาร์” เธอตอบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นักและไม่กล้าแหงนเงยหน้าสบตาเขาโดยตรงทำได้แต่มองไปทางอื่นแทนหึหึ“งั้นเจ้าก็ออกไปข้างนอกสิถ้าเจ้ามิปรารถนาทำตามคำสั่งของ ‘ผัว’ เช่นข้า” อามาร์ตอบกลับเมื่อนางยังคงยืนนิ่งไม่ขยับตัวเดินจากไป และเขาก็กำลังปลดกระดุมกางเกงถอดกางเกงตัวนอกและตัวในออกพร้อมกันแล้วใช้เท้าเขี่ยเตะไปกองรวมกับเสื้อสองตัวก่อนหน้านี้ ตอนน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บาซาคนสนิทของอามาร์ได้มาส่งเธอที่หน้าประตูบ้าน และตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าอามาร์ไปอยู่ไหน ตั้งแต่วันนั้นในห้องน้ำ เขาก็ออกไปจากสายตาของเธอ แต่เธอหารู้ไม่ว่าอามาร์นั้นได้เฝ้ามองเธออยู่ทุกค่ำคืน เขาชอบบินเร้นกายแฝงเร้นพรางตัวมาแอบมองเธอใช้ชีวิตในห้องส่วนตัว แม้อยากจะจับ กอด จูบ ลูบ คลำ ขยุ้มขยำแค่ไหน แต่ก็ได้แต่พยายามหักห้ามใจตัวเองไว้ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เธอจึงวางที่ปัดแก้มลงบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายเดินไปเปิดประตู “พี่นับสิบมาแล้วเหรอคะ” เธอยิ้มให้กับสาวใช้ที่ขึ้นมาเคาะประตูตามตนเอง “ค่ะคุณตา” “งั้นไปกันเถอะค่ะ” แม้เธอจะยิ้มแย้มสดใส แต่มันก็แค่การแสดงเท่านั้น เพราะตอนนี้ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนมากมายและความรู้สึกผิดต่อคู่หมั้นหนุ่มของตนเอง
“คุณขับรถเป็น?” “ข้าอยู่มาตั้งหลายพันปี มิมีอะไรที่อมนุษย์เยี่ยงข้าทำไม่เป็น” เขาตอบกลับประชดแล้วติดเครื่องยนต์แล้วออกตัวรถยนต์อย่างรวดเร็ว บรื้น! แล้วบรรยากาศในรถก็เงียบสนิท ไม่มีใครคนใดปริปากพูด พุฒิตาเองก็ได้แต่นั่งเม้มปากแน่น ส่วนอามาร์ก็ได้แต่มองถนนตรงหน้าแล้วเร่งเครื่องยนต์ด้วยความเร็วสูงพานางอันเป็นที่รักกลับส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย พอมาถึงบ้าน อามาร์หาได้ยอมจอดหน้าประตูรั้วให้เธอเดินเข้าบ้านไม่ เขารอให้เด็กในบ้านของนางมาเปิดประตูรั้วแล้วพารถหรูของตัวเองเข้าไปในบ้านแล้วจอดสนิทดับเครื่องยนต์ตรงเชิงบันไดเดินเข้าไปในตัวบ้าน “คุณดับรถทำไม?” “ก็จะเข้าบ้านไปส่งเจ้าไงเล่าพุฒิตา มาถึงบ้านเจ้าแล้วจักมิให้น้ำข้าดื่มสักแก้วเลยรึ” เขาตอบพร้อมส่งยิ้มกรุ้มก
อามาร์ขับรถหายไปในอากาศยามค่ำคืนแล้วตัวของเขาก็บินมาเกาะที่หน้าต่างห้องของพุฒิตา โดยไม่เปิดเผยตัวตนให้นางอันเป็นที่รักได้เห็นจนนางอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จพร้อมนอนเดินมาจะปิดหน้าต่างห้อง เขาจึงแสดงตัวเองให้พุฒิตาเห็น ว้าย! เธอร้องตกใจเมื่ออยู่ๆ อามาร์ก็ปรากฏตัวตรงหน้า แถมยังอยู่ในร่างของเวตาลด้วย เธอตกใจล้มลงกับพื้นถีบเท้ายันกายตัวเองถอยไปด้านหลังเพื่อจะลุกหนี แต่อามาร์ก็กระโดดเข้ามาในห้องพร้อมกับปีกที่แข็งแรงกางกว้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตกใจกลัวตัวตนที่แท้จริงของข้า เจ้าอยากร้องหรือเรียกให้ใครมาช่วยก็เรียกไปเถอะ เรียกจนคอแตกยังไงเสียงเจ้าก็มิเล็ดลอดออกไปจากห้อง” อามาร์ย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นหนึ่งข้างมองร่างเล็กสั่นเทา ในมือก็ถือไม้ตะพดคู่กายหัวค้างคาวตาแดงมีชีวิตด้วย เขาใช้หัวไม้พะพดเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นสบตาตน “เอามันออกไปไกลๆ ฉัน” เธอปัดหัวไม้ตะ
“ชูว์...ข้าชอบที่เจ้าแทนชื่อเล่นตัวเองกับข้าเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกใกล้ใจเจ้ายอดรัก”อามาร์ลากไล้ปลายลิ้นอุ่นร้อนผ่านหน้าท้องแบนราบไปยังความเป็นสาวโหนกนูนที่กำลังฉ่ำแฉะรอท่าตนเอง และเขาไม่รอช้าที่จักสอดเร่าปลายลิ้นอุ่นร้อนตัวเองถูไถกลีบสวาทอวบอิ่มฉ่ำแฉะของพุฒิตาพร้อมขบเม้มหยอกเย้าเม็ดเกสรกลางกายของนางสลับกับลากลิ้นเลียกลืนกินน้ำสวาทเหนียวข้นของนาง “อะ...อื้อ คุณได้โปรด...ตาไม่ไหวแล้ว อะ...อื้อ” เอวเล็กคอดแอ่นเด้งโยกเร่าตอบสนองเงอะงะไร้เดียงสา สองมือน้อยของเธอก็ทำตามสัญชาตญาณ ร่างกายกดคลึงหัวทุยบุรุษโยกเร่าพร้อมเอวเล็กยกเด้งขึ้นหา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีร่างเป็นอะไรในตอนนี้ “อ่า...ยอดรักของข้า” อามาร์ผละปากเงยขึ้นจากความเป็นสาวหวานฉ่ำของนางอันเป็นที่รักเมื่อถูกตอบสนองกลับอย่างยั่วยวน “โอว์...ทูนหัวของอามาร์ อื้ม...” แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนกินน้ำหวานของพุฒิตาอีกครั้งพร้อมกับปีกทั้งสองกางกว้างออกเต็มปีกแล้วก็ผละหน้
อามาร์รู้ว่าแม่ของพุฒิตาไม่ชอบตนและพ่อของนางก็เช่นกัน แล้วทำไมเขาต้องสนใจด้วยเล่า เมื่อคนที่เขา ‘รัก’ และ ‘ปรารถนา’ คือพุฒิตาไม่ใช่พ่อกับแม่ของนางสักหน่อย แม้ปากจะบอกไม่สนใจ แต่เขาก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพราะทั้งสองคือผู้ให้ชีวิตนางอันเป็นที่รักของตน อามาร์ฉีกยิ้มให้เจ้าบ้านทั้งสองที่นั่งตรงหน้าตนเอง เขารู้ว่าทั้งสองไม่อยากต้อนรับตน แต่ในเมื่อตนมาแล้วทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเชิญมายังห้องรับแขกพร้อมกับนำน้ำและของว่างมาให้ตนทาน “ขอบคุณครับที่ให้ผมเข้ามารอพุฒิตาในบ้าน” เขาขอบคุณทั้งสองแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองหาได้เต็มใจเปิดบ้านต้อนรับตนไม่ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวยัยตาก็เลิกงานแล้ว” เป็นปพนที่เอ่ยตอบพร้อมส่งยิ้มฝืดๆ ให้อีกฝ่าย “ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณ” ทิพย์เอ่ยกับสามีแล้วก็หันไปมองแขกที่ตนไม่อยากต้อนรั
“ให้พี่ไปด้วยไหมตา พี่ไม่ไว้ใจนายอามาร์นั่น” นับสิบเอ่ยด้วยความเป็นห่วงคู่หมั้นสาว “ไม่เป็นไรค่ะ เขาไม่ทำอะไรตาหรอก อีกอย่างเรารู้จักกันค่ะ” พุฒิตาเอ่ยตอบแล้วก็เดินจากไปคำว่า ‘รู้จักกัน’ ทำให้นับสิบสงสัยอยากรู้ว่าคู่หมั้นสาวไปรู้จักคนประเภทนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้ชายที่เต็มไปด้วยความลึกลับอันตรายคนนี้ด้วยแล้วยิ่งสงสัย แถมตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นของพุฒิตา เขาก็อยู่ด้วยมาตลอดและเพื่อนทุกคนของเธอ เขาก็รู้จักทุกคน แต่ไม่เคยรู้จักนายอามาร์ลึกลับผู้นี้ พุฒิตาเดินสาวเท้าเร็วๆ ตามเวตาลอามาร์ออกมาจากห้องรับแขก พอเดินออกมาพ้นห้อง อามาร์ก็หยุดเดินแล้วหมุนตัวหันหน้ามาทางเธอแล้วก็เดินเข้ามาหาเธอที่หยุดเท้าเดิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตนเองแล้วก็ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวอย่างระวังตัว “มาคุยเรื่องของเรามิใช่รึ แล้วจักก้าวถอยห่างไปทำไมเล่า” อามาร์เอ่ยเมื่อเห็นนางก้า
“สวยมากเลยครับพ่อ” เด็กชายอาชา เวตาลน้อยทายาทคนแรกของนายอามาร์ผู้เป็นอมตะอยู่มานานนับพันกว่าเกือบหมื่นปีพาลูกชายวัยหกขวบบินขึ้นมาดูพระจันทร์และแขนอีกหนึ่งข้างของเขาก็กอดภรรยาสุดที่รักด้วย แขนทั้งสองข้างของเขาตอนนี้มีไว้เพื่อกอดแม่ของลูกและลูกเท่านั้น ตอนนี้ในท้องของพุฒิตาก็กำลังมีลูกคนที่สองและเป็นลูกสาวด้วย “ครั้งหนึ่งพ่อเคยพาแม่เจ้ามายังที่แห่งนี้” อามาร์เอ่ยบอกลูกชาย แต่ตามองภรรยาด้วยสายตากรุ้มกริ่มและพุฒิตาก็นึกย้อนไปถึงอดีตคืนพระจันทร์เต็มดวงที่เขาพาตนขึ้นมาทำลามกหื่นกามต่อหน้าพระจันทร์ “เวตาลลามก” พุฒิตาตบอกสามีเก้อเขิน หึหึ “ก็เจ้าทำให้ข้าอดใจมิไหวนี่เมียข้า อาชาลูกรักของพ่อ ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องแสดงฝีมือให้พ่อกับแม่ดูแล้ว” อามาร์บอกลูกชายพร้อมกับปล่อยแขนข้างที่กอดอุ้มหนูน้อยแล้วเวตาลน้อยลูกครึ่งมนุษย์ก็มีป
“มันจริงเหรอยัยตา” ปพนถามลูกสาวและพุฒิตาก็พยักหน้าตอบยืนยันคำพูดของเวตาลเจ้าเล่ห์ “ฉันจะเป็นลมคุณปพน” นางทิพย์ยกมือทาบอกเอนหัวซบไหล่สามี คนเป็นสามีก็โอบไหล่ลูบปลอบ “หนูขอโทษนะคะคุณพ่อคุณแม่ แต่หนู ‘รัก’ คุณอามาร์ค่ะ และตอนนี้หนูก็กำลังท้องกับเขา”พุฒิตายอมรับความรู้สึกตัวเองต่อหน้าท่านทั้งสองแล้วเคลื่อนตัวลงจากโซฟาไปนั่งยังพื้นพรมแล้วยกมือพนมขึ้นแนบอกก่อนจะก้มลงกราบ ส่วนอามาร์ผู้ไม่เคยก้มหัวและกราบไหว้เท้าใครก็ทำตามแม่ยอดดวงใจเพื่อขอขมาทั้งสองที่ล่วงเกินลูกสาวของทิพย์กับปพน “ผมขอรับผิดชอบพุฒิตากับลูก ยกเธอและลูกให้ผมนะครับ” น้ำเสียงหนักแน่น แววตาที่จริงจังเมื่อได้สบตาทำให้ปพนต้องหันมาสบตาภรรยาแล้วก็ถอนหายใจ “เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับความจริงนะคุณ ถึงแม้จะไม่ชอบนายอามาร์ แต่ลูกเราท้องกับเขาแล
ปกติแล้วลูกสาวเป็นคนตื่นเช้าและไม่เคยเข้าบริษัทสาย แต่วันนี้รถยังจอดอยู่ นางกับสามีกลับมาจากทำบุญที่วัดก็ถามเด็กรับใช้ พอรู้ว่ายังอยู่บนห้อง นางและสามีก็ขึ้นมาเคาะประตูปลุกเอง ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ปพนเคาะประตูห้องเมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องของลูกสาว “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” สามีเป็นคนเคาะประตู ทิพย์เป็นคนเอ่ยถาม เงียบ! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ลูกสาวยังไม่ตอบ ปพนก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องอีกครั้งและก็เงียบเหมือนเดิม “เป็นอะไรรึเปล่ายัยตา ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงานลูก ไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้นะ” ทิพย์เอ่ยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ก๊
“ว้าย! คุณอามาร์ คุณทำไมยังอยู่ แล้วมันกี่โมงแล้ว” เธอมองเห็นเขานั่งคุกเข่าซบหน้ากับท้องตนเองก็รีบผลักไสแล้วก็ถาม “แปดโมงกว่า” เขาตอบเธอสั้นๆ “แล้วทำไมไม่ปลุกฉัน แล้วทำไมคุณไม่กลับไป อยู่ทำไมอีก” “ข้าจักมิไปไหนทั้งนั้นเมียข้า เจ้ารู้รึไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีเวตาลน้อยให้ข้าพุฒิตา ข้าดีใจเหลือเกินเมียรักของข้า” อามาร์ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงแล้วประคองคนตัวเล็กลุกขึ้นมานั่งพิงซบอกตนเองพร้อมกอดเอวเล็กคอดหลวมๆ คำพูดของอามาร์ทำให้เธองงไม่เข้าใจว่าเวตาลตนนี้พูดอะไรกันแน่ “คุณหมายถึงอะไรคุณอามาร์” “เจ้ามิรู้รึว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีลูกกับข้ายอดรัก” พุฒิตานิ่งอึ้งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้รู้ เขารู้ได้ยังไงว่าเธอ ‘ท้อง’ ขนาดตัวเธอเองยังไม
บาซากลับมาหาแม่คนงามของตนเองที่คอนโดห้องพักของนางในกลางดึก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับนักข่าวสาวได้มีความคืบหน้าขึ้นกว่าเดิมจากที่สร้างภาพฝันให้นางหลงเข้าใจผิดก่อนหน้า บาซาก็เปลี่ยนเป็นมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวแบบคนปกติทั่วไปตามคำแนะนำของนายท่านตน “มีอะไรรึเปล่าคะคุณบาซา” พิมพ์พรเอ่ยถามคนที่มาเคาะประตูห้องตนในเวลาดึก “ผมขอเข้าไปคุยในห้องได้ไหมพิมพ์พร” บาซาไม่ตอบ แต่ขอเข้าห้องสาวตรงหน้า “ฉันว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ ในห้องฉันไม่สะดวก”ก็ห้องของเธอรกยังไม่ได้เก็บกวาด ไม่พร้อมให้ชายหนุ่มเห็นสภาพห้องตอนนี้ “แต่ผมสะดวก”แล้วบาซาก็ผลักเจ้าของห้องเข้าไปในห้องแล้วตัวเองเดินเข้าห้องตามพร้อมปิดล็อกประตูสนิท “คุณบาซา”เธอเรียกเขาพร้อมวิ่งไปขวางทางไม่ให้เขาเดินต่อ แต่ไม่ทันแล้วเขาเห็นสภาพห้องรกๆ ของเธอแล
พุฒิตาสะดุ้งตื่นกลางดึกรีบใช้มือเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงลมพัดตีหน้าต่างของตนเองจนเสียงดัง เธอว่าเธอปิดและล็อกหน้าต่างดีแล้ว แต่ทำไมหน้าต่างถึงเปิดออก พอลงจากเตียงไปจะปิดหน้าต่างก็เห็นอามาร์บินอยู่ด้านนอกหน้าต่างตรงหน้า “คุณ!” “ข้าเองพุฒิตา” บรั่นดีขวดเดียวมิสามารถทำอะไรเขาได้ อามาร์บินมาหยุดตรงหน้าคนที่อยู่ในห้องแล้วก็ยื่นแขนออกไปกอดอุ้มนางออกมานอกห้อง ว้าย! เธอตกใจเมื่อถูกกอดอุ้มลอยออกนอกหน้าต่าง สองมือน้อยรีบกอดเอวสอบ “ข้าจักพาเจ้าไปดูโลกที่ข้าอยู่” แล้วอามาร์ก็พาแม่ยอดดวงใจบินร่อนขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบน แม้ว่าเธอจะหวาดกลัวในตอนแรก แต่พุฒิตาก็มั่นใจว่าอามาร์จักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ลืมตาและมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเมียข้า” อาม
เฮ้อ! ปพนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะลูก เมื่อลูกตัดสินใจแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าลูกเลิกกับนับสิบแล้วไปคบกับเจ้าของโรงแรมนั่น พ่อกับแม่ไม่ยอม เป็นใครก็ได้ ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ชายที่มีเมียแบบนั้น เข้าใจไหมยัยตา” “ใช่ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อย เมียเก็บหรือนางบำเรอของใครทั้งนั้นรู้ไหมลูก ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ของนับสิบ พ่อกับแม่จะคุยกันเอง ไหนๆ ลูกก็ตัดสินใจแล้ว แม่กับพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แต่แม่อยากบอกว่าเสียใจ ทำไมหนูถึงทิ้งผู้ชายดีๆ แบบพ่อนับสิบได้ลูก”แม้จะเสียใจและผิดหวัง แต่ยังไงพุฒิตาก็คือลูกอย่างที่สามีบอกนั่นแหละ ว่าควรปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของตัวเองเองและตอนนี้พุฒิตาก็เลือกแล้วที่จะทิ้งคนดีๆ อย่างนับสิบ “หนูไม่ได้ถอนหมั้นกับพี่นับสิบเพื่อเลือกเขา แต่ที่หนูถอนหมั้นเพราะหนูไม่ได้ ‘รัก’
พุฒิตาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความสัมพันธ์ของตนและคู่หมั้นหนุ่มถึงจบลงแบบนี้ แต่มันก็ต้องจบเมื่อเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีพร้อมสำหรับนับสิบอีกต่อไปแล้ว แต่แปลกที่ตลอดเวลาเธอเข้าใจมาตลอดว่าตนนั้น ‘รัก’ ชายหนุ่ม แต่พอมาตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่เลือกถอนหมั้น กลับรู้สึกโล่งสบายใจเสียด้วยซ้ำ หรือแท้จริงแล้วเธอไม่เคย ‘รัก’ อีกฝ่ายเลยสักนิด แต่เข้าใจว่าความรู้สึกผูกพันตั้งแต่เด็กมันคือความ ‘รัก’ พอตอนนี้รู้แล้วว่าความรู้สึกของตนที่มีต่อคู่หมั้นหนุ่มนั้นเป็นแบบพี่น้องหาใช่แบบคน ‘รัก’ ไม่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่กลัวที่สุดก็มาถึง เมื่อคนที่ตนรักและถนอมมาตลอดช่วงวัยหนุ่ม จะว่าไปตั้งแต่วัยเด็กก็ว่าได้สำหรับนับสิบ เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน เพราะในใจของเขา ‘รัก’ มั่นเพียงคนตรงหน้า แต่เมื่อวันนี้จำต้องตัดขาดสัมพันธ์ เขาก็ต้องยอมรับ เพราะมันคือการตัดสินใจของพุฒิตา เมื่อเธอ
พุฒิตาใช้ชีวิตเจอเพื่อน ทำงาน และกลับบ้าน ไปทานข้าวกับคู่หมั้นเหมือนเดิมเหมือนที่เคยเป็น แต่กลับไม่รู้สึกว่าการได้เจอเพื่อน การได้ทำงานและเจอคู่หมั้นมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เพราะในใจเธอมันเฝ้ารอคอยคนที่บอกจะมาหาในวันนั้น จนวันนี้ผ่านมาหนึ่งเดือน อามาร์ก็ไม่โผล่หน้ามาให้เจอ แม้แต่เสียงก็ไม่มีให้ได้ยิน “ไอ้เวตาลสารเลว!” เธอฟาดกระเป๋าสะพายตัวเองไปกับเตียงนอนนุ่มแล้วก็เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “มีอะไรคะ” เธอหายใจเข้าปอดแรงๆ แล้วตะโกนถามคนที่มาเคาะประตูห้องของตัวเอง “พี่นางเองค่ะ คุณท่านให้มาตามลงไปข้างล่างค่ะ” “ได้ค่ะ เดี๋ยวตาเปลี่ยนชุดแล้วตามลงไปนะคะ”เธอตอบกลับแล้วเสียงหน้าห้องก็เงียบไป แล้วเธอก็รีบเดินไปยังตู้เสื้