อามาร์ขับรถหายไปในอากาศยามค่ำคืนแล้วตัวของเขาก็บินมาเกาะที่หน้าต่างห้องของพุฒิตา โดยไม่เปิดเผยตัวตนให้นางอันเป็นที่รักได้เห็นจนนางอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จพร้อมนอนเดินมาจะปิดหน้าต่างห้อง เขาจึงแสดงตัวเองให้พุฒิตาเห็น
ว้าย!
เธอร้องตกใจเมื่ออยู่ๆ อามาร์ก็ปรากฏตัวตรงหน้า แถมยังอยู่ในร่างของเวตาลด้วย เธอตกใจล้มลงกับพื้นถีบเท้ายันกายตัวเองถอยไปด้านหลังเพื่อจะลุกหนี แต่อามาร์ก็กระโดดเข้ามาในห้องพร้อมกับปีกที่แข็งแรงกางกว้าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตกใจกลัวตัวตนที่แท้จริงของข้า เจ้าอยากร้องหรือเรียกให้ใครมาช่วยก็เรียกไปเถอะ เรียกจนคอแตกยังไงเสียงเจ้าก็มิเล็ดลอดออกไปจากห้อง” อามาร์ย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นหนึ่งข้างมองร่างเล็กสั่นเทา ในมือก็ถือไม้ตะพดคู่กายหัวค้างคาวตาแดงมีชีวิตด้วย เขาใช้หัวไม้พะพดเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นสบตาตน
“เอามันออกไปไกลๆ ฉัน” เธอปัดหัวไม้ตะ
“ชูว์...ข้าชอบที่เจ้าแทนชื่อเล่นตัวเองกับข้าเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกใกล้ใจเจ้ายอดรัก”อามาร์ลากไล้ปลายลิ้นอุ่นร้อนผ่านหน้าท้องแบนราบไปยังความเป็นสาวโหนกนูนที่กำลังฉ่ำแฉะรอท่าตนเอง และเขาไม่รอช้าที่จักสอดเร่าปลายลิ้นอุ่นร้อนตัวเองถูไถกลีบสวาทอวบอิ่มฉ่ำแฉะของพุฒิตาพร้อมขบเม้มหยอกเย้าเม็ดเกสรกลางกายของนางสลับกับลากลิ้นเลียกลืนกินน้ำสวาทเหนียวข้นของนาง “อะ...อื้อ คุณได้โปรด...ตาไม่ไหวแล้ว อะ...อื้อ” เอวเล็กคอดแอ่นเด้งโยกเร่าตอบสนองเงอะงะไร้เดียงสา สองมือน้อยของเธอก็ทำตามสัญชาตญาณ ร่างกายกดคลึงหัวทุยบุรุษโยกเร่าพร้อมเอวเล็กยกเด้งขึ้นหา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีร่างเป็นอะไรในตอนนี้ “อ่า...ยอดรักของข้า” อามาร์ผละปากเงยขึ้นจากความเป็นสาวหวานฉ่ำของนางอันเป็นที่รักเมื่อถูกตอบสนองกลับอย่างยั่วยวน “โอว์...ทูนหัวของอามาร์ อื้ม...” แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนกินน้ำหวานของพุฒิตาอีกครั้งพร้อมกับปีกทั้งสองกางกว้างออกเต็มปีกแล้วก็ผละหน้
อามาร์รู้ว่าแม่ของพุฒิตาไม่ชอบตนและพ่อของนางก็เช่นกัน แล้วทำไมเขาต้องสนใจด้วยเล่า เมื่อคนที่เขา ‘รัก’ และ ‘ปรารถนา’ คือพุฒิตาไม่ใช่พ่อกับแม่ของนางสักหน่อย แม้ปากจะบอกไม่สนใจ แต่เขาก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพราะทั้งสองคือผู้ให้ชีวิตนางอันเป็นที่รักของตน อามาร์ฉีกยิ้มให้เจ้าบ้านทั้งสองที่นั่งตรงหน้าตนเอง เขารู้ว่าทั้งสองไม่อยากต้อนรับตน แต่ในเมื่อตนมาแล้วทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเชิญมายังห้องรับแขกพร้อมกับนำน้ำและของว่างมาให้ตนทาน “ขอบคุณครับที่ให้ผมเข้ามารอพุฒิตาในบ้าน” เขาขอบคุณทั้งสองแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองหาได้เต็มใจเปิดบ้านต้อนรับตนไม่ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวยัยตาก็เลิกงานแล้ว” เป็นปพนที่เอ่ยตอบพร้อมส่งยิ้มฝืดๆ ให้อีกฝ่าย “ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณ” ทิพย์เอ่ยกับสามีแล้วก็หันไปมองแขกที่ตนไม่อยากต้อนรั
“ให้พี่ไปด้วยไหมตา พี่ไม่ไว้ใจนายอามาร์นั่น” นับสิบเอ่ยด้วยความเป็นห่วงคู่หมั้นสาว “ไม่เป็นไรค่ะ เขาไม่ทำอะไรตาหรอก อีกอย่างเรารู้จักกันค่ะ” พุฒิตาเอ่ยตอบแล้วก็เดินจากไปคำว่า ‘รู้จักกัน’ ทำให้นับสิบสงสัยอยากรู้ว่าคู่หมั้นสาวไปรู้จักคนประเภทนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้ชายที่เต็มไปด้วยความลึกลับอันตรายคนนี้ด้วยแล้วยิ่งสงสัย แถมตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นของพุฒิตา เขาก็อยู่ด้วยมาตลอดและเพื่อนทุกคนของเธอ เขาก็รู้จักทุกคน แต่ไม่เคยรู้จักนายอามาร์ลึกลับผู้นี้ พุฒิตาเดินสาวเท้าเร็วๆ ตามเวตาลอามาร์ออกมาจากห้องรับแขก พอเดินออกมาพ้นห้อง อามาร์ก็หยุดเดินแล้วหมุนตัวหันหน้ามาทางเธอแล้วก็เดินเข้ามาหาเธอที่หยุดเท้าเดิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตนเองแล้วก็ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวอย่างระวังตัว “มาคุยเรื่องของเรามิใช่รึ แล้วจักก้าวถอยห่างไปทำไมเล่า” อามาร์เอ่ยเมื่อเห็นนางก้า
โกหก! แม้ปากบอกเกลียดชังเวตาลอามาร์ แต่เธอก็เฝ้ารอการมาของเขาในคืนนี้ แต่ก็เงียบไร้เงา ไร้เสียงจนทำให้เธอนอนไม่หลับ หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เฮ้อ! เธอนอนถอนหายใจในความมืดสนิทโดยหารู้ไม่ว่าตนเองนั้นตกอยู่ในสายตาของเวตาลตลอดเวลา อามาร์เห็นทุกอิริยาบทของแม่ยอดทูนหัวทุกอย่าง แต่ไม่ยอมปรากฏตัวให้นางเห็น เพราะอยากรู้เหมือนกันหากว่าเขาไม่โผล่มา พุฒิตาจักมีท่าทีเช่นไร ซึ่งท่าทีของนางก็ทำให้เขายิ้มพึงพอใจ “โกหก ไอ้เวตาลบ้า! ฉันเกลียดคุณที่สุด” เมื่อเขาไม่มา เธอก็เลิกผ้าห่มขึ้นคลุมหัวแล้วข่มตาหลับให้ผ่านคืนนี้ไป ส่วนอามาร์ที่ได้ยินและได้เห็นท่าทางของนางแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำเอ็นดูนาง ‘คนปากไม่ตรงกับใจ’ อามาร์พึมพำกับตนเองแล้วก็ปล่อยให้นางอยู่กับความหงุด
พุฒิตาใช้ชีวิตเจอเพื่อน ทำงาน และกลับบ้าน ไปทานข้าวกับคู่หมั้นเหมือนเดิมเหมือนที่เคยเป็น แต่กลับไม่รู้สึกว่าการได้เจอเพื่อน การได้ทำงานและเจอคู่หมั้นมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เพราะในใจเธอมันเฝ้ารอคอยคนที่บอกจะมาหาในวันนั้น จนวันนี้ผ่านมาหนึ่งเดือน อามาร์ก็ไม่โผล่หน้ามาให้เจอ แม้แต่เสียงก็ไม่มีให้ได้ยิน “ไอ้เวตาลสารเลว!” เธอฟาดกระเป๋าสะพายตัวเองไปกับเตียงนอนนุ่มแล้วก็เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “มีอะไรคะ” เธอหายใจเข้าปอดแรงๆ แล้วตะโกนถามคนที่มาเคาะประตูห้องของตัวเอง “พี่นางเองค่ะ คุณท่านให้มาตามลงไปข้างล่างค่ะ” “ได้ค่ะ เดี๋ยวตาเปลี่ยนชุดแล้วตามลงไปนะคะ”เธอตอบกลับแล้วเสียงหน้าห้องก็เงียบไป แล้วเธอก็รีบเดินไปยังตู้เสื้
พุฒิตาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความสัมพันธ์ของตนและคู่หมั้นหนุ่มถึงจบลงแบบนี้ แต่มันก็ต้องจบเมื่อเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีพร้อมสำหรับนับสิบอีกต่อไปแล้ว แต่แปลกที่ตลอดเวลาเธอเข้าใจมาตลอดว่าตนนั้น ‘รัก’ ชายหนุ่ม แต่พอมาตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่เลือกถอนหมั้น กลับรู้สึกโล่งสบายใจเสียด้วยซ้ำ หรือแท้จริงแล้วเธอไม่เคย ‘รัก’ อีกฝ่ายเลยสักนิด แต่เข้าใจว่าความรู้สึกผูกพันตั้งแต่เด็กมันคือความ ‘รัก’ พอตอนนี้รู้แล้วว่าความรู้สึกของตนที่มีต่อคู่หมั้นหนุ่มนั้นเป็นแบบพี่น้องหาใช่แบบคน ‘รัก’ ไม่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่กลัวที่สุดก็มาถึง เมื่อคนที่ตนรักและถนอมมาตลอดช่วงวัยหนุ่ม จะว่าไปตั้งแต่วัยเด็กก็ว่าได้สำหรับนับสิบ เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน เพราะในใจของเขา ‘รัก’ มั่นเพียงคนตรงหน้า แต่เมื่อวันนี้จำต้องตัดขาดสัมพันธ์ เขาก็ต้องยอมรับ เพราะมันคือการตัดสินใจของพุฒิตา เมื่อเธอ
เฮ้อ! ปพนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะลูก เมื่อลูกตัดสินใจแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าลูกเลิกกับนับสิบแล้วไปคบกับเจ้าของโรงแรมนั่น พ่อกับแม่ไม่ยอม เป็นใครก็ได้ ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ชายที่มีเมียแบบนั้น เข้าใจไหมยัยตา” “ใช่ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อย เมียเก็บหรือนางบำเรอของใครทั้งนั้นรู้ไหมลูก ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ของนับสิบ พ่อกับแม่จะคุยกันเอง ไหนๆ ลูกก็ตัดสินใจแล้ว แม่กับพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แต่แม่อยากบอกว่าเสียใจ ทำไมหนูถึงทิ้งผู้ชายดีๆ แบบพ่อนับสิบได้ลูก”แม้จะเสียใจและผิดหวัง แต่ยังไงพุฒิตาก็คือลูกอย่างที่สามีบอกนั่นแหละ ว่าควรปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของตัวเองเองและตอนนี้พุฒิตาก็เลือกแล้วที่จะทิ้งคนดีๆ อย่างนับสิบ “หนูไม่ได้ถอนหมั้นกับพี่นับสิบเพื่อเลือกเขา แต่ที่หนูถอนหมั้นเพราะหนูไม่ได้ ‘รัก’
พุฒิตาสะดุ้งตื่นกลางดึกรีบใช้มือเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงลมพัดตีหน้าต่างของตนเองจนเสียงดัง เธอว่าเธอปิดและล็อกหน้าต่างดีแล้ว แต่ทำไมหน้าต่างถึงเปิดออก พอลงจากเตียงไปจะปิดหน้าต่างก็เห็นอามาร์บินอยู่ด้านนอกหน้าต่างตรงหน้า “คุณ!” “ข้าเองพุฒิตา” บรั่นดีขวดเดียวมิสามารถทำอะไรเขาได้ อามาร์บินมาหยุดตรงหน้าคนที่อยู่ในห้องแล้วก็ยื่นแขนออกไปกอดอุ้มนางออกมานอกห้อง ว้าย! เธอตกใจเมื่อถูกกอดอุ้มลอยออกนอกหน้าต่าง สองมือน้อยรีบกอดเอวสอบ “ข้าจักพาเจ้าไปดูโลกที่ข้าอยู่” แล้วอามาร์ก็พาแม่ยอดดวงใจบินร่อนขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบน แม้ว่าเธอจะหวาดกลัวในตอนแรก แต่พุฒิตาก็มั่นใจว่าอามาร์จักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ลืมตาและมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเมียข้า” อาม
“สวยมากเลยครับพ่อ” เด็กชายอาชา เวตาลน้อยทายาทคนแรกของนายอามาร์ผู้เป็นอมตะอยู่มานานนับพันกว่าเกือบหมื่นปีพาลูกชายวัยหกขวบบินขึ้นมาดูพระจันทร์และแขนอีกหนึ่งข้างของเขาก็กอดภรรยาสุดที่รักด้วย แขนทั้งสองข้างของเขาตอนนี้มีไว้เพื่อกอดแม่ของลูกและลูกเท่านั้น ตอนนี้ในท้องของพุฒิตาก็กำลังมีลูกคนที่สองและเป็นลูกสาวด้วย “ครั้งหนึ่งพ่อเคยพาแม่เจ้ามายังที่แห่งนี้” อามาร์เอ่ยบอกลูกชาย แต่ตามองภรรยาด้วยสายตากรุ้มกริ่มและพุฒิตาก็นึกย้อนไปถึงอดีตคืนพระจันทร์เต็มดวงที่เขาพาตนขึ้นมาทำลามกหื่นกามต่อหน้าพระจันทร์ “เวตาลลามก” พุฒิตาตบอกสามีเก้อเขิน หึหึ “ก็เจ้าทำให้ข้าอดใจมิไหวนี่เมียข้า อาชาลูกรักของพ่อ ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องแสดงฝีมือให้พ่อกับแม่ดูแล้ว” อามาร์บอกลูกชายพร้อมกับปล่อยแขนข้างที่กอดอุ้มหนูน้อยแล้วเวตาลน้อยลูกครึ่งมนุษย์ก็มีป
“มันจริงเหรอยัยตา” ปพนถามลูกสาวและพุฒิตาก็พยักหน้าตอบยืนยันคำพูดของเวตาลเจ้าเล่ห์ “ฉันจะเป็นลมคุณปพน” นางทิพย์ยกมือทาบอกเอนหัวซบไหล่สามี คนเป็นสามีก็โอบไหล่ลูบปลอบ “หนูขอโทษนะคะคุณพ่อคุณแม่ แต่หนู ‘รัก’ คุณอามาร์ค่ะ และตอนนี้หนูก็กำลังท้องกับเขา”พุฒิตายอมรับความรู้สึกตัวเองต่อหน้าท่านทั้งสองแล้วเคลื่อนตัวลงจากโซฟาไปนั่งยังพื้นพรมแล้วยกมือพนมขึ้นแนบอกก่อนจะก้มลงกราบ ส่วนอามาร์ผู้ไม่เคยก้มหัวและกราบไหว้เท้าใครก็ทำตามแม่ยอดดวงใจเพื่อขอขมาทั้งสองที่ล่วงเกินลูกสาวของทิพย์กับปพน “ผมขอรับผิดชอบพุฒิตากับลูก ยกเธอและลูกให้ผมนะครับ” น้ำเสียงหนักแน่น แววตาที่จริงจังเมื่อได้สบตาทำให้ปพนต้องหันมาสบตาภรรยาแล้วก็ถอนหายใจ “เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับความจริงนะคุณ ถึงแม้จะไม่ชอบนายอามาร์ แต่ลูกเราท้องกับเขาแล
ปกติแล้วลูกสาวเป็นคนตื่นเช้าและไม่เคยเข้าบริษัทสาย แต่วันนี้รถยังจอดอยู่ นางกับสามีกลับมาจากทำบุญที่วัดก็ถามเด็กรับใช้ พอรู้ว่ายังอยู่บนห้อง นางและสามีก็ขึ้นมาเคาะประตูปลุกเอง ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ปพนเคาะประตูห้องเมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องของลูกสาว “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” สามีเป็นคนเคาะประตู ทิพย์เป็นคนเอ่ยถาม เงียบ! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ลูกสาวยังไม่ตอบ ปพนก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องอีกครั้งและก็เงียบเหมือนเดิม “เป็นอะไรรึเปล่ายัยตา ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงานลูก ไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้นะ” ทิพย์เอ่ยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ก๊
“ว้าย! คุณอามาร์ คุณทำไมยังอยู่ แล้วมันกี่โมงแล้ว” เธอมองเห็นเขานั่งคุกเข่าซบหน้ากับท้องตนเองก็รีบผลักไสแล้วก็ถาม “แปดโมงกว่า” เขาตอบเธอสั้นๆ “แล้วทำไมไม่ปลุกฉัน แล้วทำไมคุณไม่กลับไป อยู่ทำไมอีก” “ข้าจักมิไปไหนทั้งนั้นเมียข้า เจ้ารู้รึไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีเวตาลน้อยให้ข้าพุฒิตา ข้าดีใจเหลือเกินเมียรักของข้า” อามาร์ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงแล้วประคองคนตัวเล็กลุกขึ้นมานั่งพิงซบอกตนเองพร้อมกอดเอวเล็กคอดหลวมๆ คำพูดของอามาร์ทำให้เธองงไม่เข้าใจว่าเวตาลตนนี้พูดอะไรกันแน่ “คุณหมายถึงอะไรคุณอามาร์” “เจ้ามิรู้รึว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีลูกกับข้ายอดรัก” พุฒิตานิ่งอึ้งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้รู้ เขารู้ได้ยังไงว่าเธอ ‘ท้อง’ ขนาดตัวเธอเองยังไม
บาซากลับมาหาแม่คนงามของตนเองที่คอนโดห้องพักของนางในกลางดึก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับนักข่าวสาวได้มีความคืบหน้าขึ้นกว่าเดิมจากที่สร้างภาพฝันให้นางหลงเข้าใจผิดก่อนหน้า บาซาก็เปลี่ยนเป็นมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวแบบคนปกติทั่วไปตามคำแนะนำของนายท่านตน “มีอะไรรึเปล่าคะคุณบาซา” พิมพ์พรเอ่ยถามคนที่มาเคาะประตูห้องตนในเวลาดึก “ผมขอเข้าไปคุยในห้องได้ไหมพิมพ์พร” บาซาไม่ตอบ แต่ขอเข้าห้องสาวตรงหน้า “ฉันว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ ในห้องฉันไม่สะดวก”ก็ห้องของเธอรกยังไม่ได้เก็บกวาด ไม่พร้อมให้ชายหนุ่มเห็นสภาพห้องตอนนี้ “แต่ผมสะดวก”แล้วบาซาก็ผลักเจ้าของห้องเข้าไปในห้องแล้วตัวเองเดินเข้าห้องตามพร้อมปิดล็อกประตูสนิท “คุณบาซา”เธอเรียกเขาพร้อมวิ่งไปขวางทางไม่ให้เขาเดินต่อ แต่ไม่ทันแล้วเขาเห็นสภาพห้องรกๆ ของเธอแล
พุฒิตาสะดุ้งตื่นกลางดึกรีบใช้มือเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงลมพัดตีหน้าต่างของตนเองจนเสียงดัง เธอว่าเธอปิดและล็อกหน้าต่างดีแล้ว แต่ทำไมหน้าต่างถึงเปิดออก พอลงจากเตียงไปจะปิดหน้าต่างก็เห็นอามาร์บินอยู่ด้านนอกหน้าต่างตรงหน้า “คุณ!” “ข้าเองพุฒิตา” บรั่นดีขวดเดียวมิสามารถทำอะไรเขาได้ อามาร์บินมาหยุดตรงหน้าคนที่อยู่ในห้องแล้วก็ยื่นแขนออกไปกอดอุ้มนางออกมานอกห้อง ว้าย! เธอตกใจเมื่อถูกกอดอุ้มลอยออกนอกหน้าต่าง สองมือน้อยรีบกอดเอวสอบ “ข้าจักพาเจ้าไปดูโลกที่ข้าอยู่” แล้วอามาร์ก็พาแม่ยอดดวงใจบินร่อนขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบน แม้ว่าเธอจะหวาดกลัวในตอนแรก แต่พุฒิตาก็มั่นใจว่าอามาร์จักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ลืมตาและมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเมียข้า” อาม
เฮ้อ! ปพนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะลูก เมื่อลูกตัดสินใจแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าลูกเลิกกับนับสิบแล้วไปคบกับเจ้าของโรงแรมนั่น พ่อกับแม่ไม่ยอม เป็นใครก็ได้ ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ชายที่มีเมียแบบนั้น เข้าใจไหมยัยตา” “ใช่ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อย เมียเก็บหรือนางบำเรอของใครทั้งนั้นรู้ไหมลูก ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ของนับสิบ พ่อกับแม่จะคุยกันเอง ไหนๆ ลูกก็ตัดสินใจแล้ว แม่กับพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แต่แม่อยากบอกว่าเสียใจ ทำไมหนูถึงทิ้งผู้ชายดีๆ แบบพ่อนับสิบได้ลูก”แม้จะเสียใจและผิดหวัง แต่ยังไงพุฒิตาก็คือลูกอย่างที่สามีบอกนั่นแหละ ว่าควรปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของตัวเองเองและตอนนี้พุฒิตาก็เลือกแล้วที่จะทิ้งคนดีๆ อย่างนับสิบ “หนูไม่ได้ถอนหมั้นกับพี่นับสิบเพื่อเลือกเขา แต่ที่หนูถอนหมั้นเพราะหนูไม่ได้ ‘รัก’
พุฒิตาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความสัมพันธ์ของตนและคู่หมั้นหนุ่มถึงจบลงแบบนี้ แต่มันก็ต้องจบเมื่อเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีพร้อมสำหรับนับสิบอีกต่อไปแล้ว แต่แปลกที่ตลอดเวลาเธอเข้าใจมาตลอดว่าตนนั้น ‘รัก’ ชายหนุ่ม แต่พอมาตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่เลือกถอนหมั้น กลับรู้สึกโล่งสบายใจเสียด้วยซ้ำ หรือแท้จริงแล้วเธอไม่เคย ‘รัก’ อีกฝ่ายเลยสักนิด แต่เข้าใจว่าความรู้สึกผูกพันตั้งแต่เด็กมันคือความ ‘รัก’ พอตอนนี้รู้แล้วว่าความรู้สึกของตนที่มีต่อคู่หมั้นหนุ่มนั้นเป็นแบบพี่น้องหาใช่แบบคน ‘รัก’ ไม่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่กลัวที่สุดก็มาถึง เมื่อคนที่ตนรักและถนอมมาตลอดช่วงวัยหนุ่ม จะว่าไปตั้งแต่วัยเด็กก็ว่าได้สำหรับนับสิบ เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน เพราะในใจของเขา ‘รัก’ มั่นเพียงคนตรงหน้า แต่เมื่อวันนี้จำต้องตัดขาดสัมพันธ์ เขาก็ต้องยอมรับ เพราะมันคือการตัดสินใจของพุฒิตา เมื่อเธอ
พุฒิตาใช้ชีวิตเจอเพื่อน ทำงาน และกลับบ้าน ไปทานข้าวกับคู่หมั้นเหมือนเดิมเหมือนที่เคยเป็น แต่กลับไม่รู้สึกว่าการได้เจอเพื่อน การได้ทำงานและเจอคู่หมั้นมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เพราะในใจเธอมันเฝ้ารอคอยคนที่บอกจะมาหาในวันนั้น จนวันนี้ผ่านมาหนึ่งเดือน อามาร์ก็ไม่โผล่หน้ามาให้เจอ แม้แต่เสียงก็ไม่มีให้ได้ยิน “ไอ้เวตาลสารเลว!” เธอฟาดกระเป๋าสะพายตัวเองไปกับเตียงนอนนุ่มแล้วก็เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “มีอะไรคะ” เธอหายใจเข้าปอดแรงๆ แล้วตะโกนถามคนที่มาเคาะประตูห้องของตัวเอง “พี่นางเองค่ะ คุณท่านให้มาตามลงไปข้างล่างค่ะ” “ได้ค่ะ เดี๋ยวตาเปลี่ยนชุดแล้วตามลงไปนะคะ”เธอตอบกลับแล้วเสียงหน้าห้องก็เงียบไป แล้วเธอก็รีบเดินไปยังตู้เสื้