4
ยินดีที่ได้รู้จัก วันที่สามสิบกันยายน… ช่วงสายที่ห้องเสื้อพิชชา ดีไซน์เนอร์สาวกับพวกรุ่นพี่ทั้งสามคนกำลังง่วนอยู่กับชุดฟินาเล่ที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว วันนี้พิชชาก็ต้องเอาชุดไปให้นางแบบลองสวมใส่เดินบนเวที “วันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ ต้องเอาชุดไปให้นางแบบลองนะคะ” “งั้นเดี๋ยวพี่ไปสวมถุงคลุมชุดให้นะคะ” เอบีและมอลลี่ช่วยกันถอดชุดออกจากหุ่นเพื่อเอาไปใส่ในถุงคลุม “พี่เอาชุดใส่ไว้ในถุงคลุมแล้ว…เดี๋ยวพี่เอาไปไว้ในรถตู้ให้นะคะ” “ขอบคุณค่ะ” พิชชาหยิบกระเป๋ามาคล้องแขน แล้วเดินออกไปขึ้นรถตู้ ใบเฟิร์น เอบีและมอลลี่เดินตามมาขึ้นรถ วันนี้ห้องเสื้อพิชชี่ปิดให้บริการสองวันเนื่องจากไปทำงานนอกสถานที่ … พิชชากับใบเฟิร์นเดินนำเข้าไปถามพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เอบีกับมอลลี่ขนชุดราตรีและหยิบกระเป๋าอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้า เดินตามพิชชาเข้าไปในโรงแรมSky-high “สวัสดีค่ะ...ไม่ทราบว่าจะติดต่อเรื่องอะไรค่ะ” เสียงพนักงานสาวถามพิชชาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนอบน้อม “ไม่ทราบว่างานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับเพชรของคุณหญิงดวงมณีกับคุณหญิงโสภิษนภาอยู่ชั้นไหนเหรอคะ ฉันเป็นทีมงานที่ออกแบบชุดสำหรับงานนี้ค่ะ” “ถ้างั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันพาคุณขึ้นไปเองค่ะ” พนักงานสาวเดินนำทางไปส่งพิชชาและพวกรุ่นพี่อีกสามคนขึ้นไปที่ห้องงานแสดง พนักงานสาวเดินไปกดปุ่มขึ้นลิฟต์ ติ๊ง! เสียงลิฟต์เตือนพนักงานสาวและพวกเธอที่ยืนคอยอยู่ให้เตรียมตัวเข้าลิฟต์ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกพนักงานสาวผายมือให้พวกเธอเข้าไปก่อน แล้วพนักงานสาวเดินเข้าไปที่หลัง พนักงานสาวกดปุ่มชั้นที่ยี่สิบและกดปุ่มปิดลิฟต์ทันที ... ติ๊ง! เสียงลิฟต์ดังเตือนอีกครั้งเมื่อลิฟต์มาหยุดที่ชั้นยี่สิบ ประตูลิฟต์เปิดออกพนักงานสาวและพวกเธอก็เดินออกมา แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องบอลรูมใหญ่ที่ตกแต่งได้หวือหวาอลังการมาก พิชชาหันหลังมาพูดกับพนักงานสาวที่เดินนำทางมาพวกเธอ “ขอบคุณนะคะ...ส่งแค่นี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกเราเดินเข้าไปเองค่ะ” “ได้ค่ะ” พนักงานสาวเอามือประสานกันและก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินจากไป จากนั้นดีไซน์เนอร์สาวและพวกรุ่นพี่ทั้งสามคนก็เดินตรงไปหาคุณหญิงดวงมณีที่กำลังยืนสั่งงานอยู่ “คุณหญิงดวงมณี สวัสดีค่ะ” ใบเฟิร์น เอบีและมอลลี่ก็ยกมือไหว้คุณหญิงดวงมณี คุณหญิงดวงมณีก็หันกลับมามองแล้วยิ้มให้พวกเธอ “สวัสดีจ้ะ… นี่ชุดฟินาเล่ใช่ไหมจ้ะ” “ใช่ค่ะ…งั้นพวกเราเอาชุดไปให้นางแบบลองก่อนนะคะ” คุณหญิงดวงมณีสั่งให้ทีมงานพาพวกพิชชาเข้าไปด้านหลังเวที เพื่อที่จะให้นางแบบสวมชุดราตรี ดูความเรียบร้อยของชุดก่อนนางแบบจะซ้อมเดิน แต่พอพิชชาเดินเข้ามาด้านหลังเวทีก็เจอซาบีน่านั่งรออยู่ เธอมองหน้ารุ่นพี่ทั้งสามคนอย่างเหวอ “ไฮ! พิ้งค์…ในที่สุดเราสองคนก็ได้ร่วมงานกันสักที” นางแบบสาวลุกขึ้นมาทักทายเพื่อน “บีน่ามาเดินแบบงานนี้ด้วยเหรอ” ดีไซน์เนอร์สาวเอ่ยถามอย่างสงสัย “ตอนแรกฉันก็ไม่ได้มางานนี้หรอก…แต่นางแบบคนก่อนไม่สบาย ฉันก็เลยมาเดินแทนน่ะ” พิชชารู้เหตุผลที่ได้มาเจอกับซาบีน่าในงานนี้แล้ว เธอก็หายสงสัยและทำงานกันต่อ พอซาบีน่าสวมใส่ชุดราตรีแล้ว พิชชากับพวกรุ่นพี่ทั้งสามคนก็เดินออกไปดูหน้าเวทีเพื่อเช็คความเรียบร้อยของชุดราตรีว่ามีตรงไหนที่ไม่โอเคไหม คุณหญิงโสภิษนภาเห็นพิชชานั่งดูนางแบบซ้อมเดินอยู่ข้างล่างเวที คุณหญิงก็เลยเดินเข้ามาทักทายและนั่งคุยด้วย “ฉันขอนั่งด้วยคนได้ไหมค่ะ” คุณหญิงโสภิษนภาพูดพลางยิ้มให้พิชชาอย่างอ่อนโยน ดีไซน์เนอร์สาวแหงนหน้าขึ้นมามองดู “เชิญค่ะ” “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่ได้แจ้งพวกคุณไปว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนางแบบ” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…เผอิญนางแบบคนนี้กับนางแบบคนก่อนไซส์พอ ๆ กันน่ะค่ะ” “ถือว่าโชคดีนะคะ” พิชชายิ้มหวานให้กับคุณหญิงก่อนจะหันกลับมามองนางแบบบนเวที แต่แล้วในขณะที่พิชชาเหลือบไปเห็นชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวภูมิฐานกำลังเดินตรงเข้ามาข้างเวทีที่เธอกับคุณหญิงนั่งอยู่ และมีบอดี้การ์ดเดินตามมาหนึ่งคน แล้วชายหนุ่มกับบอดี้การ์ดก็เดินมาหยุดตรงหน้าคุณหญิงโสภิษนภาและเอ่ยพูดทักทาย “สวัสดีครับ คุณย่า” คุณหญิงโสภิษนภาแหงนหน้าขึ้นไปมอง “อ้าว! วิน...มาแล้วเหรอ” “ขอโทษครับคุณย่า...พอดีมีงานด่วนเลยมาช้าครับ” “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” คุณหญิงโสภิษนภาหันมาหาพิชชาแล้วก็แนะนำหลานชายสุดหล่อให้เธอรู้จัก “คนนี้หลานชายฉันเอง ชื่อเมธาวินค่ะ” พิชชาลุกขึ้นจากเก้าอี้หันมามองหน้าเมธาวินแล้วยิ้มให้ก่อนแนะนำตัว “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันพิชชา” “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เขาและเธอจับมือทำความรู้กัน ก่อนจะปล่อยมือจากกัน “ผมขอนั่งดูด้วยคนได้ไหมครับ” “เชิญค่ะ” ทั้งสองก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเวที หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมกำลังแอบมองดีไซน์เนอร์สาวอย่างไม่ให้เธอรู้ตัวแต่พอเธอหันมาเห็นเขา...ก็ทำเป็นมองนางแบบที่เดินไปเดินมาอยู่บนเวที ... งานซ้อมในวันนี้ก็จบลง ดีไซน์เนอร์สาวกับพวกรุ่นพี่ทั้งสามคนก็เก็บของเรียบร้อยและกำลังจะเดินออกจากงาน คุณหญิงทั้งสองคนเรียกให้พวกเธอหยุดก่อน คุณหญิงดวงมณีเอ่ยปากชมพิชชาและพวกรุ่นพี่สามคนว่าชุดที่พวกเธอออกแบบนั่นสวยงามและเลอค่ามาก “ฉันดีใจมากที่ได้พวกคุณมาร่วมงานนี้” “ฉันก็ต้องขอบคุณ คุณหญิงทั้งสองที่ให้โอกาสพวกเราได้มาทำงานร่วมกับมืออาชีพนะคะ” เมธาวินเดินมาหยุดอยู่ตรงกลาง แล้วเอ่ยปากชวนทุกคนไปทานมื้อเย็นด้วยกัน “นี่ก็เย็นแล้ว ผมว่าพวกเราไปทานข้าวกันก่อนเถอะครับ..มื้อนี้ผมเลี้ยงเองครับ” หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมเดินนำไปที่ห้องอาหารของโรงแรม ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง… หลังจากที่ทานข้าวกับพวกคุณหญิงและเมธาวินเสร็จ พิชชาก็สั่งให้คนขับรถตู้ไปส่งพวกรุ่นพี่ทั้งสามคนกลับคอนโดก่อน “ขอบคุณมากนะคะ...ที่มาส่งพวกพี่” “ไม่เป็นไรค่ะ” “ถ้างั้นพวกพี่ขึ้นห้องก่อนนะคะ” “พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” ใบเฟิร์น เอบีและมอลลี่ลงจากรถตู้ แล้วเดินเข้าไปในคอนโดมิเนียม ดีไซน์เนอร์สาวจึงสั่งคนขับให้ออกรถเพื่อกลับบ้านเช่นกัน (ห้องนี้มันเป็นของใบเฟิร์น และจากที่เอบีกับมอลลี่ได้มาทำงานที่ห้องเสื้อของพิชชา ก็เลยขอใบเฟิร์นมาอยู่ด้วยเนื่องจากว่าบ้านของทั้งสองคนอยู่ห่างไกลกับที่ทำงาน ใบเฟิร์นเลยให้เข้ามาอยู่ เพราะยังมีห้องนอนเหลืออีกห้อง และเธอก็จะได้มีเพื่อนมาอยู่ด้วย เอบีกับมอลลี่เลยได้เข้ามาอยู่)5งานโชว์เครื่องเพชรดีไซน์เนอร์สาวกำลังแต่งหน้า แต่งตัวเพื่อไปร่วมงานที่โรงแรมหรู เธอเลือกสวมชุดราตรียาวสายเดี่ยวโทนสีครีม กระโปรงผ่าข้างสูงอวดเรียวขาสวย ๆ ดูเซ็กซี่ ใส่กับรองเท้าส้นสูงเปลือยเท้าทรงผมบันต่ำแสกกลาง ใส่ต่างหูยาว พอแต่งตัวเสร็จ ดีไซน์เนอร์สาวเดินมาส่องกระจกบานใหญ่ หมุนตัวไปมาเพื่อสำรวจความเรียบร้อยและก็หยิบกระเป๋าถือใบเล็กสีครีม เดินออกมาจากห้องนอน ลงไปข้างล่างมุ่งตรงไปขึ้นรถตู้ที่มีคนขับรถยืนรออยู่ จุดหมายคือโรงแรมSky-high…ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง กว่าจะมาถึงจุดมุ่งหมาย คนขับรถเลื่อนประตูรถตู้ ดีไซน์เนอร์สาวก้าวลงมาจากรถและเดินเข้าไปในโรงแรมติ๊ง!เสียงเตือนลิฟต์ดัง ประตูลิฟต์เปิดออกเธอก็เดินเข้ามาในลิฟต์พร้อมกดปุ่มไปที่ชั้นยี่สิบและกดปุ่มปิดลิฟต์…ติ๊ง!เสียงเตือนลิฟต์ดังอีกครั้งประตูลิฟต์ก็เปิดออก พิชชาเดินออกมาจากลิฟต์และเดินเข้าไปในห้องบอลรูมใหญ่หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมหรูยืนคุยอยู่กับแขกในงาน แต่พอเห็นพิชชาเดินเข้ามาในงานถึงกับมองเธอตาไม่กระพริบดีไซน์เนอร์สาวเห็นเมธาวินมองมาที่เธอ จึงเดินเข้าไปทักทาย “สวัสดีค่ะคุณวิน”“สวัสดีครับคุณพิชชา วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับ
6ดวงตาเป็นประกายสองวันต่อมา...ทิวากรไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนที่ผับย่านหนึ่ง เขาเดินเข้าไปข้างใน แสงไฟหลากสีสันและเสียงเพลงดังอึกทึกครึกโครมเป็นจังหวะมันส์ ๆ ภายในผับ“อ้าว! ไอ้ทิม...ทางนี้”เพื่อนของทิวากรโบกมือตะโกนเรียกเขาที่กำลังมองหาโต๊ะของเพื่อน พอเจอก็รีบเดินเข้าไปที่โต๊ะ“เห้ย! ยินดีด้วยนะเพื่อนทิม” ฌอห์นกล่าวทักทายทิวากรนั่งลงบนโซฟาโซนวีไอพี ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ “ขอบใจมาก”เด็กเสิร์ฟสาวที่ยืนอยู่ก็กำลังชงเหล้า แล้วยกมาเสิร์ฟให้ทิวากร ธามยื่นแก้วเหล้าไปตรงกลางวง“เฮ้! พวกเรามาดื่มฉลองให้กับว่าที่เจ้าบ่าวกันหน่อย”ทิวากร ฌอห์นและเจน...แฟนสาวของธาม ยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนและดื่มจนหมด...ท่ามกลางแสงไฟหลากสีสันและเสียงนักร้องสาวสวยกำลังยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีอย่างไพเราะ แต่ทันใดนั้นมีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลังของโต๊ะโซนวีไอพี“ไฮ! เจน...”พอเจนได้ยินเสียงนี้ก็คุ้นๆ จึงหันหลังไปมอง...ก็พบว่าเป็นซาบีน่ากำลังยืนยิ้มให้กับเจนที่นั่งอยู่“ไฮ! ซาบีน่า”ชายหนุ่มทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมามองตาไม่กะพริบ ตั้งแต่ซาบีน่าเดินเข้ามาหาเจนที่โต๊ะโซนวีไอพีฌอห์นกระเถิบเข้ามานั่งชิดและกระซิบถามธา
7แฟนเก่ารถค่อย ๆ เคลื่อนมาจอดตรงหน้าห้องเสื้อพิชชา ดีไซน์เนอร์สาวปลดเข็มขัดออกและหันหน้าไปพูดกับเมธาวิน แต่เขาเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน“ผมขอเข้าไปดื่มน้ำสักหน่อยได้ไหมครับ”“ได้สิค่ะ”หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมและดีไซน์เนอร์สาวก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าไปข้างในห้องเสื้อพร้อมกัน“คุณวินเชิญนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”“ครับ”พิชชาเดินเข้าไปในห้องครัว เมธาวินก็นั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกลม หนุ่มหล่อมองไปทั่ว ๆ จนเห็นสูทผู้ชายที่สวมหุ่นตั้งไว้ในห้องตัดเย็บระหว่างนั้นดีไซน์เนอร์สาวก็เดินออกมาพร้อมแก้วน้ำที่เธอถืออยู่ ยกมาวางไว้บนโต๊ะกลม แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขา“น้ำค่ะ”“ขอบคุณครับ”เมธาวินยกแก้วน้ำดื่มพอสดชื่น และวางแก้วน้ำลงที่โต๊ะกลมเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย“ผมเห็นสูทผู้ชายตั้งอยู่ในห้อง คุณตัดเสื้อผ้าของผู้ชายด้วยเหรอครับ”“ใช่ค่ะ...แต่ฉันไม่ค่อยได้ทำ เพราะลูกค้าที่มาใช้บริการจะเป็นผู้หญิงซะมากกว่า ที่คุณเห็นอยู่ในห้อง...ฉันตัดให้ว่าที่เจ้าบ่าวของฉันนะคะ”เมธาวินได้ยินที่พิชชาบอก...หัวใจของเขาแทบจะหลอมละลายด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเธอ “แล้วเจ้าบ่าวของคุณเป็นชื่ออะไรเหร
8สัญญาณอันตราย…หลายวันต่อมาที่ห้องเสื้อพิชชาในเวลาแปดโมงเช้า ทุกคนก็มานั่งทำงานอยู่ในห้องตัดเสื้อดีไซน์เนอร์สาวนั่งเย็บผ้าอยู่ แต่สายตาเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนถูกเข็มทิ่มนิ้วชี้ของเธอ โอ๊ย! พวกรุ่นพี่สามคนรีบเดินมาดูเธอด้วยความเป็นห่วง“ตายแล้ว! เจ็บมากไหมค่ะ” ใบเฟิร์นเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาซับเลือดให้ของพิชชา“พิ้งค์ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”มอลลี่เอ่ยถามอย่างใส่ใจ “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ พี่เห็นนั่งเหม่อลอยมาตั้งนานแล้ว”“ขอบคุณนะคะ...ที่เป็นห่วง”พิชชาคิดหนักว่า...เธอจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกรุ่นพี่ฟังดีไหม ทว่ามันเป็นเรื่องที่คาใจเธออยู่ ถ้าไม่พูด...วันนี้เธอคงจะทำงานไม่ได้“วันก่อน...ทิมไปรับพิ้งค์ที่บ้าน แล้วพิ้งค์เจอลิปสติกมันตกอยู่ข้างล่างเบาะนั่งค่ะ” เธอหยิบลิปสติกแท่งนั้นออกมาจากกระเป๋าเอบีหยิบลิปแท่งนั้นมาเปิดและหมุนดู “พี่เหมือนจะเคยเห็นลิปแท่งนี้จาก... อ๋อ! พี่นึกออกแล้ว ของคุณซาบีน่าที่มาหาน้องพิ้งค์คราวก่อนค่ะ”“ซาบีน่าเหรอคะ....พี่เอบีจำผิดหรือเปล่าค่ะ”“พี่จำไม่ผิดหรอกค่ะ...เธอบอกกับพี่ว่าซื้อมาจากต่างประเทศ ก่อนที่จะกลับมา เพราะที่ไทยยังไม่มียี่ห้อนี้ค่ะ”พิชชาฟังที่เอบี
9 เสพสุข วันถัดมา… เช้าวันนี้พิชชาไปทำงานอย่างร่าเริงและมีความสุข เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของแฟนหนุ่ม เธอจึงแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ ‘สวมเสื้อแขนยาวลายทางกับเดรสสายเดี่ยวสีขาว และรองเท้าบูทส้นสูงหุ้มข้อสีขาว ทำผมลอน มัดครึ่งหัว’ พิชชาเดินตรงไปที่โรงรถ สมพรเดินกลับมาจากตลาดพอดีเห็นเธอก็ทักทาย “คุณพิ้งค์...จะทำงานแล้วเหรอคะ แหม! วันนี้แต่งตัวซะสวยเชียว” “วันนี้เป็นวันเกิดของทิมน่ะค่ะ พิ้งค์ก็เลยกะว่าจะไปเซอร์ไพรส์เขา” “อ๋อค่ะ…งั้นป้าก็ขอให้ทำสำเร็จนะคะ” ดีไซน์เนอร์สาวยิ้มหวานให้สมพร ก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับรถออกไปอย่างช้า ๆ… ทิวากรกำลังนั่งดูแฟ้มบัญชีของเดือนเก่า ๆ พอได้เห็นแล้ว...เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรง เขานั่งกลัดกลุ้มใจอยู่บนโต๊ะทำงาน เพราะบริษัทเฟอร์นิเจอร์ของเขากำลังขาดทุนย่อยยับ ~ก๊อก ก๊อก ก๊อก~ เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้องทำงาน ทิวากรอนุญาตให้เข้ามา คนหน้าห้องก็เปิดประตูและเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขา ทิวากรเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้า “แม่มาทำอะไรที่นี่” “ฉันก็จะมาถามว่าแกจัดงานไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เสี่ยชัชโทรมาทวงเงินแทบ
10 ดื่มเพื่อลืม เมธาวินนั่งอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน และกำลังอ่านเอกสารในแฟ้มอย่างเคร่งเครียดอยู่ จนรู้สึกปวดตาเลยวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะและเอนหลังพักสายตาสักครู่หนึ่ง แล้วเมธาวินก็นึกอะไรออกจึงลืมตาขึ้นมาและนั่งตัวตรง เอื้อมมือมาเปิดลิ้นชักหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดู มันคือรูปถ่ายรวมกลุ่มตอนที่ไปค่ายอาสา เมื่อสมัยมัธยมปลาย เมธาวินนั่งมองและยิ้มให้กับรูปถ่ายใบนั้น เขาเอานิ้วมือมาลูบตรงที่มีพิชชายืนอยู่ในรูปแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน… พิชชานั่งดื่มเหล้าอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความชอกช้ำและความรู้สึกผิดหวังผลันโถมใส่กลางใจจนน้ำตารินไหล เพราะความเจ็บปวดในใจ ยิ่งเธอเสียใจมากเท่าไรก็ยิ่งต้องดื่มเพื่อลืมเรื่องราวในวันนี้ให้หมด มินตราเดินเข้ามาในร้านเห็นเพื่อนสาวนั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์คนเดียว...ก็ปรี่เข้าไปหาอย่างเร็ว มินตราเดินมานั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาวเธอและหันไปมองหน้าเพื่อนสาวเห็นว่ากำลังร้องไห้อยู่ก็เอ่ยถามอย่างตกตะลึง “พิ้งค์! นี่แกเป็นอะไร” “มิน...เพื่อนรัก แกมาแล้วเหรอ” พิชชาหันหน้ามาโอบกอดเพื่อนสนิทที่เข้าใจเธอมากที่สุดและเอ่ยปากบอกมินตราด้วยน้ำเสียงสะอื้นบวกก
11 ปากคอเราะร้าย ช่วงเย็น... ดีไซน์เนอร์สาวหอบเอกสารและภาพสเก็ตแฟชั่นเดินเข้ามาในบ้าน จิ๋วเห็นก็รีบเดินออกไปช่วยเธอถือและก็เอ่ยปากบอกก่อนจะเอาเอกสารไปเก็บที่ห้องทำงาน “ป้าพรทำอาหารเย็นไว้แล้ว คุณพิ้งค์จะทานเลยมั้ยคะ” “ยังค่ะ” จิ๋วพยักหน้าและเดินหันหลังตรงไปที่ห้องทำงาน ดีไซน์เนอร์สาวเดินตามสาวใช้มายังห้องทำงาน จิ๋ววางเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานแล้วเดินออกไป พิชชาวางกระเป๋าถือบนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน เธอหยิบเอกสารขึ้นมาดู แต่เธอปรายตามองไปเห็นภาพสเก็ตชุดสูทที่เธอออกแบบให้กับทิวากร ดีไซน์เนอร์สาวเอื้อมมือไปหยิบกระดาษภาพสเก็ตแล้วก็จ้องมองพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโมโหเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ตลอดเจ็ดปีที่คบกันมา มันไม่มีค่าอะไรกับคุณเลยใช่ไหม” ทิวากรเป็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่เธอรัก รักจนไม่เผื่อใจในตอนที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล เธอก็ยังลืมเขาไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็โกรธเขาที่ทำกับเธอแบบนี้ แล้วยิ่งมองที่ภาพสเก็ตแผ่นนั้นทีไร เธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและโกรธ เธอจึงขยำภาพสเก็ตแผ่นนั้นปาทิ้งลงพื้นไปซะ ดีไซน์เนอร์สาวกลั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ไหวเลยระบายออกมา แต่แล้วมีค
12 ข่าวดี พิชชากำลังนั่งคิดแบบชุดราตรี แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่นาน จนเดินไปเห็นหุ่นลองเสื้อที่สวมชุดสูทเจ้าบ่าว พิชชาเดินมาดูใกล้ๆ เธอยกมือมาลูบเนื้อผ้าที่ปกเสื้อสูทก็คิดถึงใบหน้าของทิวากรที่เคยบอกว่ารักและเข้าใจเธอเป็นอย่างดี แต่มันเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งนั้น เธอรู้สึกโกรธที่เขาโกหกเธอมาตลอด พิชชากำมือแน่นทุบลงที่อกหุ่นลองเสื้อสุดกำลัง...แล้วหยาดน้ำตาก็รินอาบแก้มของเธอ เอบีและมอลลี่เดินเข้ามาในห้องตัดเสื้ออย่างเงียบๆ แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นพิชชากำลังยืนร้องไห้อยู่ในห้อง หัวใจของพวกเธอเจ็บแปลบ เมื่อได้เห็นรุ่นน้องอย่างพิชชาร้องไห้สะอื้นจนหัวไหล่สั่น เอบีและมอลลี่ได้แต่ยืนมองเธอร้องไห้จนพวกเธอจะร้องตาม พิชชาเหมือนได้ยินเสียงคนซุบซิบกัน เธอจึงใช้หลังมือปาดน้ำตา แล้วหันหน้ามายิ้มให้กับเอบีและมอลลี่อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกลับมานั่งที่เก้าอี้ เอบีกับมอลลี่เข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ เอบีเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณน้องค่ะ...เป็นอะไรหรือเปล่า” “พิ้งค์ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ดีไซน์เนอร์สาวตอบส่งๆ ไปเพราะไม่อยากให้พวกเธอต้องเป็นห่วง “พี่มอลลี่ค่ะ...พิ้งค์รบกวนพี่อย่างหนึ่งไ
40 วันวิวาห์ ห้องนอนพิชชา… วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเดือนกว่าๆ หลังจากที่ดีไซน์เนอร์สาวออกจากโรงพยาบาลมา หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมก็ตามมาดูแลเธอถึงที่บ้านอย่างดี สม่ำเสมอทุกๆ วัน เพราะเขาไม่อยากปล่อยเธอให้คาดสายตาอีกแล้ว ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งทางใจและทางกาย แล้วอีกไม่นานเธอกับเขาก็จะได้เห็นหน้าพยานรักตัวน้อยๆ จากนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น จนทำให้ใครหลายๆ คนต้องอิจฉา “มอนิ่งคิสค่ะ” เมธาวินจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเธอในอ้อมแขนของเขา “มอนิ่งค่ะ” คนที่ถูกรบกวนการนอนก็ลืมตาขึ้นมาเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแฝงรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่พิชชารู้สึกเหม็นอะไรบางอย่าง อาการคลื่นไส้เริ่มตีขึ้นมาทันที เธอจึงดันหน้าอกเมธาวินออกห่าง “…..” เมธาวินงุนงงกับท่าทางของแฟนสาว “อุ…อุ” พิชชายกมือปิดปากเอาไว้และรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียน “พิ้งค์! เป็นยังไงบ้างคะ” เมื่อเห็นแฟนสาวของตนอาเจียนออกมา เขาจึงรีบวิ่งตามเข้าไปลูบหลังให้เธอด้วยความเป็นห่วง “อ้วกกก” พิชชาอาเจียนออกมาจนหมด เธอรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก “ดีขึ้นรึยังคะ” เมธาวินประคองแฟนสาวกลับออกมานั่งลงบนเตียง “งั้นเดี๋ยวพี่ลงไปทำอะไรให
39 ทุ่มเททุกอย่าง ผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้ว และในระหว่างนั้นมินตราก็ให้คนขับรถพาครอบครัวของพิชชากลับไปพักผ่อนก่อน มินตรากับพวกผู้ชายอยากจะอยู่ต่อเพื่อรอฟังผลจากปากคุณหมอ เมธาวินกระสับกระส่าย เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัด สายตาจับจ้องไปที่ประตู จิตใจจดจ่ออยู่กับคนรักที่อยู่ภายในห้องผ่าตัด ตอนนี้เขากระวนกระวายใจ คิดไปต่างๆ นาๆ จนนั่งไม่ติด โดยสายตาของธีร์ก็ยืนมองเจ้านายอย่างเป็นห่วง เพราะหลายชั่วโมงแล้วที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัดโดยไม่ได้ทานอะไรเลย หลังจากที่รอมาเป็นระยะเวลานาน สักพักใหญ่หมอที่รักษาพิชชาก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัด เมธาวินเงยหน้าขึ้นมาเห็นคุณหมอก็ลุกขึ้นพรวดไปหาคุณหมอเพื่อสอบถามอาการของพิชชา “คุณหมอครับ...แฟนผมเป็นอย่างไรบ้างครับ” เมธาวินจับไม้จับมืออีกฝ่ายเร่งเร้าเอาคำตอบ “ตอนนี้...ปลอดภัยทั้งแม่และลูกครับ” หมอเผยยิ้มให้กับทุกคนที่ยืนฟังอยู่ “อะไรนะคะ! คือ…หมอจะบอกว่าเพื่อนของฉันกำลังมีน้องเหรอคะ” มินตราทวนถามคุณหมอด้วยความดีใจ “ใช่แล้วครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งให้คนไข้ทำงานหรือเครียดเป็นอันขาดนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...หมอขอตัวก่อนครับ” “เฮ้ย! แกจะได้เป็นพ่อคนแล้วนะเ
38 มุมอ่อนแอ ชานเมือง… เมธาวินกับดิวมาถึงบ้านกลางป่าที่บลูจับตัวพิชชามาที่นี่ เมธาวินกับดิวก้าวลงจากรถ แล้วทั้งสองเดินลัดเลาะมาจากด้านหลังบ้าน ดิวชะโงกหน้าไปมองที่หน้าประตูเห็นมีคนเฝ้าอยู่คนสองคน เมธาวินหาอาวุธมาป้องกันตัว แล้วก็เจอท่อนไม้พอเหมาะมือ หยิบมาถือไว้และเดินย่องเข้าไปใกล้ๆ ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนด้านหลังพร้อมด้วยใช้ไม้ที่ถือมาล็อกคออีกฝ่ายไว้แน่นจนหายใจแทบไม่ออก แล้วดิวที่เดินตามหลังเมธาวินมาก็วิ่งมากระโดดต่อยชายฉกรรจ์ร่างสูงอีกคนนึงจนล้มตกบันได ดิวคว้ากุญแจบ้านที่เหน็บเอวชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนเอาไว้และรีบเปิดประตู เมธาวินออกแรงล็อกคอจนชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนหมดสติไป จากนั้นดิวกับเมธาวินเดินปรี่เข้าไปหาพิชชาที่นอนแน่นิ่งอยู่ ดิวนั่งคุกเข่าแก้เชือกที่มัดมือให้ เมธาวินเรียกเธอให้ได้สติ “พิ้งค์! พิ้งค์คะ! พี่มาช่วยแล้ว” พิชชาได้สติขึ้นมาแล้ว เธอยกมือขึ้นมาจับที่ศีรษะแต่จับไปโดนแผลที่กระแทกกับพื้น “ซี้ด! โอ๊ยยย!” แต่ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างสูงได้สติก็ขึ้นมาปลุกชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่สลบอยู่หน้าบ้านให้ตื่นและหยิบท่อนไม้ที่วางอยู่บนพื้นเดินเข้าไปในห้อง พอเข้ามาเห็นดิวกับเมธาวินกำลังพาพิ
37 ถูกลักพาตัว สองวันผ่านไป… มินตราหายจากอาการไม่สบายก็มาหาพิชชากะว่าจะชวนออกไปทานข้าว เพราะเวลานี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว และที่สำคัญมินตรามีเรื่องจะบอก มินตราเปิดประตูร้านเข้ามาเจอณิชากำลังยืนจัดชุดที่ราวเสื้อและณิชาหันไปเห็นเธอพอดี ณิชาจึงเดินเข้ามาทักทายมินตราอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะพี่มิน เห็นพี่พิ้งค์บอกว่าพี่มินไม่สบาย….เป็นอย่างไรบ้างคะ” “ดีขึ้นแล้วจ้ะ เอ่อ...และพิ้งค์อยู่ไหนเหรอจ๊ะ” “อยู่ในห้องตัดเสื้อค่ะ” “ขอบใจจ้ะ” มินตราเดินตรงเข้าไปในห้องตัดเสื้อแล้วเห็นพิชชา เอบีและมอลลี่กำลังง่วนอยู่กับการตัดเสื้อ มินตรายืนอยู่หน้าห้องแล้วเคาะประตูเบาๆ เป็นมารยาท ทุกคนเงยหน้ามามองที่ประตู “อ้าว! มิน…แกหายดีแล้วหรอ” “ฉันหายดีแล้ว…และนี่แกกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ” มินตราเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปยืนข้างๆ พิชชา พิชชาก้มหน้าลงไปตัดชิ้นผ้าที่คาไว้ต่อพร้อมเอ่ยถามมินตราว่ามีธุระอะไรกับเธอ “มาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า” “ฉันจะชวนแกออกไปทานข้าวน่ะ คือ…คิมให้มาชวนแก เพราะว่าเขามีอะไรจะบอก...คุณวินก็มานะ” พิชชาตัดชิ้นผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองมินตราด้วยความสงสัยว่าที่เธอได้ยินมันจริงหรือแค่หูฝา
36 ในฐานะอะไร บ้านมินตรา… มินตรารู้สึกไม่สบายจึงโทรไปบอกพนักงานที่ร้านตั้งแต่เช้าว่าวันนี้เธอไม่เข้าร้าน แล้วตอนนี้ก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอก็เลยลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเชื่องช้า เข้ามาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อลงไปหาอะไรกิน เพราะตอนนี้เธอหิวมาก มินตราเดินออกมาจากห้องน้ำ หยิบกางเกงขายาวหนาๆ มาสวมและคว้าเสื้อฮู้ดแขนยาวมาใส่ จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องนอนลงไปข้างล่าง เธอเดินเข้าไปในครัวและเปิดตู้เย็น แต่ภายในตู้เย็นไม่มีวัตถุดิบที่สามารถทำอาหารได้ เธอจึงเดินออกมาทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรงและล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮู้ดแล้วก็จะกดสั่งอาหาร กริ๊ง! เสียงเตือนกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น มินตราได้ยินถึงกับแปลกใจว่าเธอยังไม่ได้กดสั่งอาหารไปเลยแล้วเสียงใครมากดกริ่ง เธอวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาและรวบรวมแรงที่มีลุกขึ้นเดินไปดูว่าเป็นใคร มินตราเดินมาชะเง้อคอมองนอกรั้วบ้าน เห็นคิมหันต์ยืนผลิรอยยิ้มหล่อเหลาอยู่หน้าบ้าน ในมือเขาถือถุงผ้ามาสองใบ เธอเดินไปเปิดประตูให้เขาเข้ามาและปิดประตูหน้าบ้านให้เรียบร้อย เธอกับเขาก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน “คุณคิมรู้ได้ยังไงคะ...ว่าฉันอยู่บ้
35 ขอแต่งงาน ดีเอ็นดี คลับ… ชั้นสองโซน VIP เมธาวิน คิมหันต์ ปกรณ์และชลธรนั่งดื่มกันมาสักพัก แล้วเมธาวินพูดปรึกษาเพื่อนๆ เรื่องที่เกี่ยวกับพิชชา “เพื่อนๆ...ฉันอยากแต่งงานกับพิ้งค์วะ” สีหน้าท่าทางของหนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมที่พูดนั่นมันมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “เอาเลย...ฉันช่วยเต็มที่” คิมหันต์พูดพร้อมยกมือตบบ่าเพื่อสนับสนุนเมธาวิน แต่ชลธรก็พูดแทรกในเวลาแห่งความสุขของเมธาวินสักนิดนึง เพราะชลธรไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงรักผู้หญิงคนนี้ทั้งที่อยู่เป็นโสดมานาน ชลธรแนะนำผู้หญิงคนไหนให้ก็ไม่เคยสนใจ “แกเพิ่งคบกับคุณพิ้งค์ได้กี่เดือนเอง…คิดจะแต่งงานกับคุณพิ้งค์แล้วเหรอวะ” “สำหรับฉันกับพิ้งค์...เรารู้จักกันมานานมากแล้ว” คิมหันต์เอ่ยพูดเรียบๆ ผ่านรอยยิ้มละไม “แกไม่ต้องไปสนใจไอ้ธรหรอ แล้วแกคิดจะขอพิ้งค์แต่งงานเมื่อไหร่” “เร็วๆ นี้แหละ” เมธาวินออกอาการอิ่มอกอิ่มใจมีรอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า ชลธรยกแก้วเหล้าขึ้นมาและเอ่ยพูดให้ทุกคนยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วฉลองให้กับเมธาวินล่วงหน้า “เอ้า! ชน!” ทุกคนสังสรรค์กันอย่างสนุก … ห้องนอนพิชชา… พิชชากำลังนั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ และใน
34 เริ่มจีบ ปัง! นางแบบสาวเดินเข้าห้องพักและปิดประตูแรงๆ เธอเดินกระทืบเท้าตรงไปที่เตียง หยิบหมอนปาลงพื้น ปัดผ้าห่มและกรีดร้องอย่างสุดเสียงด้วยความโมโห เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนอนอย่างใช้ความคิด ซาบีน่าถอนหายใจและเอ่ยพูดกับตัวเอง “นี่ฉันแพ้แล้วจริงๆ เหรอ?” อารมณ์ที่เหมือนเคลิ้มฝันสูญสลายไปจนสิ้น … ทุกคนกลับมาจากทะเลได้หลายวัน… ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง คิมหันต์ชวนเมธาวินออกมาทานข้าวด้วยกัน แต่เมธาวินนั่งสังเกตหน้าของคิมหันต์มานานแล้วตั้งแต่ที่กลับมาจากทะเล หน้าตาของเพื่อนสนิทดูสดใสเหมือนคนกำลังมีความรัก เมธาวินวางช้อนส้อมลงบนจานข้าวอย่างเรียบร้อยและยกแก้วน้ำมากระดกก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “คิม! แกเป็นอะไรวะ? ฉันเห็นแกนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับโทรศัพท์…หรือว่าแกมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อน” คิมหันต์ได้ยินก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าข้างในเสื้อสูทและเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่เลื่อนไปเจอคลิปตลกน่ะ” ที่จริงแล้วคิมหันต์กำลังส่งแชทคุยกับมินตรา แต่เขาเลี่ยงที่จะไม่พูดความจริงให้เมธาวินรู้ เพราะในตอนนี้เขากำลังเริ่มจีบมินตราอย่างเป็นทางการ แต่ขอไม่เปิดเผยให้ใครรู้ต้องรอให้ฝ
33 ความลับของนางแบบสาว เมื่อเมธาวินขับรถพาพิชชามาถึงจุดชมวิว เธอและเขาก้าวลงจากรถมายืนดูพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า หมู่นกนางนวลต่างก็โบยบินกลับรัง สายลมรำเพยจากทะเลที่กว้างใหญ่ พัดพาคลื่นซัดเข้าฝั่งเสียงดัง ~ซ่าส์ ซ่าส์~ พิชชาจ้องมองแสงสีส้มกับหมู่นกนางนวลที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า เมธาวินมองด้วยสายตาชื่นชมหลงใหลในขณะที่เธอยืนรับลมทะเลเย็นๆ บริเวณหน้ารถ เขามองเธออย่างเคลิบเคลิ้ม พิชชาเหลือบไปเห็นเมธาวินกำลังจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา เธอก็เรียกเขาด้วยความสงสัย “พี่วินคะ…มีอะไรหรือเปล่า?” ฟังเสียงหวานที่เอ่ยกับเขาทีละคำทีละประโยคอย่างนุ่มนวล ทำให้เมธาวินยิ้มและตอบอย่างอารมณ์ดี “พี่แค่ดีใจ…ที่เราสองคนผ่านอุปสรรคมาได้” ดวงตาสองคู่ประสานกันหวานซึ้ง เมธาวินขยับเข้ามาชิดและโอบกอดเอวเธอจากด้านหลัง ทั้งสองคนยืนดูพระอาทิตย์ตกดินอย่างมีความสุข … มินตรายืนมองหาซาบีน่าที่ชายหาด แต่ซาบีน่าเห็นมินตรายืนอยู่เลยแกล้งเดินทะเล่อทะล่ามาชนเธออย่างแรง จนมินตราล้มลงไปกองอยู่บนทราย มินตราหันขวับไปมองคนที่ทำให้เธอล้ม “นี่แกแกล้งฉันเหรอ?” “ใช่! แล้วจะทำไม?” มินตราลุกขึ้นจากพื้นทรายแล้วยกมือปัดก้นและมื
32 ยอมแพ้ วันที่สาม... แสงแดดสาดส่องผ่านรูหน้าต่างทะลุผ้าม่านเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยม ตกกระทบร่างกายเปลือยเปล่าสองร่างที่นอนกอดกันใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงขนาดใหญ่ หลังจากที่เมื่อวานนี้เมธาวินกับพิชชาได้อยู่ในห้องนอนด้วยกันสองต่อสอง จนถึงเช้าของวันนี้ เมธาวินตื่นขึ้นมาพร้อมก้มหน้ามองร่างบางอยู่ในอ้อมแขนทรงพลังของเขา เมธาวินมองใบหน้าสวยที่กำลังหลับไหลอยู่ในห้วงนิทรามันช่างน่าหลงใหล เขายกนิ้วชี้ลูบไล้บนใบหน้าของเธอ จนทำให้พิชชารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หญิงสาวลืมตามามองเมธาวินและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล “ตื่นนานแล้วเหรอคะ” “ได้สักพักแล้วค่ะ” ชายหนุ่มตอบคำถามพร้อมลูบไล้แก้มเนียนๆ ของเธอ “พิ้งค์ว่าเราลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ...ป่านนี้ทุกคนรอทานข้าวกันหมดแล้ว” “แต่พี่ไม่อยากลุกออกจากเตียงเลย อยากนอนอยู่ข้างๆ พิ้งค์แบบนี้ไปเรื่อยๆ” พิชชามองเขาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน แล้วเมธาวินจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำ … ทุกคนกำลังนั่งทานข้าวอยู่ เมธาวินนั่งจ้องมองพิชชาที่นั่งอยู่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา พิชชาใช้มีดทาเนยแตะเนยแล้วละเลงบนขนมปังปิ้งร้อนๆ