11
ปากคอเราะร้าย ช่วงเย็น... ดีไซน์เนอร์สาวหอบเอกสารและภาพสเก็ตแฟชั่นเดินเข้ามาในบ้าน จิ๋วเห็นก็รีบเดินออกไปช่วยเธอถือและก็เอ่ยปากบอกก่อนจะเอาเอกสารไปเก็บที่ห้องทำงาน “ป้าพรทำอาหารเย็นไว้แล้ว คุณพิ้งค์จะทานเลยมั้ยคะ” “ยังค่ะ” จิ๋วพยักหน้าและเดินหันหลังตรงไปที่ห้องทำงาน ดีไซน์เนอร์สาวเดินตามสาวใช้มายังห้องทำงาน จิ๋ววางเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานแล้วเดินออกไป พิชชาวางกระเป๋าถือบนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน เธอหยิบเอกสารขึ้นมาดู แต่เธอปรายตามองไปเห็นภาพสเก็ตชุดสูทที่เธอออกแบบให้กับทิวากร ดีไซน์เนอร์สาวเอื้อมมือไปหยิบกระดาษภาพสเก็ตแล้วก็จ้องมองพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโมโหเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ตลอดเจ็ดปีที่คบกันมา มันไม่มีค่าอะไรกับคุณเลยใช่ไหม” ทิวากรเป็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่เธอรัก รักจนไม่เผื่อใจในตอนที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล เธอก็ยังลืมเขาไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็โกรธเขาที่ทำกับเธอแบบนี้ แล้วยิ่งมองที่ภาพสเก็ตแผ่นนั้นทีไร เธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและโกรธ เธอจึงขยำภาพสเก็ตแผ่นนั้นปาทิ้งลงพื้นไปซะ ดีไซน์เนอร์สาวกลั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ไหวเลยระบายออกมา แต่แล้วมีคนมาเคาะประตูและเดินเข้ามาในห้องทำงาน เธอรีบหันไปแอบปาดน้ำตา แล้วหันกลับมายิ้มสดใส “อ้าว! ป้าพรมีอะไรรึเปล่าคะ” สมพรยืนมองหน้าเธอและเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณพิ้งค์ร้องไห้เหรอคะ มีปัญหาอะไรบอกป้าได้นะคะเผื่อป้าจะช่วยได้” พอพิชชาฟังที่สมพรพูด เธอก็น้ำตาตกแล้วลุกขึ้นเดินไปกอดสมพร “ป้าพรค่ะ พิ้งค์ขอกอดป้าพรอยู่อย่างนี้สักพักได้ไหมค่ะ ฮึก...” “ได้สิค่ะ ป้ารู้ว่าคุณพิ้งค์กำลังเสียใจกับเรื่องคุณทิม” พิชชาดึงตัวออกจากสมพร “ป้าพรรู้ได้ยังไงคะ” “คุณมินเล่าให้ป้าฟังหมดแล้วค่ะ” พิชชากอดสมพรอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความเสียใจ “พิ้งค์เหนื่อยเหลือเกินค่ะป้าพร” สมพรยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโอบที่หลังและลูบ “ถ้าคุณพิ้งค์เหนื่อยก็พักก่อนเถอะค่ะ อย่าคิดอะไรมากจนเกินไป เดี๋ยวร่างกายจะแย่เอาได้นะคะ “ขอบคุณนะคะ” สมพรปลอบพิชชาและพูดให้กำลังใจเธออย่างดีจนตอนนี้เธอดีขึ้นมาก … สองวันต่อมา… ดีไซน์เนอร์สาวออกมาพบลูกค้ากับเลขาสาวคนเก่งของเธอ ใบเฟิร์นได้นัดลูกค้าที่ร้านกาแฟในเวลาบ่ายโมง พิชชากับใบเฟิร์นมานั่งรอลูกค้าได้สักพัก จนตอนนี้ลูกค้ามาถึงทั้งสองคนลุกขึ้นมาต้อนรับคุณลูกค้า “สวัสดีค่ะคุณอันดา สวัสดีค่ะคุณอัยดา เชิญคุณทั้งสองนั่งก่อนนะคะ” ดีไซน์เนอร์สาวพูดจาอย่างสุภาพ หญิงสาวสองคนนี้คือดาราพี่น้องที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังและกำลังจะไปโกอินเตอร์ที่ต่างประเทศ อันดาเอ่ยพูดอย่างนุ่มนวล “ฉันและน้องสาวต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันรอได้…งั้นเรามาคุยเรื่องงานกันเลยดีกว่านะคะ” เลขาสาวคนเก่งหยิบสมุดบันทึกกับปากกาขึ้นมาจดงานที่ลูกค้าสั่ง “ฉันและน้องสาวอยากให้คุณพิชชาออกแบบชุดราตรีสำหรับใส่ไปงานรับรางวัลที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้าค่ะ” “ได้ค่ะ คุณสองคนสั่งมาได้เลยว่าต้องการแบบไหน” “ค่ะ ฉันอยากได้แบบสาวหวาน น่ารัก” “ส่วนของฉันอยากได้แบบเรียบง่าย แต่เซ็กซี่ค่ะ” อัยดาเธออยากได้แบบสาวหวาน น่ารัก เหมาะสมกับวัยรุ่นอย่างเธอ ส่วนอันดาเธออยากได้แบบเรียบง่าย แต่มีความเซ็กซี่ เหมาะสมกับบุคลิกของเธอ “โอเคค่ะ” พวกเธอกำลังคุยกันอย่างเมามันส์จนอันดาลืมไปว่าต้องไปธุระต่อ อันดาเอ่ยพูดอย่างรีบร้อน “ขอโทษนะคะ พวกเราสองคนขอตัวก่อน พอดีต้องไปงานต่อค่ะ” “เชิญค่ะ แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่ก็แวะเข้าไปที่ร้านนะคะ” “โอเคค่ะ ไปก่อนนะคะ” พวกเธอลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและอันดากับอัยดาก็เดินออกไปจากร้านกาแฟ ส่วนพิชชาและใบเฟิร์นกำลังจะกลับ แต่พิชชาขอไปเข้าห้องน้ำก่อน “พี่ใบเฟิร์นรอพิ้งค์สักครู่นะคะ เดี๋ยวพิ้งค์ไปเข้าห้องน้ำแป๊ปเดียว” “โอเคค่ะ” พิชชาก็เดินเข้ามาในห้องน้ำหญิง แต่แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาชนเธอจนกระเป๋าของทั้งสองคนหล่น เธอก้มหยิบกระเป๋าของเธอกับผู้หญิงที่เดินชนและยื่นให้ ผู้หญิงคนนั้นก็ขอบคุณเธอพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามอง หัวใจของพิชชาเจ็บแปลบ เมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้า “ซาบีน่า” เธอเอ่ยเรียกผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไฮ! พิ้งค์...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีไหม” นางแบบสาวพูดอย่างไร้ยางอาย “ฉันสบายดี และจะสบายดีกว่านี้ ถ้าไม่ได้มาเจอคนอย่างเธอ” ดีไซน์เนอร์สาวเชิดหน้าตอบอย่างเย่อหยิ่ง “โธ่! พิ้งค์...ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้กับฉันล่ะ นี่เราเป็นเพื่อนกันนะ” แสยะยิ้มมุมปาก “ขอโทษนะ ฉันไปเป็นเพื่อนกับเธอตอนไหน” ดีไซน์เนอร์สาวตอบกลับอย่างเย็นชา “หลบไป!” ดีไซน์เนอร์สาวเดินชนนางแบบสาวจนเซ จึงทำให้นางแบบสาวไม่พอใจก็เลยพูดขึ้นมาเสียงดัง “เดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้ายจังเลยนะพิ้งค์ สงสัยจะได้นิสัยยัยมินมาสิมาเต็ม ๆ ” ดีไซน์เนอร์สาวได้ยินที่นางแบบสาวพูด ทว่าเธอไม่ได้สนใจจึงเดินต่อไป แต่ซาบีน่ายังไม่หยุด แล้วก็พูดออกมาอีกจนมันจี้ใจดำของพิชชาเข้าเต็มอย่างจัง “ก็เพราะเธอเป็นอย่างนี้นี่ไง ทิมก็เลยต้องนอกใจเธอมาหาฉัน” นางแบบสาวยิ้มอย่างเยาะเย้ย ดีไซน์เนอร์สาวหยุดชะงักและหันหลังกลับมามองนางแบบสาวพร้อมเอ่ยพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อเธอหรอก เธอต่างหากที่ไปยั่วยวนเขาจนเขาติดกับดักเธอ” “ชู่ววว! นี่เธอไม่เคยรู้เลยสินะว่าแฟนตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็อย่างว่าแหละ…เธอต้องทำงานคงไม่มีเวลามาสนใจทิม ก็เลยไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบคนที่ไม่มีเวลาให้” พิชชาทบทวนดูว่าที่ซาบีน่าพูดมันก็จริง ตั้งแต่ที่เธอเรียนจบแล้วก็มาเปิดห้องเสื้อ เธอทุ่มเทให้กับงานจนไม่มีเวลาให้ทิวากรเลย แล้วที่เขาบอกว่าเข้าใจเธอทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ พิชชาคิดอยู่นานจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างเร็วจนซาบีน่าเรียกไม่ทัน ... พิชชาเดินกลับมาขึ้นรถ แล้วก็นั่งเงียบมาตลอดทางกลับ ใบเฟิร์นที่ขับรถอยู่ก็มองหน้าพิชชาสลับกับถนนแล้วเอ่ยถามพิชชาอย่างสงสัย “น้องพิ้งค์ เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ พี่เห็นตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว” “ไม่มีอะไรค่ะ” ใบเฟิร์นพยักหน้าพร้อมยิ้มให้พิชชา ก่อนที่จะหันกลับมามองทาง ส่วนพิชชาหันมองวิวข้างนอกหน้าต่างรถและคิดอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ในหัว12 ข่าวดี พิชชากำลังนั่งคิดแบบชุดราตรี แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่นาน จนเดินไปเห็นหุ่นลองเสื้อที่สวมชุดสูทเจ้าบ่าว พิชชาเดินมาดูใกล้ๆ เธอยกมือมาลูบเนื้อผ้าที่ปกเสื้อสูทก็คิดถึงใบหน้าของทิวากรที่เคยบอกว่ารักและเข้าใจเธอเป็นอย่างดี แต่มันเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งนั้น เธอรู้สึกโกรธที่เขาโกหกเธอมาตลอด พิชชากำมือแน่นทุบลงที่อกหุ่นลองเสื้อสุดกำลัง...แล้วหยาดน้ำตาก็รินอาบแก้มของเธอ เอบีและมอลลี่เดินเข้ามาในห้องตัดเสื้ออย่างเงียบๆ แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นพิชชากำลังยืนร้องไห้อยู่ในห้อง หัวใจของพวกเธอเจ็บแปลบ เมื่อได้เห็นรุ่นน้องอย่างพิชชาร้องไห้สะอื้นจนหัวไหล่สั่น เอบีและมอลลี่ได้แต่ยืนมองเธอร้องไห้จนพวกเธอจะร้องตาม พิชชาเหมือนได้ยินเสียงคนซุบซิบกัน เธอจึงใช้หลังมือปาดน้ำตา แล้วหันหน้ามายิ้มให้กับเอบีและมอลลี่อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกลับมานั่งที่เก้าอี้ เอบีกับมอลลี่เข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ เอบีเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณน้องค่ะ...เป็นอะไรหรือเปล่า” “พิ้งค์ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ดีไซน์เนอร์สาวตอบส่งๆ ไปเพราะไม่อยากให้พวกเธอต้องเป็นห่วง “พี่มอลลี่ค่ะ...พิ้งค์รบกวนพี่อย่างหนึ่งไ
13 สูบเลือด สูบเนื้อ ...ที่ห้องเสื้อในช่วงสาย ทุกคนกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ดีไซน์เนอร์สาวยืนเย็บชุดราตรีที่สวมอยู่ในหุ้นลองเสื้อ เธอหยิบกรรไกรมาตัดเส้นด้าย แล้วปักเข็มไว้ที่หมอนใบเล็ก พอตัดเส้นด้านหมดก็วางกรรไกรและเดินมาดูข้างหน้าชุดว่าเรียบร้อยดีไหม พอตรวจดูเรียบร้อย เธอก็รีบไปดูอีกชุดหนึ่งที่เอบีเย็บอยู่...ว่าไปถึงไหนแล้ว “เรียบร้อยมั้ยคะ...ไหนดูสิ” ดีไซน์เนอร์สาวมาตรวจดูใกล้ ๆ แล้วเอ่ยปากชม “เยี่ยมไปเลยค่ะพี่เอบี” “ขอบคุณค่ะ...เดี๋ยวพี่เย็บเก็บตรงข้างหลังชายกระโปรงอีกนิดเดียว...ก็เสร็จแล้วค่ะ” ยิ้มอ่อน ๆ “พี่ใบเฟิร์นค่ะ ถ้าชุดเสร็จแล้ว รบกวนโทรไปบอกลูกค้าด้วยนะคะ” “รับทราบค่ะ” ใบเฟิร์นตอบกลับและยิ้มพราย แล้วพิชชาก็เดินออกไปจากห้องตัดเย็บและขึ้นมาที่ห้องทำงานส่วนตัว เธอเปิดประตูห้องแล้วเดินตรงเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ดีไซน์เนอร์สาวได้วาดภาพสเก็ตชุดราตรีค้างไว้ เมื่อวานนี้...ก็กะจะมาวาดต่อให้เสร็จ แล้วจะได้เริ่มวาดภาพสเก็ตชุดราตรีอีกภาพหนึ่ง มันเป็นภาพสเก็ตชุดราตรีของคุณอันดาและคุณอัยดา ... เมธาวินเดินเข้ามาในห้องบอลรูมใหญ่พร้อมกับเลขาสาว เพื่อเข้ามาตรวจงานว่
14 มือที่สาม ...เมธาวินขับรถมาจอดที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง พิชชาก้าวลงจากรถเดินเข้าไปในสวนสาธารณะอย่างคุ้นเคย เมธาวินลงมาจากรถและเดินตามพิชชาไปอย่างช้าๆ ดีไซน์เนอร์สาวเดินมานั่งที่ม้านั่ง แล้วเธอก็มองไปรอบ ๆ พลางถอนหายใจอย่างเต็มที่ เมธาวินยืนอยู่ด้านหลังของเธอและเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง “คุณยังไม่สบายใจอีกเหรอครับ” เมธาวินพูดจบก็เดินอ้อมจากด้านหลังมานั่งข้าง ๆ เธออย่างห่าง ๆ “อ๋อ...ฉันสบายใจขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงและก็...ขอบคุณทุก ๆ อย่างที่คุณทำเพื่อช่วยฉัน” “เรื่องไหนเหรอครับ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมพูดว่า...ผมกำลังจีบคุณอยู่ ขอให้คุณสบายใจได้เลยนะครับ...ผมแค่พูดเพื่อจะไล่ผู้ชายคนนั้นไปไกล ๆ คุณเท่านั้นครับ” ดีไซน์เนอร์สาวได้ยินแล้วถึงกับยิ้มไม่ออก เพราะความจริงแล้วที่เขาพูดมาทั้งหมดก็แค่จะช่วยเธอเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย “ดูเหมือนคุณจะคุ้นเคยกับที่นี่มากนะครับ” “ใช่ค่ะ...ฉันชอบมานั่งที่นี่ตอนที่ฉันเซ็งๆ หรือคิดงานไม่ออกค่ะ” พิชชานั่งมองดูไฟทางสวย ๆ และบรรยากาศดี ๆ จนเมธาวินก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “คือ...ผมขอเสียมารยาทถามเรื่องผู้ชายคนนั้น...ว่าเขามาทำร้ายคุณด้วยเรื่องอ
15 ซาบซึ้งดีไซน์เนอร์สาวเดินเข้ามาในห้องทำงานและวางกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กบนโต๊ะทำงาน เธอนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับหยิบภาพสเก็ตชุดราตรีมาตรวจและเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทีนี้ก็เหลือแค่ตัดเย็บเท่านั้น ห้องเสื้อชั้นหนึ่ง… หน้าร้านของห้องเสื้อมีพวกรุ่นพี่ทั้งสามกำลังทำงานอยู่ ใบเฟิร์นนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์กำลังเคลียร์บิล ส่วนอีกสองคนที่เหลือกำลังทำความสะอาดและเช็คความเรียบร้อยของหุ่นกับชุดที่จะเอาไปตั้งโชว์หน้าร้าน พอสองคนทำความสะอาดเสร็จก็เอาชุดราตรีสวมหุ่นแล้วไปตั้งโชว์ ทั้งสองคนทำเสร็จแล้วก็เดินมาหาใบเฟิร์นที่หลังเคาน์เตอร์ เลขาสาวคนเก่งเห็นสองคนเดินเข้ามาหาเธอจึงเอ่ยถาม “อ้าว! เอบี... มอลลี่... ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเหรอ” เกย์หน้าหล่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยเล็กน้อย “เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะคุณพี่” พอพวกเธอทั้งสามคนกำลังคุยกัน ดีไซน์เนอร์สาวที่กำลังเดินลงมาก็ส่งเสียงทักทาย “อะแฮ่ม... แอบอู้งานกันอยู่เหรอคะ” เกย์หน้าหล่อเห็นพิชชาเดินเข้ามาประชิดตัวก็ตกใจ “พี่เปล่าอู้นะคะ พี่พึ่งจะทำงานเสร็จเมื่อกี้นี่เอง” “พิ้งค์ล้อเล่นค่ะ” เธอพูดหยอกให้มอลลี่ตกใจเล็กน้อย เกย์หน้า
16 แฟนใหม่ พิชชากับมินตรายกกล่องของขวัญและเค้กช็อกโกแลตมาถึงหน้าร้านกำลังเดินเข้ามาข้างใน เด็กเสิร์ฟชายเดินเข้ามาต้อนรับพวกเธอสองคน “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีโต๊ะกันหรือยังครับ” พิชชาตอบเด็กเสิร์ฟชายกลับไป “มีแล้วค่ะ โต๊ะวันเกิดที่ชื่อมอลลี่ค่ะ” “อ๋อ...งั้นเชิญทางนี้เลยครับ” พิชชาเอ่ยพูดกับเด็กเสิร์ฟชาย “น้องค่ะ...รบกวนน้อง ช่วยไปบอกให้ดีเจเปิดเพลง Happy birthday ได้มั้ยคะ” “ได้ครับ...รอสักครู่นะครับ” เด็กเสิร์ฟชายก็เดินเข้าไปหาดีเจใกล้ ๆ แล้วกระซิบข้างหู “พี่ครับ!...ลูกค้าขอให้ช่วยเปิดเพลงวันเกิดหน่อยครับ” ดีเจได้ยินก็พยักหน้าแล้วยกมือทำสัญลักษณ์โอเค เด็กเสิร์ฟชายก็เดินกลับมาหาพิชชา ทั้งสองสาวก็เปิดกล่องเค้กช็อกโกแลตที่เขียนชื่อมอลลี่กับคำอวยพรไว้ มินตราปักเทียนลงบนเค้กและจุดเทียน พอเพลงเปิดขึ้น พิชชาเดินถือเค้กตามมินตราและเด็กเสิร์ฟชายไปยังโต๊ะของมอลลี่ มอลลี่ได้ยินเสียงเพลงวันเกิดดังขึ้นก็ตื่นเต้นมาก มินตราและพิชชาถือเค้กช็อกโกแลตเดินเข้ามาเซอร์ไพรส์เกย์หน้าหล่อ มอลลี่อ่านคำอวยพรบนเค้กถึงกับน้ำตาคลอ ครู่หนึ่งเพลงก็ดับ เอบีกับใบเฟิร์นส่งเสียงบอกเธอว่าให้อธิษฐานและเป่าเทียนเ
17 เดทแรก เช้าวันต่อมา... มินตราตื่นขึ้นมาเธอรู้สึกปวดหัวมาก เพราะเมื่อคืนนี้เธอดื่มหนักจนภาพตัดไปเลย พิชชาเดินออกมาจากห้องแต่งตัว “อ้าว! มิน...ตื่นแล้วหรอ เป็นไงบ้าง” มินตรายกมือมากุมขมับ “ฉันปวดหัวมากเลย เหมือนหัวจะระเบิด” “ถ้างั้นแกก็นอนพักอีกสักหน่อยแล้วกัน” “ไม่เป็นไรฉันไหว เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน” “ไหวแน่นะ” พิชชาสังเกตอาการของเพื่อนสาว มินตราลุกขึ้นจากเตียงพร้อมพยักหน้าตอบกลับ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ พิชชารู้ว่าเพื่อนไหวก็เลยหายห่วง มินตราอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เธอทั้งคู่เดินออกจากห้องนอนและลงไปข้างล่างเพื่อทานข้าวเช้าแล้วไปทำงาน … พิชชาขับรถมาจอดหน้าร้านเบเกอร์รี่ของเพื่อนสาว มินตราหันหน้ามาพูดก่อนจะลงจากรถ “ขอบใจนะ...ที่มาส่งและขอบคุณที่ดูแลฉัน” “ไม่ต้องขอบคุณหรือขอบใจฉันหรอก แกเป็นเพื่อนฉัน...ฉันก็ต้องดูแลอยู่แล้ว ถ้าแกอยากจะขอบคุณ แกก็ไปขอบคุณป้าพรกับพี่จิ๋ว หรือไม่ก็คุณคิมหันต์” มินตราขมวดคิ้วมองหน้าพิชชาด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย “แล้วคุณคิมหันต์เกี่ยวอะไรด้วย ฉันถึงต้องไปขอบคุณเขา” “นี่แกจำอะไรไม่ได้เลยหรอ?” มินตรากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคื
18 ดินเนอร์ เมธาวินกำลังเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปดินเนอร์กับดีไซน์เนอร์สาวสวยในเย็นพรุ่งนี้ เขาลองใส่สูทและกางเกง เดินไปส่องกระจกบานใหญ่ว่าดูดีหรือยัง เขาลองมาหลายตัวแล้วก็ยังไม่ถูกใจสักที โสภิษนภาเคาะประตูห้องนอนของเมธาวินและเปิดประตูเดินเข้ามาก็ไม่เจอหลานชายจึงเอ่ยปากเรียก “วิน!...อยู่ไหนลูก” แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว “อ้าว! วิน...อยู่นี้นี่เอง” เธอเดินมายืนอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าพร้อมมองหลานชายสลับกับเสื้อผ้าที่วางกองอยู่บนเคาน์เตอร์ “นี่วินรื้อเสื้อผ้าออกมาทำไมลูก?” “คือ...พรุ่งนี้ผมมีนัดครับ” เมธาวินอมยิ้มอย่างเขินอาย “ย่าเห็นว่าเวลาที่วินมีนัดเมื่อไหร่...ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องกระวนกระวายอะไรเลยนี่ หรือว่านัดในวันพรุ่งนี้จะเป็นนัดพิเศษ ใช่ไหมลูก?!” โสภิษนภาลุ้นจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว “ครับ...ผมมีนัดจะไปดินเนอร์กับสาว” เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอย คลี่ยิ้มอย่างขัดเขิน โสภิษนภาดีใจเป็นอย่างมาก เพราะในที่สุดเธอก็ได้เห็นหลานชายมีความสุขอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปกอดเมธาวินพร้อมเอ่ยพูด “ย่าไม่เคยเห็นวินในมุมนี้เลยนะ” เธอยิ้มให้หลานชายสุดที่รัก “แล้วสาว
19 Move on หลังจากที่ทานอาหารกันหมด ทั้งสองคนก็นั่งดื่มไวน์ กินลมชมบรรยากาศยามค่ำคืน หนุ่มเจ้าของโรงแรมลุกขึ้นและเอ่ยบอกเธอก่อนจะเดินไป “เดี๋ยวพี่มานะ” “ได้ค่ะ” ดีไซน์เนอร์สาวก็ไม่ได้เอะใจอะไร ... จากนั้นเมธาวินเดินไปที่รถและกดรีโมตปลดล็อกรถ เดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบกล่องสีน้ำเงินคาดโบว์สีขาวไว้บนกล่อง ขนาดกล่องใบนั้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก เมธาวินหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมากอดแนบเอวพร้อมใช้มืออีกข้างนึงปิดกระโปรงท้าย แล้วก็กดรีโมตล็อกรถและเดินกลับเข้ามาในร้าน ในขณะเดียวกันพิชชาก็นั่งจิบไวน์ไปพลาง ๆ เธอยังไม่รู้เลยว่าในคืนนี้จะมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเธอบ้าง เธอชายตามองไปทั่ว ๆ แล้วเห็นว่าเมธาวินเดินกลับมาพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมใบกลาง ๆ สีน้ำเงินคาดโบว์ขาว เมธาวินเดินมาถึงโต๊ะก็ยื่นกล่องใบนั้นให้กับพิชชา “พี่ให้...ลองเปิดดูสิ” ดีไซน์เนอร์สาวรับกล่องที่เมธาวินยื่นให้ก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เธอก็เอากล่องมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิด พอเธอเปิดฝากล่องขึ้นพบว่าในกล่องใบนั้นมีดอกกุหลาบ “พี่วินค่ะ...ให้พิ้งค์เนื่องในโอกาสอะไร แล้วพี่ให้กุหลาบสีม่วงกับพิ้งค์ มันหมายความอะไรคะ?” เธอทำหน้าส
40 วันวิวาห์ ห้องนอนพิชชา… วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเดือนกว่าๆ หลังจากที่ดีไซน์เนอร์สาวออกจากโรงพยาบาลมา หนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมก็ตามมาดูแลเธอถึงที่บ้านอย่างดี สม่ำเสมอทุกๆ วัน เพราะเขาไม่อยากปล่อยเธอให้คาดสายตาอีกแล้ว ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งทางใจและทางกาย แล้วอีกไม่นานเธอกับเขาก็จะได้เห็นหน้าพยานรักตัวน้อยๆ จากนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น จนทำให้ใครหลายๆ คนต้องอิจฉา “มอนิ่งคิสค่ะ” เมธาวินจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเธอในอ้อมแขนของเขา “มอนิ่งค่ะ” คนที่ถูกรบกวนการนอนก็ลืมตาขึ้นมาเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแฝงรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่พิชชารู้สึกเหม็นอะไรบางอย่าง อาการคลื่นไส้เริ่มตีขึ้นมาทันที เธอจึงดันหน้าอกเมธาวินออกห่าง “…..” เมธาวินงุนงงกับท่าทางของแฟนสาว “อุ…อุ” พิชชายกมือปิดปากเอาไว้และรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียน “พิ้งค์! เป็นยังไงบ้างคะ” เมื่อเห็นแฟนสาวของตนอาเจียนออกมา เขาจึงรีบวิ่งตามเข้าไปลูบหลังให้เธอด้วยความเป็นห่วง “อ้วกกก” พิชชาอาเจียนออกมาจนหมด เธอรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก “ดีขึ้นรึยังคะ” เมธาวินประคองแฟนสาวกลับออกมานั่งลงบนเตียง “งั้นเดี๋ยวพี่ลงไปทำอะไรให
39 ทุ่มเททุกอย่าง ผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้ว และในระหว่างนั้นมินตราก็ให้คนขับรถพาครอบครัวของพิชชากลับไปพักผ่อนก่อน มินตรากับพวกผู้ชายอยากจะอยู่ต่อเพื่อรอฟังผลจากปากคุณหมอ เมธาวินกระสับกระส่าย เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัด สายตาจับจ้องไปที่ประตู จิตใจจดจ่ออยู่กับคนรักที่อยู่ภายในห้องผ่าตัด ตอนนี้เขากระวนกระวายใจ คิดไปต่างๆ นาๆ จนนั่งไม่ติด โดยสายตาของธีร์ก็ยืนมองเจ้านายอย่างเป็นห่วง เพราะหลายชั่วโมงแล้วที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัดโดยไม่ได้ทานอะไรเลย หลังจากที่รอมาเป็นระยะเวลานาน สักพักใหญ่หมอที่รักษาพิชชาก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัด เมธาวินเงยหน้าขึ้นมาเห็นคุณหมอก็ลุกขึ้นพรวดไปหาคุณหมอเพื่อสอบถามอาการของพิชชา “คุณหมอครับ...แฟนผมเป็นอย่างไรบ้างครับ” เมธาวินจับไม้จับมืออีกฝ่ายเร่งเร้าเอาคำตอบ “ตอนนี้...ปลอดภัยทั้งแม่และลูกครับ” หมอเผยยิ้มให้กับทุกคนที่ยืนฟังอยู่ “อะไรนะคะ! คือ…หมอจะบอกว่าเพื่อนของฉันกำลังมีน้องเหรอคะ” มินตราทวนถามคุณหมอด้วยความดีใจ “ใช่แล้วครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งให้คนไข้ทำงานหรือเครียดเป็นอันขาดนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...หมอขอตัวก่อนครับ” “เฮ้ย! แกจะได้เป็นพ่อคนแล้วนะเ
38 มุมอ่อนแอ ชานเมือง… เมธาวินกับดิวมาถึงบ้านกลางป่าที่บลูจับตัวพิชชามาที่นี่ เมธาวินกับดิวก้าวลงจากรถ แล้วทั้งสองเดินลัดเลาะมาจากด้านหลังบ้าน ดิวชะโงกหน้าไปมองที่หน้าประตูเห็นมีคนเฝ้าอยู่คนสองคน เมธาวินหาอาวุธมาป้องกันตัว แล้วก็เจอท่อนไม้พอเหมาะมือ หยิบมาถือไว้และเดินย่องเข้าไปใกล้ๆ ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนด้านหลังพร้อมด้วยใช้ไม้ที่ถือมาล็อกคออีกฝ่ายไว้แน่นจนหายใจแทบไม่ออก แล้วดิวที่เดินตามหลังเมธาวินมาก็วิ่งมากระโดดต่อยชายฉกรรจ์ร่างสูงอีกคนนึงจนล้มตกบันได ดิวคว้ากุญแจบ้านที่เหน็บเอวชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนเอาไว้และรีบเปิดประตู เมธาวินออกแรงล็อกคอจนชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนหมดสติไป จากนั้นดิวกับเมธาวินเดินปรี่เข้าไปหาพิชชาที่นอนแน่นิ่งอยู่ ดิวนั่งคุกเข่าแก้เชือกที่มัดมือให้ เมธาวินเรียกเธอให้ได้สติ “พิ้งค์! พิ้งค์คะ! พี่มาช่วยแล้ว” พิชชาได้สติขึ้นมาแล้ว เธอยกมือขึ้นมาจับที่ศีรษะแต่จับไปโดนแผลที่กระแทกกับพื้น “ซี้ด! โอ๊ยยย!” แต่ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างสูงได้สติก็ขึ้นมาปลุกชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่สลบอยู่หน้าบ้านให้ตื่นและหยิบท่อนไม้ที่วางอยู่บนพื้นเดินเข้าไปในห้อง พอเข้ามาเห็นดิวกับเมธาวินกำลังพาพิ
37 ถูกลักพาตัว สองวันผ่านไป… มินตราหายจากอาการไม่สบายก็มาหาพิชชากะว่าจะชวนออกไปทานข้าว เพราะเวลานี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว และที่สำคัญมินตรามีเรื่องจะบอก มินตราเปิดประตูร้านเข้ามาเจอณิชากำลังยืนจัดชุดที่ราวเสื้อและณิชาหันไปเห็นเธอพอดี ณิชาจึงเดินเข้ามาทักทายมินตราอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะพี่มิน เห็นพี่พิ้งค์บอกว่าพี่มินไม่สบาย….เป็นอย่างไรบ้างคะ” “ดีขึ้นแล้วจ้ะ เอ่อ...และพิ้งค์อยู่ไหนเหรอจ๊ะ” “อยู่ในห้องตัดเสื้อค่ะ” “ขอบใจจ้ะ” มินตราเดินตรงเข้าไปในห้องตัดเสื้อแล้วเห็นพิชชา เอบีและมอลลี่กำลังง่วนอยู่กับการตัดเสื้อ มินตรายืนอยู่หน้าห้องแล้วเคาะประตูเบาๆ เป็นมารยาท ทุกคนเงยหน้ามามองที่ประตู “อ้าว! มิน…แกหายดีแล้วหรอ” “ฉันหายดีแล้ว…และนี่แกกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ” มินตราเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปยืนข้างๆ พิชชา พิชชาก้มหน้าลงไปตัดชิ้นผ้าที่คาไว้ต่อพร้อมเอ่ยถามมินตราว่ามีธุระอะไรกับเธอ “มาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า” “ฉันจะชวนแกออกไปทานข้าวน่ะ คือ…คิมให้มาชวนแก เพราะว่าเขามีอะไรจะบอก...คุณวินก็มานะ” พิชชาตัดชิ้นผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองมินตราด้วยความสงสัยว่าที่เธอได้ยินมันจริงหรือแค่หูฝา
36 ในฐานะอะไร บ้านมินตรา… มินตรารู้สึกไม่สบายจึงโทรไปบอกพนักงานที่ร้านตั้งแต่เช้าว่าวันนี้เธอไม่เข้าร้าน แล้วตอนนี้ก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอก็เลยลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเชื่องช้า เข้ามาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อลงไปหาอะไรกิน เพราะตอนนี้เธอหิวมาก มินตราเดินออกมาจากห้องน้ำ หยิบกางเกงขายาวหนาๆ มาสวมและคว้าเสื้อฮู้ดแขนยาวมาใส่ จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องนอนลงไปข้างล่าง เธอเดินเข้าไปในครัวและเปิดตู้เย็น แต่ภายในตู้เย็นไม่มีวัตถุดิบที่สามารถทำอาหารได้ เธอจึงเดินออกมาทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรงและล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮู้ดแล้วก็จะกดสั่งอาหาร กริ๊ง! เสียงเตือนกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น มินตราได้ยินถึงกับแปลกใจว่าเธอยังไม่ได้กดสั่งอาหารไปเลยแล้วเสียงใครมากดกริ่ง เธอวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาและรวบรวมแรงที่มีลุกขึ้นเดินไปดูว่าเป็นใคร มินตราเดินมาชะเง้อคอมองนอกรั้วบ้าน เห็นคิมหันต์ยืนผลิรอยยิ้มหล่อเหลาอยู่หน้าบ้าน ในมือเขาถือถุงผ้ามาสองใบ เธอเดินไปเปิดประตูให้เขาเข้ามาและปิดประตูหน้าบ้านให้เรียบร้อย เธอกับเขาก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน “คุณคิมรู้ได้ยังไงคะ...ว่าฉันอยู่บ้
35 ขอแต่งงาน ดีเอ็นดี คลับ… ชั้นสองโซน VIP เมธาวิน คิมหันต์ ปกรณ์และชลธรนั่งดื่มกันมาสักพัก แล้วเมธาวินพูดปรึกษาเพื่อนๆ เรื่องที่เกี่ยวกับพิชชา “เพื่อนๆ...ฉันอยากแต่งงานกับพิ้งค์วะ” สีหน้าท่าทางของหนุ่มหล่อเจ้าของโรงแรมที่พูดนั่นมันมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “เอาเลย...ฉันช่วยเต็มที่” คิมหันต์พูดพร้อมยกมือตบบ่าเพื่อสนับสนุนเมธาวิน แต่ชลธรก็พูดแทรกในเวลาแห่งความสุขของเมธาวินสักนิดนึง เพราะชลธรไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงรักผู้หญิงคนนี้ทั้งที่อยู่เป็นโสดมานาน ชลธรแนะนำผู้หญิงคนไหนให้ก็ไม่เคยสนใจ “แกเพิ่งคบกับคุณพิ้งค์ได้กี่เดือนเอง…คิดจะแต่งงานกับคุณพิ้งค์แล้วเหรอวะ” “สำหรับฉันกับพิ้งค์...เรารู้จักกันมานานมากแล้ว” คิมหันต์เอ่ยพูดเรียบๆ ผ่านรอยยิ้มละไม “แกไม่ต้องไปสนใจไอ้ธรหรอ แล้วแกคิดจะขอพิ้งค์แต่งงานเมื่อไหร่” “เร็วๆ นี้แหละ” เมธาวินออกอาการอิ่มอกอิ่มใจมีรอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า ชลธรยกแก้วเหล้าขึ้นมาและเอ่ยพูดให้ทุกคนยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วฉลองให้กับเมธาวินล่วงหน้า “เอ้า! ชน!” ทุกคนสังสรรค์กันอย่างสนุก … ห้องนอนพิชชา… พิชชากำลังนั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ และใน
34 เริ่มจีบ ปัง! นางแบบสาวเดินเข้าห้องพักและปิดประตูแรงๆ เธอเดินกระทืบเท้าตรงไปที่เตียง หยิบหมอนปาลงพื้น ปัดผ้าห่มและกรีดร้องอย่างสุดเสียงด้วยความโมโห เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนอนอย่างใช้ความคิด ซาบีน่าถอนหายใจและเอ่ยพูดกับตัวเอง “นี่ฉันแพ้แล้วจริงๆ เหรอ?” อารมณ์ที่เหมือนเคลิ้มฝันสูญสลายไปจนสิ้น … ทุกคนกลับมาจากทะเลได้หลายวัน… ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง คิมหันต์ชวนเมธาวินออกมาทานข้าวด้วยกัน แต่เมธาวินนั่งสังเกตหน้าของคิมหันต์มานานแล้วตั้งแต่ที่กลับมาจากทะเล หน้าตาของเพื่อนสนิทดูสดใสเหมือนคนกำลังมีความรัก เมธาวินวางช้อนส้อมลงบนจานข้าวอย่างเรียบร้อยและยกแก้วน้ำมากระดกก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “คิม! แกเป็นอะไรวะ? ฉันเห็นแกนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับโทรศัพท์…หรือว่าแกมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อน” คิมหันต์ได้ยินก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าข้างในเสื้อสูทและเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่เลื่อนไปเจอคลิปตลกน่ะ” ที่จริงแล้วคิมหันต์กำลังส่งแชทคุยกับมินตรา แต่เขาเลี่ยงที่จะไม่พูดความจริงให้เมธาวินรู้ เพราะในตอนนี้เขากำลังเริ่มจีบมินตราอย่างเป็นทางการ แต่ขอไม่เปิดเผยให้ใครรู้ต้องรอให้ฝ
33 ความลับของนางแบบสาว เมื่อเมธาวินขับรถพาพิชชามาถึงจุดชมวิว เธอและเขาก้าวลงจากรถมายืนดูพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า หมู่นกนางนวลต่างก็โบยบินกลับรัง สายลมรำเพยจากทะเลที่กว้างใหญ่ พัดพาคลื่นซัดเข้าฝั่งเสียงดัง ~ซ่าส์ ซ่าส์~ พิชชาจ้องมองแสงสีส้มกับหมู่นกนางนวลที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า เมธาวินมองด้วยสายตาชื่นชมหลงใหลในขณะที่เธอยืนรับลมทะเลเย็นๆ บริเวณหน้ารถ เขามองเธออย่างเคลิบเคลิ้ม พิชชาเหลือบไปเห็นเมธาวินกำลังจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา เธอก็เรียกเขาด้วยความสงสัย “พี่วินคะ…มีอะไรหรือเปล่า?” ฟังเสียงหวานที่เอ่ยกับเขาทีละคำทีละประโยคอย่างนุ่มนวล ทำให้เมธาวินยิ้มและตอบอย่างอารมณ์ดี “พี่แค่ดีใจ…ที่เราสองคนผ่านอุปสรรคมาได้” ดวงตาสองคู่ประสานกันหวานซึ้ง เมธาวินขยับเข้ามาชิดและโอบกอดเอวเธอจากด้านหลัง ทั้งสองคนยืนดูพระอาทิตย์ตกดินอย่างมีความสุข … มินตรายืนมองหาซาบีน่าที่ชายหาด แต่ซาบีน่าเห็นมินตรายืนอยู่เลยแกล้งเดินทะเล่อทะล่ามาชนเธออย่างแรง จนมินตราล้มลงไปกองอยู่บนทราย มินตราหันขวับไปมองคนที่ทำให้เธอล้ม “นี่แกแกล้งฉันเหรอ?” “ใช่! แล้วจะทำไม?” มินตราลุกขึ้นจากพื้นทรายแล้วยกมือปัดก้นและมื
32 ยอมแพ้ วันที่สาม... แสงแดดสาดส่องผ่านรูหน้าต่างทะลุผ้าม่านเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยม ตกกระทบร่างกายเปลือยเปล่าสองร่างที่นอนกอดกันใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงขนาดใหญ่ หลังจากที่เมื่อวานนี้เมธาวินกับพิชชาได้อยู่ในห้องนอนด้วยกันสองต่อสอง จนถึงเช้าของวันนี้ เมธาวินตื่นขึ้นมาพร้อมก้มหน้ามองร่างบางอยู่ในอ้อมแขนทรงพลังของเขา เมธาวินมองใบหน้าสวยที่กำลังหลับไหลอยู่ในห้วงนิทรามันช่างน่าหลงใหล เขายกนิ้วชี้ลูบไล้บนใบหน้าของเธอ จนทำให้พิชชารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หญิงสาวลืมตามามองเมธาวินและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล “ตื่นนานแล้วเหรอคะ” “ได้สักพักแล้วค่ะ” ชายหนุ่มตอบคำถามพร้อมลูบไล้แก้มเนียนๆ ของเธอ “พิ้งค์ว่าเราลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ...ป่านนี้ทุกคนรอทานข้าวกันหมดแล้ว” “แต่พี่ไม่อยากลุกออกจากเตียงเลย อยากนอนอยู่ข้างๆ พิ้งค์แบบนี้ไปเรื่อยๆ” พิชชามองเขาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน แล้วเมธาวินจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำ … ทุกคนกำลังนั่งทานข้าวอยู่ เมธาวินนั่งจ้องมองพิชชาที่นั่งอยู่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา พิชชาใช้มีดทาเนยแตะเนยแล้วละเลงบนขนมปังปิ้งร้อนๆ