[วันที่ 19 มิถุนายน ปี 20XX, เป็นวันที่ 53 ที่หย่งฟางลาออกจากวงการ, อากาศแจ่มใส, วงการบันเทิงเงียบสงบ]
[หรือฉันคิดไปเอง? หลังจากหย่งฟางจากไป วงการบันเทิงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีกเลย]
[มั่นใจได้เลยว่า ไม่ได้คิดไปเองแน่]
กิตติศัพท์เมื่อตอนที่หย่งฟางยังอยู่ในวงการ เธอเสมือนระเบิดปรมณูไปที่ไหนวาดวอดที่นั่น การประกวดเลือกตัวนักแสดง ก็ไปเรื่องกับแฟนคลับจนบ้านแตก ไปที่กองถ่ายพระเอกมีปัญหาเสพสารเสพติดจนโดนจับ ไปเข้ารายการวาไรตี้ แขกรับเชิญประจำก็จะโดนข้อหาหลบเลี่ยงภาษีจนโดนแบน แม้ว่าจะไม่ชอบหย่งฟางแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอได้สร้างผลงานที่โดดเด่นในการปั่นป่วนความสงบในวงการบันเทิง
เธอเปรียบเสมือนระเบิด ไปที่ไหนก็เกิดเรื่องที่นั่น!
แฟนคลับบางคนเรียกเธอว่า “ยมทูตประจำวงการบันเทิง” และแฟนๆ บางส่วนถึงกับคร่ำครวญขออย่าให้เธอมาเฉียดบ้านหรือเข้าใกล้ครอบครัว เพราะกลัวจะถูกความโชคร้ายของหย่งฟางติดตัว
แต่ในตอนนี้ทุกคนรู้สึกเหงาหงอยนิดหน่อย เพราะแม้แต่คำว่า “ตัวระเบิดของวงการ” ในเว่ยป๋อก็ไม่ปรากฏขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่หย่งฟางออกจากวงการบันเทิง
[ขาดหย่งฟางไป ความสนุกก็หายไปด้วย]
[ฉันเริ่มคิดถึงเธอแล้ว]
ที่ภูเขาหลงหย่า ในเขตชางเมืองถันจิง หย่งฟางกำลังซ่อมแซมปลายหลังคาที่พุพัง ก่อนจะลงมาจากบันไดแล้วปัดฝุ่นที่มือออก หลังจากกลับไปที่ห้องบูชาเทพเจ้า เธอจุดธูปสามดอกและกราบไหว้อย่างเป็นประณีต แต่คำพูดที่ออกจากปากของเธอกลับดูขี้เล่นและผ่อนคลาย
“หวังว่าท่านเทพจะช่วยฉันในคืนนี้ ฉันทำอาหารไหม้อีกแล้ว อ๋อ และก็ช่วยใส่เกลือพอดีๆ ด้วยนะคะ”
ตั้งแต่กลับมารับช่วงต่อวัดเก่าจากอาจารย์ ช่วงนี้เธอก็ได้กินอาหารที่ไหม้และเค็มมากจนเลี่ยนไปหมดแล้ว ควันธูปที่ควรจะลอยขึ้นตรงๆ กลับเปลี่ยนทิศทางพุ่งตรงเข้าจมูกของเธอแทน หย่งฟางรู้สึกคล้ายกับว่าท่านเทพกำลังลงโทษ ทำให้เธอจามอย่างแรง
“ก็ได้ๆ ฉันขอเปลี่ยนคำอธิษฐานแล้วกัน ขอให้วัดนี้เจริญรุ่งเรือง มีผู้คนมากมายมาไหว้ขอพร แต่ก็นะ ท่านอาจารย์ที่จากไป ควรจะทิ้งผลไม้หรือเงินทองไว้ให้ฉันบ้างนะ การซ่อมวัดต้องใช้เงิน ฉันออกให้ก่อนแล้ว แต่ถนนขึ้นเขาทั้งขรุขระทั้งเต็มไปด้วยหลุม ก็ต้องซ่อมเหมือนกันนะ ท่านเทพเจ้าตอนนี้ฉันไม่มีเงินแล้ว”
จริงๆ การซ่อมถนนบนภูเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าหย่งฟางจะทำงานในวงการบันเทิงมาสองปี และไม่ได้พึ่งพาความสามารถพิเศษทางด้านลึกลับของเธอเลย แต่เงินที่หามาได้ก็ยังไม่พอสำหรับซ่อมแซม ดังนั้นจึงต้องเริ่มซ่อมแซมวัดก่อน
ส่วนถนนบนภูเขานั้น ยังหาทางแก้ไขไม่ได้...
ควันธูปเริ่มกลับมาเป็นปกติ มีเสียงแตกเปรี๊ยะเบาๆ จากประกายไฟ หย่งฟางมองดูธูปแล้วรู้สึกเบาใจขึ้นมาก เทพเจ้าคงตอบรับแล้ว ยังไม่ทันที่เธอจะสงสัยว่าท่านเทพจะให้เงินทองมาได้อย่างไร ก็มีคนมาหาเสียแล้ว ผู้มาเยือนมีสามคน นำโดยหญิงวัยกลางคนที่ดูร่ำรวย มีแม่บ้านและคนดูแลตามมาด้วย
หย่งฟางกำลังวัดปริมาณเกลือและซีอิ๊วสำหรับทำอาหาร จึงพูดกับแขกอยากไม่ใส่ใจนัก “ไหว้พระสิบเก้าหยวน เสี่ยงเซียมซีสิบแปดหยวน ฟรีใบคำนาย สามารถชำระเงินผ่าน WeChat ได้เลยนะคะ”
หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็รีบตอบทันที “เรามาหาเธอ”
“ฮะ?” เธอหันกลับมามองคนทั้งสามอีกครั้งด้วยความสนใจ
“เธอคือหย่งฟางใช่ไหม ครอบครัวของเธอได้ตกลงแต่งงานไว้กับบ้านของเรา ตอนนี้พ่อของเธอเป็นหนี้บุญคุณเรา ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำตามสัญญาแล้ว”
หย่งฟางถูกอาจารย์เก็บมาเลี้ยงดูในวัด เติบโตขึ้นมาด้วยการดูแลอย่างดีจนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก่อนจะจบการศึกษาปีสุดท้าย มีคู่สามีภรรยาจากในเมืองมาพบตัว บอกว่าเธอเป็นลูกสาวที่พวกเขาพลัดพรากกันตอนสี่ขวบ ทั้งคู่ร้องไห้ขอร้องให้เธอกลับบ้าน
หย่งฟางไม่เต็มใจ แต่ก็ถูกอาจารย์บังคับให้กลับ เมื่อกลับไปถึงบ้านเธอถึงได้รู้ว่าหลังจากกันไป คู่สามีภรรยาได้รับเลี้ยงเด็กผู้หญิงอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกับเธอ และเด็กผู้หญิงคนนั้นมักจะคอยแอบแทงเธอเสมอ เช่นในงานพบปะกับผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง เด็กคนนั้นมักสร้างสถานการณ์ให้เธอดูแย่ในสายตาผู้ใหญ่
"น่าอิจฉาจังเลยที่พี่สาวได้เรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปะถังกิง ไม่เหมือนกับฉัน...ที่ทำได้แค่อ่านหนังสือไปวันๆ"
เมื่อหล่อนพูดแบบนั้นทุกคนจึงพากันปลอบใจ
"แต่เธอสอบติดมหาวิทยาลัยต้าถงนะ เธอน่ะเก่งกว่าหย่งฟางตั้งเยอะ อย่าเสียใจไปเลย"
“แม่คะ พี่สาวใส่กระโปรงตัวนี้น่าจะสวยมาก ฉันจะยกให้พี่สาวนะคะ”
ซ่งจ้าวลูบหัวลูกสาวบุญธรรม “หนูอิงอิงจ๋า เคยเห็นพี่สาวของหนูใส่กระโปรงสักครั้งหรือเปล่า? พี่เขาไม่ชอบใส่หรอกนะ”
“พี่เอี้ยน พี่สาวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ พี่เธอแค่ไม่รู้ว่าจะดื่มยังไง”
ซ่งอิงกล่าวพร้อมกับมองดูพี่ชายเพื่อนสนิทของหย่งฟาง ที่กำลังเชิญชวนให้เธอดื่ม แต่กลับถูกหย่งฟางสาดเหล้าใส่หน้า จึงกล่าวอย่างระมัดระวัง
พี่ชายเพื่อนสนิทคนนั้นเช็ดหน้าแล้วพูด “ช่างเถอะ เพราะเห็นแก่หนูอิงอิง ฉันจะไม่ถือสาคนที่ไม่เคยพบเห็นโลกกว้างแบบนั้นหรอก”
เมื่อเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ หย่งฟางก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา
นี่มันไม่ใช่แค่บทละคร “ลูกสาวจริงๆ กับลูกสาวปลอม” ที่พบได้ตามเว็บไซต์นิยายทั้งหลายหรอกเหรอ? เธอเองก็อ่านจนท่องจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว
แต่หย่งฟางรักอิสระ ไม่อยากผูกมัดตัวเอง เธอมีพรสวรรค์ทางศาสตร์ลึกลับมาตั้งแต่เด็ก และได้เรียนรู้วิชานี้มาจากผู้เฒ่าอย่างเต็มเปี่ยม ไหนเลยจะไปหลงใหลในชีวิตหรูหราปลอมๆ แบบนี้ได้
การแข่งขันกันอย่างไร้เหตุผล? ดึงผมกันไปมา? ไม่ใช่เรื่องที่เธอสนใจเลย
ดังนั้นหย่งฟางจึงหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางเธอได้พบกับแมวมองที่กำลังหาเด็กใหม่ๆ เข้าวงการ ด้วยหน้าตาที่ดูงงงวยแต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจ เธอจึงถูกแมวมองดึงตัวไว้แล้วเธอสามารถเป็นคนมีชื่อเสียงได้ แค่ฝึกเพียงสองเดือน รับรองได้เลยว่าจะกลายเป็นดาราดังและมีรายได้
ตอนนั้นหย่งฟางยังเด็ก และกำลังจะจบการศึกษาในมหาวิทยาลัยพอดี กำลังมีความกังวลใจ ยิ่งเมื่อผู้เฒ่าบีบบังคับให้เธอกลับไปหาแม่พ่อแท้ๆ ของเธอ ก็ยิ่งไม่อยากกลับไปวัดอีกแล้ว
เมื่อได้ยินว่าจะหาเงินได้เร็วขนาดนี้ เธอจึงรับปากตอบเข้ารับวงการบันเทิง มีที่อยู่ ที่กิน แถมได้เงินอีก ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว หลังจากนั้นหย่งฟางก็เข้าสู่วงการบันเทิงเป็นเวลา 2 ปี และได้รับเกียรติบัตร “พลเมืองจิตอาสา” จากสถานีตำรวจถึง 28 ใบ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เฒ่าก็เสียชีวิต เธอจึงลาออกจากวงการและกลับมารับสืบทอดวัดนี้ต่อ ไม่ได้ยินข่าวคราวจากพ่อแท้ๆ มานานแล้ว เมื่อได้ยินอีกครั้ง ก็เป็นข่าวที่ว่าตระกูลซ่ง ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานานได้ขายเธอกินเสียแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงผู้สูงศักดิ์วัยกลางคน และผู้ติดตามอีกสามคนที่มาอย่างไม่ฝัน เธอก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ โดยไม่ลุกขึ้นยืน
“ซ่งชางชิงเป็นคนติดหนี้บุญคุณ ก็ให้เขาแต่งงานกับพวกคุณสิ เห็นไหมว่าฉันกับเขาไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกันเลย”
“ยังไงซะ เธอก็เป็นลูกสาวแท้ๆ อยู่ดี พ่อเธอทำให้บริษัทขาดทุนไป 2 พันล้านหยวน และตระกูลชูของเราก็ช่วยเขาผ่านพ้นวิกฤตไป เงื่อนไขก็คือเธอต้องทำตามสัญญาหมั้นที่ทำไว้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ”
หลังจากพูดจบ ผู้ดูแลที่อยู่ข้างหลังของหญิงผู้สูงศักดิ์ ได้ส่งกล่องไม้ที่สลักลวดลายสวยงามให้เธอ หญิงผู้นั้นเปิดกล่องออกข้างในเป็นสัญญาหมั้น เมื่อเปิดออกดูเนื้อความเขียนไว้ว่าตระกูลชูและตระกูลซ่งได้ทำสัญญาหมั้นกันจริง
ตรงจุดที่ประทับตรามีรอยเท้าแดงๆ ของเด็กสองคน หนึ่งเป็นของเด็กชายตระกูลชู และอีกหนึ่งเป็นของหย่งฟาง ดูจากขนาดของรอยเท้าแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เธอยังไม่ครบขวบปี หย่งฟางจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองทำอะไรไปเมื่อวาน นับประสาอะไรกับเรื่องเมื่อยังเป็นทารก
เธออยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วควันธูปที่ลอยอยู่ในวัด ก็แยกออกมาเป็นสายบางๆ พัดมาโดนหลังใบหูของเธออย่างแรง หย่งฟางเกือบร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอยกมือขึ้นกุมหูและอยากจะด่าออกมา
ทำไมเทพเจ้าถึงชอบดึงหูคนแบบนี้นัก? ไม่มีมือก็ใช้ควันธูปตีเธอสินะ!
ด้วยความเฉลียวฉลาดของหย่งฟาง เธอเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือสัญญาณว่าต้องการให้เธอเข้าร่วมในแผนการนี้ แม้ว่าเธออยากจะไปบ้านตระกูลซ่งเพื่อจัดการกับซ่งชางชิงก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าตระกูลชูกำลังคิดจะทำอะไร แต่เมื่อเทพเจ้าต้องการให้เธอเข้าร่วม แสดงว่าจะต้องสามารถแก้ไขปัญหา และเอาตัวรอดออกมาได้อย่างแน่นอน
ก็แค่แต่งงานใช่ไหม? เธอจะไปก็แล้วกัน!
ตอนแรกมาแล้วค่าา นางเอกของเราดาวมฤตยูแห่งวงการ
ออกจากอยู่บนอารามก็ยังไม่วายมีคนมาตามหา
ไม่ใช่ตามธรรมดา แต่ตามไปแต่งงาน!! อะไรยังไงน้อออออ
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าโชคลาภที่ท่านอาจารย์และเทพเจ้าให้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ก่อนทำอาหาร เธอเพิ่งจะขอพรให้ร่ำรวยเพื่อมาซ่อมถนนบนเขา แต่ทันทีที่ตวงเกลือเสร็จ ก็มีคนมาช่วยเติมเต็มเงินสองพันล้านที่พ่อบังเกิดเกล้าของเธอทำพลาดไปคงจะรวยมากสินะ งั้นช่วยฉันหน่อยแล้วกัน เธอคิดอย่างไม่เกรงใจทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่รู้ตัวเลย ยังคงถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้หญิงสูงศักดิ์เอ่ยเตือนเธอ “รู้จักให้ความร่วมมือหน่อย! ถ้าได้เป็นสะใภ้รองของบ้านตระกูลฉู่ ชีวิตเธอมีอนาคตกว่านี้แน่!” พูดจบก็เหลือบมองบ้านเก่าที่ทรุดโทรมด้วยสายตาดูแคลนหัวหน้าคนรับใช้ก็พูดขึ้นมาอย่างเสแสร้งเช่นกัน “คุณหนูหย่ง ถ้าคุณได้แต่งงานกับคุณชายรองของเรา และได้เป็นสะใภ้รอง ในอนาคตอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของตระกูลฉู่จะเป็นของคุณ ถ้าคุณอยากกลับไปสู่วงการบันเทิง เราก็มีทุนที่จะสนับสนุนคุณได้”“ถ้ายอมร่วมมือ ก็ลงเขาไปกับพวกเรา แต่ถ้าเธอไม่ยอม...” หญิงสูงศักดิ์หยุดคำพูดไว้ ทำให้ความหมายของคำข่มขู่ชัดเจนขึ้น“ตกลง ฉันไป” หย่งฟางยกนิ้วขึ้นตอบตกลงทั้งสามคนยิ้มพร้อมกัน ก็รู้อยู่ว่าตระกูลฉู่มีอำนาจมากมายขนาดไหน หย่งฟ
บ้านตระกูลฉู่นั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งและกดดัน เนื่องจากช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน สวนสไตล์จีนภายนอกบ้านจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดมน ถึงแม้ว่าหย่งฟางจะไม่สามารถรู้สถานการณ์จริงได้ แต่เมื่อเห็นความผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เธอคิดไม่ออกเลยว่าจะมีเหตุผลใด นอกจากการแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดไม่ใช่ว่าท่านบรรพบุรุษจะส่งเธอมาที่นี่เพื่อแต่งงานจริงๆ หรอกนะ?! เมื่อวิธีการปกติไม่สามารถทำให้ออกไปได้ เธอจึงต้องหาทางออกที่แปลกใหม่ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยให้พอจะเข้าใจสถานการณ์ และเตรียมตัวรับมือได้ ยังดีกว่าทำไปโดยไม่รู้อะไรเลยหย่งฟางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และเมื่อเธอกำลังจะลงมือทำ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากทางประตู จึงหันหน้าไปมองและเห็นเด็กสาวสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะยืนอยู่ตรงนั้น สองตาของพวกเธอเป็นประกายขึ้นมา “คุณคือ…หย่งฟางใช่ไหม?!!”เด็กสาวสองคนรีบวิ่งเข้ามาหาหย่งฟาง มองเธอใกล้ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “พี่สาว นี่คือหย่งฟางจริงๆ”“พวกเราเป็นน้องสะใภ้ของพี่! ที่แท้ก็เป็นหย่งฟางที่หายตัวไป หลังออกจากวงการบันเทิง!”“แทบไม่อยากเชื่อเลย!”ฉู่เสี่ยวเฉียวและฉู่เสี่ยวจินพูดค
ดวงตาของหย่งฟางเบิกกว้างขึ้น เมื่อใช้มือวาดท่าใหม่เพื่อร่ายมนต์ จากนั้นก็สามารถสัมผัสกับวัตถุได้ เธอจับคางของชายหนุ่มไว้ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดันมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉู่เหยียนถูกบังคับให้เปิดปากออก เผยให้เห็นลิ้นของเขา บนนั้นมีเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งใบหน้าของหย่งฟางเคร่งขรึมขึ้น พลังคำสาปถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เหรียญทองแดงเหรียญนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่คุณนายฉู่ จะใส่ของป้องกันเพื่อให้ลูกชายฟื้นคืนสติ เพราะเหรียญทองแดงนี้เป็นของที่ขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ของแบบนี้มีพลังแห่งความอาฆาตติดอยู่น่าจะไม่มีใครรู้ว่าฉู่เหยียนมีสิ่งนี้อยู่ในปาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าคุณนายฉู่ถูกหลอกให้เชื่อ และยินยอมให้ใครบางคนใส่ของนี้เข้าไปในปากลูกชายของหล่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นคนที่คุณนายที่ไว้ใจ และทำให้เข้าใกล้ฉู่เหยียนได้เพราะตอนที่หย่งฟางเข้ามา เธอเห็นบอดี้การ์ดในชุดสูทดำ คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเวลา พลังคำสาปที่หนักแน่น กลับเข้ามารวมตัวบนร่างของชายหนุ่มที่ดูน่ารักขณะหลับใหล หย่งฟางก็รู้ว่าวิญญาณของเธอจะต้องกลับคืนร่างแล้ว จึงปล่อยมือจากคางของเขาแล้วเปลี่ยนท่าใหม่เ
“ช้าก่อน!”เจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีแดงยกข้อมือทำท่าห้าม เสียงของเธอดังมาจากใต้ผ้าคลุมหน้า “ฉันอยากให้ความร่วมมือ แต่ฉันอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นฉันหย่งฟางหรือหลินเหมียน ที่จะแต่งงานกับคุณชายรองแห่งตระกูลฉู่”ทันทีที่เธอพูดจบ ทกคนต่างตกตะลึง เธอกำลังพูดถึงอะไร? ทำไมถึงลากหลินเหมียนไปเกี่ยวข้องด้วย? ลูกสาวของพ่อบ้านหลินเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปตั้งครึ่งปีแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหล่อน? ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพ่อบ้านหลินใบหน้าของพ่อบ้านเฒ่ายังคงสงบ ไม่ได้โต้แย้งหรือแสดงความสงสัยอะไร เขาพูดอย่างใจเย็น “คุณนาย นี่เป็นการพูดเหลวไหล หล่อนแค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น อย่าไปฟัง...”หย่งฟางตะโกนขัดจังหวะ “ฉันขอแนะนำให้คุณนายฉู่ ตรวจสอบวันเดือนปีเกิดของเจ้าสาวที่เขียนบนโต๊ะบูชาดูนะคะ ตรวจดูว่าเป็นวันเดือนปีเกิดและชื่อของใคร แล้วจะรู้ว่าเป็นฉันที่ถูกเรียกมาเพื่อแก้เคล็ด หรือถูกใช้งานแทนคนอื่นเพื่อจัดงานแต่งกับวิญญาณ”ตอนแรกคุณนายฉู่ไม่ได้สนใจ แต่พอได้ยินคำว่า "แต่งงานกับวิญญาณ" สามคำนี้ จึงเริ่มคิดที่จะตรวจสอบตามที่หย่งฟางกล่าวการแต่งงานแก้เคล็ด คือ การแต่งงานระหว่างคนเป็นการแต่งง
“พูดจาบ้าบออะไร! แกเป็นใครถึงมีสิทธิ์พูดแบบนั้น?!” แม่บ้านเจินโกรธจนแทบจะระเบิดออกมาหย่งฟางไม่ตอบโต้ เพราะเมื่อข้อมูลดวงชะตาของหลินเหมียนปรากฏบนโต๊ะพิธี คนที่พอมีสมองก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไรนายท่านฉู่ถามอย่างเคร่งเครียด “หลินตง หลินเหมียนเสียชีวิตเมื่อครึ่งปีก่อน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนเดินทางไปพบลูกค้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเสี่ยวเหยียน?” “เสี่ยวเหยียนกับหลินเหมียนเป็นแฟนกันหรือเปล่า? ถ้าพวกคุณไม่รู้เรื่องนี้ นั่นแสดงว่าพวกเขาคงแอบคบกันลับๆ” หย่งฟางบอกการคาดเดาของตัวเองทันใดนั้นเองเสียงไก่ตัวผู้ในอ้อมแขนของคุณนายฉู่ร้องออกมาสองครั้ง หย่งฟางมองไปที่ไก่และสังเกตว่ามันมีสีหน้าที่ดูเหมือนหมดหวัง เธอเข้าใจแล้ว ไก่ปฏิเสธถ้าเป็นเช่นนั้น “ลูกสาวของคุณชอบเสี่ยวเหยียน คุณเลยอยากให้เขาแต่งงานกับเธอในฐานะผี” หย่งฟางหันไปมองพ่อบ้านหลิน “ตอนนี้ฉันพูดถูกทั้งหมดแล้วใช่ไหม”ใช่ ถูกทั้งหมด! หลินตงยังสวมชุดทำงานที่เรียบร้อยของหัวหน้าพ่อบ้านอยู่ แต่ตอนนี้เขาหมดคำพูดในการโต้แย้งอีกต่อไป ราวกับว่าถูกดึงพลังชีวิตออกไปหมดสิ้น แม้แต่กระดูกก็เหมือนจะไม่แข็งแรงอีกแล้ว เขาดูแก่ลงหลายปี ท่าทางหมดแ
วิญญาณสาวกรีดร้อง ขูดกรงเล็บยาวกว่าครึ่งเมตร พร้อมกับไล่มองตั้งแต่หย่งฟาง ไปยังพ่อบ้านหลินและฉู่หมิงถิง ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา "ที่นี่ใครแซ่ฉู่! สมควรตาย!!"เคร้ง!เสียงดาบที่ทำจากเหรียญจักรพรรดิทั้งห้า กั้นกรงเล็บคมของวิญญาณอาฆาตได้อย่างแม่นยำ เมื่อเล็บยาวแหลมสัมผัสกับดาบนั้นก็เกิดประกายไฟ พร้อมกับเสียงซู่ซ่าของควันสีดำ และกลิ่นไหม้ที่เหม็นคลุ้งไปทั่ว ผีสาวหันกลับมามองหย่งฟางด้วยความโกรธ ผมยาวของหล่อนสยายชี้ขึ้นไปในอากาศ กรงเล็บพุ่งเข้ามาและฉีกเสื้อคลุมเจ้าสาวที่บริเวณไหล่หย่งฟางถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมของเธอถูกฉีกขาด แต่ร่างกายไม่เป็นอะไร หญิงสาวควักยันต์หลายแผ่นจากแขนเสื้อออกมาและโยกไปเบื้องหน้า แผ่นยันต์ที่ควรจะตกกระจัดกระจาย ตอนนี้กลับลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง"พยัคฆ์ทองสยบภูตผีวิญญาณนับพันไม่อาจหลบหลีกได้ ไป!" หย่งฟางเปลี่ยนท่ามือและสุดท้ายชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นเสือทองคำในตำนานก็ปรากฏขึ้น เสียงคำรามของมันดังสนั่นหวั่นไหว พุ่งตรงไปหาวิญญาณอาฆาต ถูกกดดันจนกระเด็นไปไกลหลายเมตร เมื่อเสือทองคำหายไปถูกแทนที่ด้วยยันต์หกแผ่นที่เปล่งแสงสีทอง ล้อมรอบวิญญาณเอาไว้คล้ายเชือกพั
หลินตงน้ำตาคลอเบ้า มองไปที่หย่งฟางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความวิงวอน แต่เขากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาเคยทำสิ่งไม่ดี จึงไม่มีสิทธิ์ขอร้องใคร อีกทั้งเขาก็ไม่มีเงินมากพอที่จะให้หย่งฟางแต่ถึงแม้ว่าจะทำผิดพลาด จนทำให้ไม่สามารถพูดคุยกับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายได้ เขาก็ยังคงต้องการขอโอกาส ที่จะให้เธอได้เกิดใหม่ในฐานะที่ดีกว่าเดิมในภพหน้า“ฉันไม่ได้ใจแข็งเหมือนคุณ ที่แม้แต่ลูกที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กก็ยังกล้าทำร้ายได้” หย่งฟางพูดขึ้นเธอทำพิธีส่งดวงวิญญาณ ซึ่งปกติจะเรียกให้ยมทูตมารับไป แต่ครั้งนี้กลัวว่าอาจจะไม่ทันเวลา เธอจึงเปิดประตูนรกขึ้นมาเอง แล้วผลักดันวิญญาณของหลินเหมียนเข้าไปประตูนรกสีฟ้าเข้มหายไปในทันทีหย่งฟางหันไปบอกกับคุณนายฉู่ “ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้ว ว่าลูกชายของคุณมีผีสองตนสิงอยู่ แต่เป็นเพราะหลินเหมียนพยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ เขาถึงยังรอดมาได้จนถึงตอนนี้ แต่อีกไม่นาน ถ้าคืนนี้ผ่านไป ฉู่เหยียนก็จะไม่รอดแล้ว” ดังนั้นที่พวกคุณเรียกฉันมาทำพิธีแก้เคล็ดนี้ ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ ฉู่เหยียนก็ไม่มีทางรอด ทางเลือกของพวกคุณคือ จะให้เขาตายไปพร้อมกับภรรยาที่เป็นผีหรือให้เขาโสดไปชีวิต ฉันพูดอย
เรื่องราวของตระกูลซ่งกระฉ่อนไปทั่วเมือง และหย่งฟางได้รับการยืนยันจากเทพแห่งห้องสุขาแล้ว การแก้แค้นในครั้งนี้นับว่าไม่เลวเลย หย่งฟางเป็นคนที่แค้นนี้ต้องชำระ และเธอไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ต่อเรื่องนี้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการขายเธอไปในราคาสองร้อยล้านหยวน การเสียเงินถือเป็นเรื่องรอง แต่หลักๆ แล้วคือการทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับความอับอายของการถูกสิ่งสกปรกถาโถมใส่หลังจากเผาเครื่องเงินกระดาษสิบถุง เพื่อเป็นการขอบคุณเทพแห่งห้องสุขา และเห็นเทพเจ้าจากไปอย่างมีความสุข หย่งฟางก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องการซ่อมแซมทางเดินบนภูเขา การออกแบบบันไดแต่ละขั้นมีความสำคัญมาก หากสูงเกินไปจะทำให้เหนื่อยล้า และหากเตี้ยเกินไปจะทำให้เดินลำบากหย่งฟางได้ปรึกษากับทีมก่อสร้าง เพื่อวัดความสูงที่เหมาะสม สำหรับการเดินขึ้นลงที่ไม่ทำร้ายเข่า นอกจากนี้ยังได้เลือกวัสดุที่จะใช้ทำขั้นบันได และต่อรองราคาจนได้ข้อสรุป จากนั้นก็เริ่มลงมือก่อสร้างในเช้าวันนั้นทีมก่อสร้างเริ่มงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ทำให้หย่งฟางตื่นขึ้นเพ
หอพักหญิง อาคาร 3A หน้าห้อง 702หลังจากหญิงสาวในห้อง 701 บอกว่า “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่” คำพูดนั้นทำเอาสาวๆ จากห้อง 602 กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ถ้าห้อง 702 ไม่มีใครอยู่ แล้วเสียงฝีเท้าเหล่านั้นมาจากไหน?เสียงกรีดร้องทำลายความเงียบของค่ำคืน ไฟทางเดินที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์เสียงสว่างวาบขึ้นทีละชั้น เสียงโลหะขูดพื้นดังมาจากชั้นล่าง คุณป้าผู้ดูแลหอพักเปิดประตูห้องพัก รีบมองจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิด แล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 7“เอะอะอะไรกัน! เสียงดังจนคนทั้งตึกได้ยิน!” เมื่อมาถึง คุณป้าผู้ดูแลตำหนิ ก่อนหันไปมองเด็กๆ “พวกเธอห้อง 602 ใช่ไหม? มาเดินเพ่นพ่านอะไรตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังไฟดับ?”หญิงสาวจากห้อง 701 รีบช่วยอธิบาย “พวกเธอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินในห้อง 702 เลยขึ้นมาดู...คุณป้า ห้อง 702 มีใครอยู่หรือเปล่าคะ?”คุณป้ามองพวกเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”คำตอบนั้นทำให้สาวๆ จากห้อง 602 ใจหายวาบ หญิงสาวจากห้อง 701 เริ่มลังเลก่อนถามด้วยเสียงสั่น “ป้า... รุ่นพี่บอกว่าหอพักหญิงที่นี่มีผี เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?”“พวกเธออย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้น” คุณป้
"รับคำทำนายก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน" หย่งฟางเอ่ยขึ้นพลางมองแถวคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาถามคำทำนายทีละคน สองคนถามเรื่องการเรียน อีกสองคนถามเรื่องความรัก กุ่นกุ่นช่วยตอบคำทำนาย หย่งฟางไม่ได้พูดเสริมอะไร มีเพียงกระซิบเบาๆ "ทำนายได้ดีมาก จากนี้ลูกค้าอื่นๆ ให้คุณดูแลคนเดียวเลย ทำให้มั่นใจหน่อย อย่าพูดติดขัด ถ้าคิดว่าจะติดก็พูดคำสำคัญสั้นๆ ก็พอ"กุ่นกุ่นพยักหน้า เรื่องนี้เฒ่ากัวเคยสอนเขามาก่อนแล้ว แนะนำให้พูดแบบเว้นจังหวะบ้างเพื่อให้ดูเป็นปริศนาและน่าเกรงขาม จากนั้นหย่งฟางพาผู้หญิงสี่คนไปยังห้องน้ำชา ขอให้พวกเธอดื่มชากันคนละแก้ว"ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เรียนที่วิทยาลัยศิลปะถานจิง ตอนฉันเห็นภาพวาดกับชื่อพี่ในห้องแสดงผลงาน" ฉู่เสี่ยวเฉียวพูดขึ้นรูมเมตของเธอพยักหน้า "ใช่เลย หย่ง...อาจารย์" ผู้หญิงคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเรียกหย่งฟางว่าอะไรดี"ทำไมเธอถึงไม่มีรูปอยู่ในชั้นวางศิษย์เก่าที่โดดเด่นล่ะ?"หย่งฟางยิ้มก่อนตอบ "เคยเห็นใครทำงานด้านศาสตร์ลึกลับ แล้วไปเป็นศิษย์เก่าที่โดดเด่นบ้างไหม?"คำพูดนั้นทำให้ผู้หญิงทั้งหมดหัวเราะออกมา ข
[สุดยอดไปเลย หย่งฟางไปหาลูกศิษย์มาจากที่ไหนนะ ทั้งหนิงหมี่และหลงหยวนหยวนเ หมาะจะไปเป็นไอดอลทั้งกลุ่มหญิงและชายได้เลย][หย่งฟางเปิดบริษัทจัดการบันเทิงไปเลยเถอะ]ในที่สุด #เสวียนเว่ยเอ็นเตอร์เทนเมนท์ (#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ย) ก็กลายเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ #วัดเสวียนเว่ย (#ศาสตร์ลึกลับของหย่งฟาง)เหล่าชาวเน็ตช่วยกันแบ่งตำแหน่งให้เสร็จสรรพแล้ว[#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ยCEO: หย่งฟาง อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง: หนิงหมี่ อันดับหนึ่งฝ่ายชาย: หลงหยวนหยวน][ส่วนอาจารย์อ้วน กับอีกสามคนก็เป็นผู้จัดการไปละกัน]เหล่าลูกศิษย์มนุษย์ที่คอยติดตามข่าวในโซเชียลเกี่ยวกับวัด: หือ?หยิบโทรศัพท์เก็บกลับไป มองดู ‘อันดับหนึ่งฝ่ายชาย’ และ ‘อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง’ตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเสร็จ สองคนนี้ก็สู้กันตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปจนถึงฝั่งตะวันตก เพื่อแย่งควันธูปกัน นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ของอันดับหนึ่งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ต้องทำทุกวันไปแล้วเพราะหย่งฟางแจกควันธูปอย่างเท่าเทียม ตอนแรกให้ทั้งคู่คนละสองแท่ง แต่หนิงหมี่ไม่พอใจ “ข้าทำงานตั้งขนาดนี้ ส่วนเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงได้เท่ากับข้า! ข้าไม่สน จ
ณ จุดนี้ในวัดเสวียนเว่ยมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนเจ้าของอาราม: หย่งฟางศิษย์: หนิงหมี่, เฒ่ากัว, ห่าวจาวไฉ, จินเหยาไต้ ,ไฉหยวนกุ่นกุ่นผู้พักชั่วคราว: วิญญาณลูกกลมสีเทาผู้ไม่ได้รับเชิญ: หลงหยวนหยวนทั้งแปดคนนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากสี่ประเภท ได้แก่ คน เทพ วิญญาณ และปีศาจ"อาจารย์หย่ง คุณคิดจะเก็บสิ่งมีชีวิตทั้งหกไว้ที่นี่หรือ?" ห่าวจาวไฉโบกพัดกระดาษพร้อมถามหย่งฟางเผยยิ้มขมเล็กน้อย จะพูดอย่างไรดี? ตัวตนของหนิงหมี่กับหลงหยวนหยวนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเต็มใจรับเข้ามา คืนนี้พระจันทร์สีเงินส่องสว่างกลางท้องฟ้า หลังจากที่หย่งฟางไหว้เทพเจ้าวัดเสร็จ เธอก็เดินออกจากวิหารหลัก หนิงหมี่กับวิญญาณลูกบอลกลมสีเทา ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในลาน กำลังตั้งใจเรียนวิชาภาษาชั้นประถมปีที่ 1 ที่ถ่ายทอดสด คราวนี้หย่งฟางเรียนรู้แล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตั้งค่าใหม่ให้พวกเขาใช้ขณะเดียวกัน หลงหยวนหยวนที่โดนสองสาวรังเกียจ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนอีกฝั่ง เจ้าหนุ่มชุดดำไม่สนใจเลยที่ตนเองไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร แค่เอนตัวรับลมเย็นอย่างสบายใจ ด้านเฒ่ากัวกับคนอื่นๆ เตรียมไฟฉายและพร้อมจะลงจากภูเขากลับบ้าน"เดี
"อย่างพี่สาวเหอ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลย แถมครอบครัวก็ใจดี แม้ว่าเราจะพูดกันไม่นาน แต่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก พราะเธอเป็นคนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่""ส่วนเรื่องจางยู่เฟ่ย ตั้งแต่ฉันมาที่โลกมนุษย์ ฉันก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง หลายคนชอบหาทางลัด ถ้ามันเป็นทางที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อยเจอคนที่พยายามหาทางพึ่งพาคนอื่นแบบเธอ ทั้งที่เธอก็มีแขนขาครบ มีโอกาสมากมาย แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดแค่ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย" หนิงหมี่พูดไปพร้อมกับทำท่าห่อไหล่เหมือนแมวน้อยที่กำลังครุ่นคิด"แต่พอคิดถึงเป่าฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา ฉันก็รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ก็ยังมีสิ่งดีๆ บ้างเหมือนกัน" หนิงหมี่พูดสรุปว่า "มนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย"หลังจากที่ออกไปทำงานนอกสถานที่มาแค่สองวัน เทพธิดาน้อยก็ได้สัมผัสกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ พนักงานบนเครื่องบินเชิญพวกเธอไปยังห้องอาหาร หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำแล้ว หนิงหมี่ก็รู้สึกดีขึ้น"เป่าฟู่กุ้ยสุดยอดจริงๆ!" หนิงหมี่คิด "อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนอนขดตัวอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอนักพรตสาวตัวน้อย กลุ่มเฮ่ยไป่อู่ฉางก็รีบตื่นเต้นและวิ่งเข้าหาเธอ “หย่งน้อย เธอดูอ้วนขึ้นนะ!”“จะทักทายกันแบบสุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือไงคะ?” หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ยมทูตขาวผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือไปหยิกแก้มเธอทันที “ฉันหมายถึงหน้าเธอดูมีเนื้อขึ้นนะ! เมื่อก่อนเธอผอมกว่านี้”หย่งฟางสะบัดมือของเธอออกเหมือนปัดแมลงวันยมทูตดำก็ทักขึ้นบ้าง “ถ้าจะให้สุภาพ ฉันก็ทำได้” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หย่งน้อย เราเสมือนญาติผู้ใหญ่เห็นเธอเติบโตมาตลอด เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมเราเลย เราคิดถึงเธอ…”ยมทูตขาวพูดเสริมทันที “…พวกเราอยากได้ธูปหอมบ้างน่ะ”นี่แหละคือวิธีทักทายของพวกเขา หย่งฟางไม่ได้พูดอะไร เธอแค่ย่อตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทาง แล้วหยิบธูปสองดอกออกมาหนิงหมี่เบิกตากว้าง “นั่นมันของฉันนะ!!” พูดจบก็พยายามจะแย่ง แต่หย่งฟางก็หลบมือไปจุดไฟ แล้วส่งให้ยมทูตขาวดำทันที“แค่นิดเดียว อย่าไปหวงนักเลย เด็กเล็กก็แบบนี้แหละ ชอบหวงของ”ยมทูตขาวดำกินควันธูปอย่างพอใจจนตาหรี่ลงเป่าฟู่กุ้ยมองยมทูตทั้งสองที่กำลังเคลิบเคลิ้ม…พวกเขาไม่ได้มารับเมียเขาไปโลกหลังความตายเหรอ? แล้วทำไมมานั่งกินของฝากที่บ้า
เปาฟู่กุ้ยมองนักพรตสาวด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล "ผม...ผมจะได้เจอเธอจริงๆ เหรอ? ภรรยาของผมไม่ได้...ไปอยู่ที่ยมโลกแล้วหรอกเหรอ?""ภรรยาของคุณน่าจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงนี้เธอคอยเฝ้าดูจางยู่เฟ่ยอยู่ เพราะสงสัยว่าคนคนนั้นจะทำอะไรแปลกๆ เราเลยไม่เห็นวิญญาณเธออยู่ในบ้านคุณตั้งแต่แรก" หนิงหมี่อธิบาย"ผม...ผมอยากเจอเธอ!" เปาฟู่กุ้ยพูดด้วยความรู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้รับพลังชีวิต ใบหน้าของเขาดูเปล่งปลั่งทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงสภาพตัวเอง จึงรีบลูบหนวดเคราที่เพิ่งงอกยาวและกล่าวออกไป "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมต้องจัดการตัวเองก่อน ภรรยาผมไม่ชอบที่ผมดูสกปรกแบบนี้"หลังจากพูดจบ เปาฟู่กุ้ยลากตัวที่ดูอ้วนกลมขึ้นไปชั้นบน เพราะอาการบวมจากยาต้านซึมเศร้า เมื่อเขากลับลงมาอีกครั้ง หย่งฟางและหนิงหมี่ ก็ได้เห็นเปาฟู่กุ้ยในลุคใหม่ที่สะอาดสะอ้าน เขาโกนหนวดโกนเคราจนเกลี้ยงเกลา สระผมจนหอมสะอาด ใบหน้ากลมอวบอิ่มดูสดใสขึ้นทันที เขาใส่สูทสากลและเนคไทเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังแม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อเหลามากนัก โดยเฉพาะส่วนแก้มที่อ้วนดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่ในลุคนี้เขากลับดูอ
หลังจากที่จางยู่เฟ่ยพ่นเลือดออกมา หมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่ระหว่างคิ้วของเปาฟู่กุ้ย ก็พลันสลายหายไปทันที แม้ว่าจางยู่เฟ่ยจะมองไม่เห็นพลังงานลี้ลับเหล่านี้ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อท่านประธานทำตามคำแนะนำของสาวน้อยข้างกายเถ้าแก่เปาเปิดตาขึ้น ยกมือออกหู และมองเลขาอีกครั้งด้วยสายตาที่กลับมาสดใส ปราศจากอาการลุ่มหลงผิดปกติใดๆ จางยู่เฟ่ยตกใจ รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของตัวเอง แต่กลับพบว่ามันหายไป“หาอันนี้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเหนือชั้นดังมาจากหย่งฟางเมื่อจางยู่เฟ่ยหันไปมอง ก็พบว่ากระดาษยันต์สามเหลี่ยมในมือของหย่งฟาง ถูกฉีกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหนิงมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มขำ ส่วนหญิงสาวในชุดขาวร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับจางยู่เฟ่ย เธอยกนิ้วโป้งให้หนิงมี่ด้วยความชื่นชมใบหน้าของวิญญาณสาวผู้นี้ คือใบหน้าเดียวกันกับหญิงสาว ในภาพถ่ายที่พบในห้องใต้หลังคา ใช่แล้ว... ภรรยาของเปาฟู่กุ้ยยังไม่ได้ไปสู่สุคติ ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของสามี และหลังจากจับตามองเลขาส่วนตัว ก็พบว่าคู่กรณีใช้คาถามาควบคุมใจสามีของเธอเธอก็พบว่านักพรตสาวจากสำนั
เมื่อวางสายไปใบหน้าของเถ้าแก่เปาแสดงอาการหลงใหล ราวกับถูกบางสิ่งควบคุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงอย่างท่วมท้น หย่งฟางรีบสวดคาถาเคลียร์จิตใจ ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ความอ่อนโยนที่เคยแสดงบนใบหน้าของเปาฟู่กุ้ย หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีท่าทางงุนงงหย่งฟางเปิดปากถาม "คนที่โทรหาคุณเมื่อกี้คือใคร?""คะ...คือ...เลขาของผม จางยู่เฟ่ย..." เปาฟู่กุ้ยมองหน้าหย่งฟางและหนิงหมี่ด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอครับ?" ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถจำความรู้สึกอ่อนโยน และความรักใคร่ที่เคยมีเมื่อครู่ได้เลยหนิงหมี่หันไปมองอาจารย์และกระซิบเบาๆ "คาถาชิงรัก"หย่งฟางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเปาฟู่กุ้ย "ตอนที่คุณโชคร้ายก่อนหน้านี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคุยกับเลขาของคุณเสร็จใช่ไหม?"เปาฟู่กุ้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มจำได้ "เหมือนจะใช่ แต่ว่าช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเจอโชคร้ายแล้วนะ"หย่งฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะช่วงนี้คุณไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอเลย คาถาชิงรักคือการที่คุณถูกทำให้ตกหลุมรักคนที่ร่ายคาถานี้ ในตอนแรกคุณยังมีสติ คุณสาม