บทที่ 9
สามวันผ่านไปอาการป่วยของสริตาเริ่มจะดีขึ้นตามลำดับหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถึงแม้ในยามค่ำคืนจะมีร่างสูงโปร่งเข้ามานอนข้าง ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงเกินเธอแต่อย่างใด สงสัยคงเห็นเพราะว่าไม่สบายอยู่คงอยากให้นอนหลับเต็มอิ่มจะได้กลับไปทำงานที่หยุดมาหลายวัน
“จะไปไหน” เสียงเข้มของอัทธ์ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังลุกออกจากเตียงถึงกับชะงัก
“ไปบ้านท้ายเกาะค่ะ”
“หายแล้วเหรอถึงจะไปที่นั่น”
สริตาไม่ตอบนอกเสียจากพยักหน้ารับเท่านั้น
“รอก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่กำลังทำท่าทำทางไม่พอใจ
“กลัวฉันหนีเหรอคะ”
“อย่างเธอน่ะจะหนีไปไหนได้”
เขาว่าอย่างเย้ยหยันก่อนเดินหายไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ทว่ากลับไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเสียอย่างนั้น อัทธตรงมาหยุดที่หน้าของสริตา ทำเอาสาวเจ้างวยงงกับชายหนุ่มไม่น้อย
“ทำไมไม่ติดกระดุมล่ะคะ”
“ติดกระดุมให้หน่อยสิ”
แต่หญิงสาวยังคงยื่นนิ่งไม่ทำตามในสิ่งที่เขาบอก แต่แล้วก็ต้องทำตามเพราะคำขู่ของชายหนุ่ม
บทที่ 10สามวันที่อัทธ์ออกไปทำธุระของเขาตั้งแต่วันก่อน มันทำให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกที่ไม่พบคนใจร้ายให้วุ่นวายใจหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสทว่าในยามที่เขาไม่อยู่สริตาจึงใช้เวลาหลังเลิกงานคอยสอดส่องหาทางหนีทีไร่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะการที่จะออกจากกรงขังของเขาได้นอกจากจะมีเรือเท่านั้น แต่นี่ไม่พบเรือสักลำถ้าหากอัทธ์กลับมาเธออยากจะลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปก็ได้ในขณะที่สริตากำลังฮำเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเล็กท้ายเกาะก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเอะอะโวยวายของใครบางคนที่ดังขึ้นตรงบริเวณที่มีเรืออยู่จนต้องหันไปมอง คนตัวเล็กพยายามหรี่ตามองว่าใครกันที่เสียงดังเช่นนี้ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออัทธ์“นายหัวรอผมก่อนเดี๋ยวผมช่วย” ลูกน้องของอัทธ์ร้องห้ามเมื่อเจ้านายของตัวเองเดินปรี่ไปที่หญิงสาวที่อยู่ริมหาด ด้วยความที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายจึงรีบวิ่งไปประคองกระนั้นคนเมามายกลับไม่ยอมพร้อมบอกให้ไม่ต้องมายุ่งเสียอย่างนั้น “ไม่ต้องกูเดินเองได้”
ราคีซาตาน ความเข้าใจผิดทำให้เธอต้องมีรอยราคีจากเขา ภาธร พ่อเลี้ยงหนุ่ม ที่เข้าใจผิดที่มีต่อเธอนั้น แต่กว่าจะรู้เธอก็หนีไปแสนไกล ------------------------------------------------------- “คุณภาคให้คุณวิทไปตามบัวมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามและยิ้มให้คนที่กำลังหันหน้ามา “ไปเก็บของซะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงสั่งให้กชสรไปเก็บของอย่างรวดเร็ว “เก็บของ หมายความว่ายังไงคะ คุณภาค” หมายความว่ายังไง คำถามนี้ยังคงวนอยู่ในสมองน้อย ๆ ของเธอ แต่แล้วก็กระจ่างแจ้งเมื่อเขาเป็นคนชี้แจ้งทั้งหมดให้เธอฟัง “หึ หมายความว่ายังไง นี่ไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ฮะกชสร พูดง่าย ๆ คือ ฉันเบื่อนางบำเรออย่างเธอแล้ว” ------------------------------------------------------- “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะคุณภาธร” ว่าที่คุณแม่ตวาดเสียงแข็ง “ไม่ ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะคุยกับฉัน” “คุยกับฉัน แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ เพราะฉะนั้นกลับไร่ของคุณไปซะ” “ฉันไม่กลับ จนกว่าเธอจะคุยกับฉัน คุยเรื่องของเรา” ภาธรเอ่ยด้วยเสียงจริงจังและจริงใจ แต่คนฟังกลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้น “พูดมาได้นะคะ ว่าเรื่องของเรา ระหว่างคุณกับฉันมัน
บทนำ“บัว” กชสร ผู้หญิงที่มีใบหน้าสวยคมราวกับลูกครึ่ง มองอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะจำหญิงสาวผิดไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เจอเธอมาหลายเดือน จากรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นมีนำมีนวลขึ้น อาจจะเป็นเพราะลูกน้อยในครรภ์ของเธอก็เป็นได้ เด็กคนนั้นคงเป็นลูกคนอื่นไม่ได้นอกจากลูกของเขาท่างกลางผู้คนมากมายที่กำลังเดินจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหารและสิ่งต่าง ๆ กลับไปประกอบอาหารในยามเย็น คงจะเป็นเช่นเดียวกันกับกชสร ในมือเล็กที่มีถุงผักและผลไม้รวมทั้งของสดรวมอยู่ในนั้นด้วย ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยความยินดีที่เขานั้นตามหาคนตรงหน้าพบ แต่ทำไมสายตาที่มองมานั้นกลับไม่ดีใจที่เธอได้พบเขาเลย แววตานั้นว่างเปล่าไร้ความรู้สึก หลายเดือนที่เขานั้นคอยเฝ้าคิดถึงเธอเสมอ คิดถึงในสิ่งที่เขาทำผิดต่อเธอ“เดี๋ยวก่อนสิบัว” ชายหนุ่มร้องเรียกชื่อหญิงสาวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินผ่านเขาไป ทำให้เธอนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนพูดโต้ตอบกลับเขาไป“ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่รู้จักคุณค่ะ” กชสรตอบกลับด้วยความเรียบเฉยโดยไม่หันหลังกลับไปมองเขาก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สนใจคนที่กำลังมองอยู่เบื้องหลังเพียงแค่จะเอื้อมมือหมายที่จะคว้าแขนเธอเอาไว้ภาธรก
ร่างเล็กทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาตัวยาวสีเบจ มองไปยังหน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่อยู่ภายในห้องซึ่งกำลังฉายละครภาคค่ำ แต่มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเธอเลย ภายใจในเธอนั้นกังวลต่าง ๆ นานากับสิ่งที่กำลังพบเจอ หญิงสาวนั่งคิดอย่างกลัดกลุ้มด้วยความเครียด ไม่นานนักเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้น กชสรรีบเปิดหน้าจอขึ้นเพื่อดูว่าใครส่งข้อความหาเธอ แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นข้อความของเจ้านายคนใหม่ที่ชอบสั่งงานนอกเวลาอยู่บ่อยครั้ง และเวลาที่เธอเข้าไปส่งงานให้มักจะคอยหาเศษหาเลยแตะเนื้อต้องตัวเธอ ถึงแม้ว่าจะบ่ายเบี่ยงปัดป้องแล้วก็ตาม มือบางจึงรีบทิ้งโทรศัพท์มือถือวางไว้ที่โต๊ะดังเดิม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็นข้อความเมื่อครู่นี้หลังจากนั้นราวยี่สิบนาทีกฤตพลก็ต่อสายกลับมาหาน้องสาวทันที เพราะคนข้างกายเขาบอกว่าน้ำเสียงของกชสรนั้นค่อนข้างเครียด เขาจึงโทรหาน้องน้อยเผื่อจะมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เธอมักจะเล่าให้เขาฟังเสมอ สองพี่น้องนั่งคุยกันนานสองนานทั้ง เรื่องที่กชสรเครียดอยากจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งพี่ชายอย่างเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เคารพการตัดสินใจของน้องสาวเสมอ แต่ผู้เป็นพี่เสนอทางเลือกให้น้องสาวได้คิดทบทวน
ปัง ปัง ปัง“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย” กชสรทั้งตะโกนเรียกทั้งแคะแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาแม้แต่น้อย แต่คนตัวเล็กในห้องก็ไม่ละความพยายามที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ นานสองนานก็ไม่มีใครตอบหรือเสียงอะไรเดินผ่านมาแม้แต่น้อย เธอนั้นจนปัญญาที่จะส่งเสียง หญิงสาวจึงเดินกลับไปนั่งลงเตียงนอนแล้วเปิดโคมไฟหัวเตียง เพื่อให้มีแสงสว่างภายในห้องนี้ กชสรมองซ้ายแลขวาเพื่อที่จะหากระเป๋าสะพายที่จำได้ว่าเธอสะพายติดตัวไว้กลับไม่พบมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอกันเนี่ยในระหว่างที่ร่างเล็กกำลังนั่งคิดทบทวนกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม สองมือน้อยลูบเข้าที่ใบหน้าพยายามนึกว่าเธอไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือบาดหมางใจกับใครบ้าง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกกชสรเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอได้ยินเสียงมีคนกำลังไขกุญแจเข้ามาภายในห้อง มองประตูบานนั้นอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบาง ทันทีที่ประตูนั้นเปิดออกร่างเล็กนั้นถอยรุดติดหัวเตียงอย่างหวาดกลัว“แกเป็นใคร จับฉันมาที่นี่ทำไม” หญิงสาวร้องถามชายร่างสูงสองคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ทำเอาร่างเล็กนั้นตกใจไม่น้อย“พวกผมเป็นใครไม่ส
ตอนที่ 2แสงแดดสาดสองยามเช้าของวันใหม่ ปลุกให้ร่างเล็กที่เปลือยเปล่านอนอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ นั้นตื่นขึ้นมาโดยปราศจากความสดใสเหมือนทุกวัน เพียงแค่ขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยก็รับรู้ได้ถึงความเมื่อยขบตามร่างกาย จนต้องพยุงกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง พลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเธอนั้นถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้จับมา อีกอย่างเธอนั้นแทบไม่รู้จักหรือมีความแค้นใด ๆ กับชายหนุ่มคนนั้นเลย ร่างเล็กบอบบางนั่งกอดเข่าคิดทบทวนเรื่องราวที่เขาพูดกับเธอเมื่อวานในห้องทำงานของเขา“เธอไม่ได้ทำ แต่พี่ชายเธอทำ” เสียงของเขาแวบกลับเข้ามาในความคิดพลอยทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“พี่ชาย พี่ชายฉันทำอะไรคุณ ถึงได้จับฉันมาแบบนี้”“อยากรู้นักเหรอ ได้ฉันจะบอกให้” ชายหนุ่มนี่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ที่เพิ่งรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาเมื่อครู่นี้ว่าชื่อ ภาธร กิตติธร ผุดลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินย่างสามขุมเข้ามาหาคนตัวเล็กด้วยท่าทางที่น่ากลัว ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องร่นถอยทีละก้าวอย่างหลาดระแวง“คุณจะทำอะไร” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าใกล้ จนทำให้หญิงสาวเบี่ยงหน้าหนี“อยา
“ไอ้สารเลว” เพียงประโยคเดียวที่ออกจากริมฝึปากบางทำให้ภาธรจัดการฉีกกระชากเสื้อผ้าที่ติดดกายหญิงสาวอย่างรุนแรง โดยไม่สนว่าเสื้อผ้านั้นจะบาดผิวกายเนียนละเอียดของเธอจนเกิดรอยแดง จนเหลือเพียงบราเซียสีขาวลายลูกไม้ห่อหุ้ม ความนุ่มหยุ่นเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่เต็มไปด้วยบรรดาโทสะผลักคนตัวเล็กล้มลงกับโซฟาที่ยู่ภายในห้องทำงานของเขาอย่างแรง ก่อนที่ภาธรจะตามไปคร่อมทับร่างเล็กที่กำลังจะลุกหนีเอาไว้ ริมฝีปากหนาประกบจูบริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อนและรุนแรง ถึงแม้ว่ามือเล็กพยายามทั้งผลักทั้งดันเขาแต่ก็ไม่สำเร็จแต่แล้วภาธรก็ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อจัดการเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ติดกายทั้งของเขาและเธอ ชายหนุ่มลากมือสากลูบไล้เรือนร่างเปลือยเปล่าอย่างถือสิทธิ์ โดยอีกมือนั้นเลื่อนบีบขยำความนุ่มหยุ่นที่ขนาดพอดีมือเขาไม่น้อย ก่อนก้มชิมเม็ดเชอร์รี่สีหวานบนเนินอกหยอกเย้าขบเม้มจนคนใต้ร่างร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเมื่อเขานั้นกัดและขมเม้มแรงๆ“โอ้ย เจ็บ” ร่างเล็กพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล มือเล็กที่ผลักดันคนตัวสูงให้ออกห่างถูกจับตรึงเอาไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาริมฝีปากร้อนเปลี่ยนเป้าหมายจ
ร่างเล็กนั่งคุดคู้กอดเข้าด้วยสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง เหตุใดเธอต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรเช่นนี้ ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซุกหน้าลงบนเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู คนที่ตกอยู่ภายใต้ความเศร้าหมองเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้ตอบกลับ“คุณคะ ตื่นหรือยังคะ” คนหน้าห้องส่งเสียงขึ้นพลอยทำให้คนที่นั่งเศร้ากอดเข่าอยู่ข้างในพอจะเดาได้ว่าไม่ใช้คนใจร้ายเมื่อคืน“ค่ะ ฉันตื่นแล้ว” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหมองหม่น“คุณภาค สั่งให้เอาเสื้อผ้าพวกนี้มาให้คุณค่ะ” ป้าแม่บ้านสูงวัยนำเสื้อผ้าที่นางถือติดมาก่อนจะวางลงบนปลายเตียงนอนที่หญิงสาวนั่งอยู่“ขอบคุณนะคะป้า” เธอด้วยใบหน้ายิ้มแต่ยังคงหมองจนคนมองรู้สึกได้“ทำธุระเสร็จแล้ว ลงไปทานข้าวนะคะ” ป้าแม่บ้านบอกทำให้คนตัวเล็กพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเรียกเอาไว้“ป้าคะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ”“ไร่องุ่น ภาธร ค่ะ” นางตอบกลับยิ้มให้หญิงสาวรุ่นราวคราวลูกเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป คนตัวเล็กมองตามจนประตูนั้นปิดลงสนิท เธอนั่งคิดเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจหอบร่างกายอันบอบช้ำเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะชำระล้างคราบ
บทที่ 10สามวันที่อัทธ์ออกไปทำธุระของเขาตั้งแต่วันก่อน มันทำให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกที่ไม่พบคนใจร้ายให้วุ่นวายใจหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสทว่าในยามที่เขาไม่อยู่สริตาจึงใช้เวลาหลังเลิกงานคอยสอดส่องหาทางหนีทีไร่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะการที่จะออกจากกรงขังของเขาได้นอกจากจะมีเรือเท่านั้น แต่นี่ไม่พบเรือสักลำถ้าหากอัทธ์กลับมาเธออยากจะลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปก็ได้ในขณะที่สริตากำลังฮำเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเล็กท้ายเกาะก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเอะอะโวยวายของใครบางคนที่ดังขึ้นตรงบริเวณที่มีเรืออยู่จนต้องหันไปมอง คนตัวเล็กพยายามหรี่ตามองว่าใครกันที่เสียงดังเช่นนี้ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออัทธ์“นายหัวรอผมก่อนเดี๋ยวผมช่วย” ลูกน้องของอัทธ์ร้องห้ามเมื่อเจ้านายของตัวเองเดินปรี่ไปที่หญิงสาวที่อยู่ริมหาด ด้วยความที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายจึงรีบวิ่งไปประคองกระนั้นคนเมามายกลับไม่ยอมพร้อมบอกให้ไม่ต้องมายุ่งเสียอย่างนั้น “ไม่ต้องกูเดินเองได้”
บทที่ 9สามวันผ่านไปอาการป่วยของสริตาเริ่มจะดีขึ้นตามลำดับหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถึงแม้ในยามค่ำคืนจะมีร่างสูงโปร่งเข้ามานอนข้าง ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงเกินเธอแต่อย่างใด สงสัยคงเห็นเพราะว่าไม่สบายอยู่คงอยากให้นอนหลับเต็มอิ่มจะได้กลับไปทำงานที่หยุดมาหลายวัน“จะไปไหน” เสียงเข้มของอัทธ์ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังลุกออกจากเตียงถึงกับชะงัก “ไปบ้านท้ายเกาะค่ะ” “หายแล้วเหรอถึงจะไปที่นั่น”สริตาไม่ตอบนอกเสียจากพยักหน้ารับเท่านั้น “รอก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่กำลังทำท่าทำทางไม่พอใจ“กลัวฉันหนีเหรอคะ”“อย่างเธอน่ะจะหนีไปไหนได้”เขาว่าอย่างเย้ยหยันก่อนเดินหายไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ทว่ากลับไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเสียอย่างนั้น อัทธตรงมาหยุดที่หน้าของสริตา ทำเอาสาวเจ้างวยงงกับชายหนุ่มไม่น้อย“ทำไมไม่ติดกระดุมล่ะคะ”“ติดกระดุมให้หน่อยสิ”แต่หญิงสาวยังคงยื่นนิ่งไม่ทำตามในสิ่งที่เขาบอก แต่แล้วก็ต้องทำตามเพราะคำขู่ของชายหนุ่ม
บทที่ 8เวลาล่วงเลยผ่านไปจนค่ำ สริตาที่กำลังหลับพริ้มอย่างสบายใจอยู่ภายในห้องนอนและเพิ่งรู้สึกตัวขึ้น ค่อย ๆ ยันกายให้ลุกนั่งพิงพนักหัวเตียงพลังกวาดสายตาหวานมองไปรอบ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนที่เธอใช้นอนประจำที่ท้ายเกาะที่อัทธ์กักขังเธอเอาไว้ แล้วนี่มันที่ไหนกันมันไม่คุ้นเอาเสียเลยแต่แล้วทุกสิ่งก็กระจ่างเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกด้วยผีมือของใครบางคน เธอพยายามเพ่งมองว่าคนนั้นเป็นใครและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเดินเข้ามา และไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก อัทธ์คนใจร้าย“ตื่นแล้วเหรอ” อัทธ์ถามเอเสียงเข้มในมือของชายหนุ่มถือถาดอะไรบางอย่างเข้ามาด้วยก่อนจะวางมันลงกับตู้ที่อยู่ข้าง ๆ หัวเตียงสริตามองไปยังของที่เขาเพิ่งวางเมื่อครู่ พบว่ามันคือข้าวต้มร้อน ๆ กับน้ำและยาที่วางอยู่ด้วยกัน ก่อนหันหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่เขาใจว่าเขาจะมาดูแลเธอทำไมไม่ปล่อยให้เธอตายไปเสีย“ฉันถามทำไมไม่ตอบ” เมื่อไร้คำตอบจากหญิงสาวเขาจึงถามขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งหย่อนกายนั่งกับเตียงของตน“คุณก็เห็นนี่คะ ว่าฉันตื่นแล้ว”คนป่วยต่อปากต่อคำถึงแม้ว่าน้ำเสียงข
“ปวดหัวชิบ”แสงสว่างที่สองผ่านมายังหน้าต่างกระทบเข้ากับใบหน้าคมที่เพิ่งจะนอนได้ไม่นานให้ตื่นจากนิทราด้วยความงัวเงีย ก่อนจะยันกายแกร่งขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงด้วยอาการหนักหัวไม่น้อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้างเพราะเขาดื่มไปเยอะพอสมควร ลันสายตาของชายหนุ่มไปสะดุดกับเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้นห้องมันมีทั้งเสื้อผ้าของเขาและของ...สริตามันต้องเป็นเสื้อผ้าของหญิงสาวแน่นอนเขาจำได้ และที่นี่คือบ้านที่ใช้ขังเธอเอาไว้ เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดแผ่นหลังขาวเนียน ร่างเปลือยเปล่าที่หลับพริ้มอยู่ข้าง ๆ คือสริตานี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อัทธ์พยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าตนทำอะไรลงไป สิ่งที่จำได้จะมีเพียงว่า ‘เขาไม่อยากซ้ำรอยของใคร’ ในคราแรกเขาไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอเป็นของเขาแล้วและจะไม่มีวันได้เป็นของผู้ชายคนไหนอีกคนตัวโตกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มกายเข้าหาคนที่นอนหันหลังให้เขาพยายามปลุกเร้าอารมณ์ของหญิงสาวท่ามกลางเสียงพึมพำคล้ายรบกวนการนอนฝันดีของตน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพลิกกายเพื่อป
บทที่ 6ร่างกายเล็กบอบบางที่แสนเหนื่อยล้าจากการถูกใช้งานอย่างหนักของสริตากับคำสั่งของอัทธ์ที่ตอบดูการกระทำเธอแทบจะทุกฝีก้าว แทบจะสลบเมื่อพาตัวเองมายังโซฟาตัวนุ่มสีน้ำตาลที่ใช้นั่งเล่นเป็นประจำ หญิงสาวอยากจะงีบเสียหน่อยแต่ก็กลัวตัวเองจะเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำคงไม่ดีแน่หลังจากที่ร่างอ่อนล้าพักให้หายเหนื่อยครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทำงานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อโยนลงตะกร้าผ้าเตรียมซักและคว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่มาพันรอบกายสวยแล้วเข้าไปจัดการอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกไปเตรียมอาหารเย็นเป็นข้าวไข่เจียวหอมเมนูที่สุดแสนจะง่ายดายก่อนจะพาตัวเองเข้านอนด้วยความปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมด“กินข้าวแล้วก็นั่งย่อสักพักแล้วกันค่อยนอน”สริตารวบช้อนเอาไว้กลางจานที่เพิ่งรับประทานเสร็จแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง ๆ แล้วลุกไปจัดการล้างจานที่ทำอาหารเอาไว้ในอ่างให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ วันนี้เธอรู้สึกง่วงเล็กว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าเพิ่งกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็ย่อนเสียแล้วกว่ายี่สิบนาที่ที่สริตาล้างจานพร้อมทั้งทำความสะอาดบ้านให้เส
บทที่ 5เวลาผ่านไปร่วมสัปดาห์สริตายังคงอยู่ที่บ้านพักบนเกาะของอัทธ์อย่างกระวนกระวนกระวายใจเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้วันนี้ชายหนุ่มจะสั่งให้ลูกน้องเปิดประตูให้เธอออกมาเลิกเล่นรอบ ๆ ตัวบ้านก็ตาม แต่มองไปทางไหนก็ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าทั้งนั้น กวาดสายตาพลางขบคิดเรื่องทางหนีแต่ทว่ามันแทบจะไม่มีที่ไปเลยถ้ามีก็คงต้องว่ายน้ำข้ามทะเลไป แต่ใครจะทำล่ะ“หาทางหนีอยู่หรือไง”เสียงเข้มดั่งขึ้นทำลายความเงียบและสมาธิของคนที่กำลังขบคิดอยู่ในภวังค์ของตนต้องสะดุ้งน้อง ๆ แม้ว่าไม่ได้หันหลังกลับไปมองเธอก็รู้ว่าใครแต่มันไม่ใช่ลูกน้องของอัทธ์หรอกต้องเป็นเขา“อะไรของคุณ ฉันไม่ได้หาทางหนีสักหน่อย” เธอตอบเสียงสูงพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดอยู่ในตอนนี้“แน่ใจนะ” เขาเลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อ“ไม่เชื่อใจกันเหรอคะ” เธอถามเขาเสียงเรียบมองดวงตาคู่คมที่จ้องอย่างไม่ลดละราวกับจะฆ่าเธอให้ตายเสียอย่างนั้น“ฉันไม่เชื่อเธอตั้งแต่วันนั้นแล้ว”“จะไม่ฟังนิลอธิบายจริง ๆ เหรอคะ”สริตาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนอ้อนวอนอยากจะอธิบายกับเขา ชายหน
บทที่ 4พื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติในต่างจังหวัด หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่กันด้วยความสงบสุขเพื่อนบ้านต่างพึ่งพาอาศัยเอื้อเฟื้อซึ่งกันเละกัน เช่นเดียวกับครอบครัวของสริตากับป้าข้างบ้านที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอสิริกรมารดาของสริตาที่ย้ายมาอยู่ที่นี่พร้อมลูกสาวตามความต้องการเพราะต้องการที่จะปกป้องครอบครัวจากคนใจร้ายพวกนั้น นางเลี้ยงหลานชายหน้าตาน่ารักที่เค้าโครงไม่เหมือนผู้เป็นแม้ จะมีคล้ายเพียงดวงตาเท่านั้น“ตานนท์แม่เราหายไปไหนเนี่ยไม่โทรกลับมาเลย”ผู้เป็นยายคุยกับหลานน้อยวัยน่ารักที่นั่งอยู่บนตักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านในช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ ที่แดดไม่ร้อนและลมที่พัดผ่านกำลังสบายเจ้าหนูส่งยิ้มให้คนตรงหน้าทำเอาคนที่พบเห็นใคร ๆ ก็พากันเอ็นดูหนูน้อยอนล“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าสิรี” ใครคนหนึ่งถามไถอย่างเป็นกันเองและเปิดประตูรั้วเล็กเข้ามาเหมือนคนที่คุ้นเคยมานาน“ไม่มีอะไรหรอกแค่ยัยนิลไม่โทรกลับมาบ้าน”“นิลคงงานยุ่งมั้งครับป้า”“นั่นสิเจตน์ ถ้าจัดการงานเสร็จคงกลับมาแหละ” นางว่าอย่างปลง ๆ เพราะคุ้นชินเสียแล้วว่าห
บทที่ 3เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่จากการที่เธอนั่งนิ่งหลับคิดทบทวนและหาทางออกจากที่นี่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกหิวขึ้นมา เพราะเธอยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น จนตอนนี้ก็ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว แต่อยู่ ๆ สายตาเธอเริ่มปรับให้คุ้นชินกับความมืดพอจะเห็นสภาพแววล้อมภานในห้องราง ๆ เท่านั้นทว่าดวงตาหวานที่ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ เมื่อมองไปยังประตูห้องที่อยู่เยื้องกับเตียงที่เธอนั่งอยู่และพยายามแกะเชื่อกที่ผูกข้อมือเอาไว้ สายตาเธอจับจ้องประตูบานนั้นอย่างไม่วางตาเพราะเหมือนคนข้างนอกจะมีการไขกุญแจเพื่อที่จะเข้ามาภายในเสียอย่างนั้น“สวัสดีครับนายหัว”อยู่เสียงหน้าประตูก็เงียบลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงบทสนทนาของใครก็ไม่อาจรู้ได้“จะทำอะไร”“ผมจะเอาข้าวเช้าไปให้คนที่จับมาน่ะครับ”“ไม่ต้องเอามานี่แล้วไปพักซะ แล้วอย่าให้ใครมายุ่งวุ่นวายแถมนี้”หญิงสาวพยายามเอียงหูฟังได้ยินคนที่ลูกน้องเรียกว่านายหัวสั่งการก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งของใครบางคน ทว่
บทที่ 2“เฮ้ย อัทธ์ทำไมวันนี้มึงดูเครียดจังวะ”น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ไม่บอกก็รู้ว่าใครทำเอาคนที่นั่งดื่มเหล้าท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มภายในร้านต้องเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทของตนโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว“มึงมาช้าชิบหายเลยว่ะ” เทวาเพื่อนอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับอัทธ์ตั้งแต่แรกระหว่างรอเจ้าของร้านผู้ที่เข้ามาใหม่“โทษทีลงมาช้าบัญชีที่ร้านมีปัญหานิดหน่อย”ธันว์บอกแล้วหย่อยกายนั่งที่โซฟาพร้อมทั้งหันไปบอกพนักงานชงเครื่องดื่มได้เลย แล้วหันไปคุยกับคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเขา “ว่าแต่มึงเป็นอะไรกินเอากินเอา กลุ้มใจอะไรหรือเปล่าวะ” ธันว์เพื่อนสนิทซึ่งเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ถามอีกครั้งเพราะทาท่างของชายหนุ่มดูเคร่งเครียดผิดหูผิดตา มันยิ่งหน้านิ่งอยู่แล้ว พอมาอารมณ์นี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมอีก“มึงอย่าไปถามมันเลย ตั้งแต่มานั่งกูถามจนไม่รู้จะถามยังไงล่ะ” เทวาบอกอย่างปลง ๆเทวากระดกเครื่องดื่มที่พนักงานส่งให้เสื่อครู่ไปเล็กน้อย ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วราวกับนิดเรื่องอะไรบางอย่างได้ขึ้นมาก่อนถามขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังก้อง “ได้ข่า