ชินอ๋องมองจ้าวชิงเฟิงที่กำลังลูบขนลูกแมวด้วยความอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋ไม่ซนน้า สมุดบัญชีพวกนี้เป็นของสำคัญ เจ้าจะมาตะกุยเล่นไม่ได้รู้หรือไม่?” “เมี้ยว...” ลูกแมวถูหัวกับมือเรียวงาม ทำให้ท่านอ๋องนึกอยากจะหิ้วคอเจ้าแมวน้อยโยนออกไปไกลๆ เสียเดี๋ยวนั้น แต่ต้องปั้นสีหน้าว่าเอ็นดู “เจ้าตัวน้อยนี่ชื่อเสี่ยวไป๋หรือ? ฟูเหริน” “ขอรับ” ชินอ๋องนึกเข่นเขี้ยวในใจ... กับสามี...ถามตั้งมากมาย ตอบแค่คำเดียว แต่กับแมว...ทั้งแย้มยิ้ม ทั้งพูดจาเสียงอ่อนหวาน ซ้ำยังลูบหัวลูบตัวไปทั่ว ช่างสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดเจน! ชินอ๋องใช้สองนิ้วคีบหนังหลังคอแมวหิ้วออกไปให้เสี่ยวหง “เจ้าพามันไปกินอาหาร” “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรับคำ รีบอุ้มแมวออกไปโดยไว เพราะเห็นสายตาริษยาจากดวงตาคมกริบ “เอาน้ำมาให้พระชายาล้างมือ” “ขอรับ” เสี่ยวหยวนจื่อกับจางจงที่เตรียมน้ำพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเห็นชินอ๋องเข้ามาในห้อง ประจวบกับใกล้เวลาอาหารเย็น ก็รีบยกน้ำมาให้เจ้านายทั้งสองล้างมือ หลังจากล้า
“ข้าคือใคร?” เป็นคำถามแรกของผู้เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ ถามชายวัยสามสิบที่แต่งกายด้วยชุดสีครามซีดเพราะความเก่าเนื้อผ้าไม่ดีนักแต่ก็สะอาดสะอ้าน ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย เพราะว่าในสมองนั้นว่างเปล่าไม่มีความทรงจำอะไรเลย “แล้วเจ้าเป็นใคร?” “องค์...เอ่อ...คุณชาย ท่านจำบ่าวไม่ได้หรือขอรับ?” ร่างบนเตียงนอนเงียบงัน นัยน์ตาเลื่อนลอยและงุนงง “คุณชาย ท่านอย่าทำให้บ่าวตกใจเยี่ยงนี้สิขอรับ” ชายผู้เรียกตนเองว่าบ่าวมีสีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาแดงระเรื่อบวมเปล่งเพราะร้องไห้มาอย่างหนักอยู่แล้วกลายเป็นสีแดงก่ำ หยาดน้ำใสๆ สองสายไหลรินลงมาอาบใบหน้าอีกครา “บ่าวขอโทษ...ขอโทษ...ที่ช่วยอะไรคุณชายไม่ได้...ฮืออออๆๆๆ” “ไม่ต้องร้องไห้...เจ้าเพียงแค่ช่วยบอกข้ามาทีว่าเจ้าชื่ออะไรแล้วข้าชื่ออะไร?” เสียงแผ่วล้าของคุณชายดังขึ้นอีกครา แผ่วเบาราวกระซิบ “บ่าวชื่อจางจงขอรับ” จางจงเอ่ยเสียงเครือ “ส่วนคุณชายชื่อ จ้าวชิงเฟิง เป็น...เอ่อ...เป็นอนุชายาของชินอ๋องขอรับ” “จ้าวชิงเฟิง” ร่างที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง เพราะนอนหงายไม่ได้ เนื่องจากจะกระทบถูกบาด
“คนทั้งคนคงไม่สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปได้หรอก” คุณชายเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ข้าหิวแล้ว” “โปรดรอสักครู่...บ่าวจะรีบไปยกสำรับอาหารมาเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วจางจงก็รีบเก็บเศษถ้วยเคลือบที่ตกแตกอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบออกจากห้องไป ไม่นานเขาก็ยกสำรับกลับมาวางบนโต๊ะที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของห้อง แล้วมาช่วยประคองคุณชายไปนั่งที่เก้าอี้ อาหารสำรับนั้นมีเพียงข้าวต้มหนึ่งชาม กับผัดผักที่หน้าตาเหมือนผักลวกมากกว่าจานหนึ่ง...แต่เพราะความหิว จ้าวชิงเฟิงจึงกินอย่างไม่เกี่ยงงอน ทว่าเพิ่งกินไปได้เพียงแค่คำเดียว บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งจากตำหนักใหญ่ก็มาถ่ายทอดคำสั่ง “ท่านอ๋องมีคำสั่งให้จ้าวอี๋เหนียง(อี๋เหนียง=คำเรียกอนุภรรยา,อนุชายา จ้าว=แซ่ )ไปที่ตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้” “รอสักครู่...ขอเวลาให้ข้าแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” จ้าวชิงเฟิงเอ่ย “รอ เรอ อะไรกัน ท่านอ๋องสั่งให้ไปเดี๋ยวนี้ ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้” เสียงบ่าวขุ่นเขียวไม่มีความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อยนิด แถมชักสีหน้าบึ้งตึง “รีบตามข้ามา” จางจงรีบคว้าเสื้อตัวนอกมาคลุมให้แก่จ้าวชิงเฟิง แล้วประคองคุณช
“ท่านหมอ ท่านหมอ ได้โปรดช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อยด้วย หากท่านช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อย ชาติหน้าข้าน้อยยินดีขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ตอบแทนบุญคุณท่าน” จางจงกล่าวพลาง ร่ำไห้พลาง จนคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ “ข้าเป็นหมอย่อมต้องช่วยคนป่วยอย่างเต็มความสามารถ เจ้าก็อย่าเอาแต่ร้องไห้เลย จงเล่าอาการของคุณชายของเจ้ามาให้ละเอียด” จางจงยกมือปาดน้ำตาลวกๆ “หลังจากถูกโบย คุณชายก็หมดสติไปสามวัน เมื่อสักครู่ใหญ่เพิ่งฟื้นคืนสติมา...แต่...แต่ทว่าคุณชายจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย ทั้งยังจำข้าน้อยและจำตนเองไม่ได้อีกด้วย...เห็นคุณชายบอกว่าเจ็บหัวมาก...” “อืม” ท่านหมอพยักหน้า แล้วหันไปกล่าวกับชินอ๋องว่า “จ้าวอี๋เหนียงบาดเจ็บที่ศีรษะ ข้าน้อยจะใช้วิธีฝังเข็มร่วมกับการให้ดื่มยา แต่ตัวยาบางตัวนั้นหายากยิ่งและล้ำค่ามาก...” ท่านหมอหยุดกล่าวต่อ ด้วยความหมายว่า...ตัวยาบางตัวนั้นไม่อาจซื้อหาได้ทั่วไป ถ้าเทียบกับชีวิตของอนุผู้หนึ่ง น้ำหนักในใจของชินอ๋องจะยินยอมสิ้นเปลืองหรือไม่? “ถ้าในจวนของข้ามี ข้าอนุญาตให้เอามาใช้ได้” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ “แต่ถ้าในจวนของข้าไม่มี ต้อ
สีหน้าชินอ๋องเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง และเอ่ยกับองครักษ์คนสนิทที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ว่า “ซือหมิง ส่งคนไปนำศพของนางมาเดี๋ยวนี้” “ขอรับ” ซือหมิงน้อมคำนับรับคำสั่ง พระชายาตู้รีบแย้งขึ้น “ศพของนางฝังไปแล้วเจ้าค่ะ” “ฝังแล้วก็ขุดขึ้นมา” เสียงเฉียบขาดของชินอ๋องดังสวนขึ้นทันที ซือหมิงคำนับอีกครั้งแล้วก้าวยาวๆ จากไป พระชายาขมวดคิ้วเรียวงามนิดหนึ่งมองตามหลังองครักษ์ขวาซือหมิง แล้วหันกลับมาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานให้ชินอ๋อง “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองใจไปเลยเจ้าค่ะ แม้จ้าวอี๋เหนียงจะรูปงามนัก ก็ใช่ว่าจะหาบุรุษรูปงามเช่นนี้ไม่ได้อีกเสียเมื่อไหร่ ไว้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ ชินอ๋องก็ขัดขึ้นว่า “ไม่ต้อง...เจ้าก็อยู่เป็นพระชายาของเจ้าไปดีๆ ไม่ต้องสรรหาบุรุษหรือสตรีมาให้ข้าอีก แล้วนี่เจ้าหมดธุระแล้วใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็กลับตำหนักไปเถอะ” พระชายาลอบกำมือแน่นอย่างกรุ่นโกรธ แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า ได้แต่หลุบตาลงพลางแย้มยิ้มรับคำ “เจ้าค่ะ...ท่านอ๋องก็พักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ” แล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งยอบกายคารว
คิดไม่ถึงว่าจ้าวชิงเฟิงจะเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ที่เขาติดค้างน้ำใจมาห้าปี เป็นองค์ชายคนเดียวของแคว้นเป่ยที่เขาไม่คิดจะทำร้าย แต่เขาก็ได้ทำร้ายจ้าวชิงเฟิงไปนานถึงสามปีแล้ว แรกที่แคว้นเป่ยส่งบรรณาการมา และฮ่องเต้พระราชทานองค์ชายแคว้นเป่ยที่เป็นหนึ่งในของบรรณาการให้เขา เขาคิดแต่จะเหยียดหยามอีกฝ่าย จึงแต่งตั้งให้เป็นอนุชายา และจงใจสมรสพระชายาในวันเดียวกัน เขาสร้างเรื่องให้พระชายาชิงชังรังเกียจจ้าวชิงเฟิงโดยการไม่เข้าห้องหอกับพระชายาในคืนวันวิวาห์ และปล่อยข่าวว่าเขาไปหาจ้าวอี๋เหนียงแทน แต่ความเป็นจริงเขาไปนอนอยู่ที่ห้องหนังสือต่างหาก พอเช้ารุ่งขึ้นเขาก็กลับไปค่ายทหาร ทิ้งปัญหาให้จ้าวชิงเฟิงถูกพระชายาเกลียดชังรังแก เพราะรู้ดีว่าสตรีนั้นมีความริษยามากมายขนาดไหน! จากนั้นครั้นการศึกปะทุขึ้นใหม่ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสงครามจนตีแคว้นเป่ยแตกพ่าย กวาดจับเชลยที่เป็นราชวงศ์ทุกคนมาดูหน้าเพื่อค้นหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่เขาจะพบได้อย่างไรในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นถูกทรมานอยู่ที่จวนของเขาเอง! .......... “ชุนฮัวกับชิวฮัวทำงานหนักอยู่ที่เรือนข้าทาส น้อยค
พอดีเหล่าคนรับใช้พากันเดินเข้ามาในห้อง จางจงถืออ่างน้ำอุ่นมาจะช่วยล้างหน้า ชินอ๋องก็เป็นคนชิงบิดผ้าหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้คุณชายเสียเอง เสี่ยวหงถือโถน้ำสำหรับแปรงฟันบ้วนปากเข้ามาปรนนิบัติเป็นรายที่สอง ตามด้วยเสี่ยวชุ่ยที่ถือถาดวางชามรังนกตุ๋นโสมเข้ามาให้คุณชายกินบนเตียงนอน ชินอ๋องก็ถือชามรังนกตุ๋นโสมมาจากถาดแล้วใช้ช้อนตักรังนกตุ๋นโสมเป่าให้คลายความร้อนก่อนจะจ่อมาถึงปากคุณชาย คุณชายรีบดึงช้อนกับชามรังนกตุ๋นโสมจากมือชินอ๋องไป “ข้าน้อยกินเองได้ขอรับ” แล้วค่อยๆ ตักรังนกตุ๋นโสมกินช้าๆ ชินอ๋องก็ไม่คัดค้าน เพียงใช้ผ้าเช็ดปากนุ่มๆ ค่อยซับปากให้ ทำให้เหล่าบ่าวและสาวใช้ในห้องพากันก้มหน้ายิ้มขวยเขิน แต่คุณชายรู้สึกแปลกใจ...ท่าทางเอาใจใส่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? มันไม่น่าจะเป็นการชดเชยที่เขาถูกใส่ร้าย มันเหมือนสามีปฏิบัติต่อภรรยาอันเป็นที่รัก ม่ายยยย...มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น! คิดถึงตรงนี้คุณชายพลันมืออ่อนหมดแรงทำช้อนตกลงไปในชามรังนกตุ๋นโสม ชินอ๋องตาไวมือไวเพราะเป็นผู้มีวรยุทธ จึงรับชามรังนกตุ๋นโสมที่หล่นจากมือคุณชายไว้ไ
“ฟูเหรินเจ้าขา” เสี่ยวหงทำเสียงออดอ้อน “ถึงจะไม่หิว ก็ควรจะกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้ว พ่อครัวที่ทำอาหารมาจะเสียใจได้” คุณชายมองอาหารโต๊ะนั้น มันอุดมสมบูรณ์มากราวกับจะให้คนกินเก่งๆ ช่วยกันกินซักสิบคนเห็นจะได้ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อย่างไรก็ช่วยชิมสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสี่ยวชุ่ยอ้อนวอนอีกแรง “นี่มันมากเกินไป” คุณชายนั่งลงเพราะขัดต่อเสียงเกลี้ยกล่อมของสองสาวไม่ได้ ตะเกียบหยกขาวถูกส่งถึงมือ “ฟูเหรินก็กินของที่ถูกปากก็พอเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยยิ้มแป้นเมื่อเห็นคุณชายเริ่มกินอาหาร แต่คุณชายก็กินได้ไม่มากนัก กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม กินกับไปเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม เขามองอาหารที่เหลืออย่างนึกเสียดายของดีๆ “ที่เหลือนี่...” “ทางห้องครัวต้องเททิ้งเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรินน้ำชาส่งให้คุณชายดื่ม “แจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้หรือไม่?” คุณชายถาม “ถ้าเป็นความประสงค์ของฟูเหรินย่อมได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม คุณชายจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็แจกจ่ายอาหารที่เหลือนี่ให้บ่าวไพร่ไปกินกันเถิด ข้าเสียดายของดีๆ ทั้งนั้น
ชินอ๋องมองจ้าวชิงเฟิงที่กำลังลูบขนลูกแมวด้วยความอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋ไม่ซนน้า สมุดบัญชีพวกนี้เป็นของสำคัญ เจ้าจะมาตะกุยเล่นไม่ได้รู้หรือไม่?” “เมี้ยว...” ลูกแมวถูหัวกับมือเรียวงาม ทำให้ท่านอ๋องนึกอยากจะหิ้วคอเจ้าแมวน้อยโยนออกไปไกลๆ เสียเดี๋ยวนั้น แต่ต้องปั้นสีหน้าว่าเอ็นดู “เจ้าตัวน้อยนี่ชื่อเสี่ยวไป๋หรือ? ฟูเหริน” “ขอรับ” ชินอ๋องนึกเข่นเขี้ยวในใจ... กับสามี...ถามตั้งมากมาย ตอบแค่คำเดียว แต่กับแมว...ทั้งแย้มยิ้ม ทั้งพูดจาเสียงอ่อนหวาน ซ้ำยังลูบหัวลูบตัวไปทั่ว ช่างสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดเจน! ชินอ๋องใช้สองนิ้วคีบหนังหลังคอแมวหิ้วออกไปให้เสี่ยวหง “เจ้าพามันไปกินอาหาร” “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรับคำ รีบอุ้มแมวออกไปโดยไว เพราะเห็นสายตาริษยาจากดวงตาคมกริบ “เอาน้ำมาให้พระชายาล้างมือ” “ขอรับ” เสี่ยวหยวนจื่อกับจางจงที่เตรียมน้ำพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเห็นชินอ๋องเข้ามาในห้อง ประจวบกับใกล้เวลาอาหารเย็น ก็รีบยกน้ำมาให้เจ้านายทั้งสองล้างมือ หลังจากล้า
ชินอ๋องไปยังที่คุมขังของพรรคยาจก ที่ซึ่งจับกุมคุมขังอ๋องห้า สภาพอ๋องห้าเวลานี้ถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้แน่นหนา ซ้ำยังบาดเจ็บบอบช้ำอย่างหนัก แต่ยังรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนด่า “หลี่เฉิง ไอ้สุนัขบ้า...อย่าคิดว่าตัวเองมีความสามารถยกมือบังฟ้าได้หรือ สักวันความเลวทรามที่เจ้ากระทำ จะต้องถูกน้องชิงเฟิงรู้เข้าจนได้” “รู้แล้วจะเป็นไร...” ชินอ๋องตอบ “เขาเป็นฟูเหรินของข้า จะอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกันกับข้า...คนนอกอย่างเจ้าอย่าฝันว่าจะได้แตะต้องเขา” “หึ...แตะต้องหรือ? ข้าทำมากกว่าแตะต้องมาแล้ว รสชาติของน้องชิงเฟิงช่างล้ำเลิศยิ่งกว่าบุรุษหรือสตรีใดใดที่ข้าเคยได้ลิ้มลองมาเป็นไหนๆ...ฮะๆฮ่าๆๆๆ” อ๋องห้าหัวเราะเสียงดัง “คำกล่าวที่ว่า...คนใกล้ตายไม่โกหก...ใช้ไม่ได้กับเจ้าจริงๆ” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่เชื่อหรือ?” อ๋องห้ายิ้มเยาะ “ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามน้องชิงเฟิงดูสิ...แต่ข้าว่า น้องชิงเฟิงก็คงปฏิเสธเพราะเกรงกลัวเจ้า” “ข้าไม่โง่ขนาดไปถามเรื่องนี้กับฟูเหรินหรอก” “เพราะเจ้ากลัวจะรับความจริงไม่ได้ใช่หรือไม่?” ชินอ๋อง
พอมีงานต้องทำ...จ้าวชิงเฟิงก็ดูไม่เซื่องซึมมากเท่าเก่า เขาดูรายรับของชินอ๋องที่ร่วมลงทุนกับประมุขพรรคยาจกแล้วหลุดปากว่า “ท่านอ๋อง ท่านรวยมากเลยขอรับ” “เจ้าพูดผิดแล้ว ฟูเหริน” ชินอ๋องแย้ง “ข้าพูดผิดหรือ?” จ้าวชิงเฟิงมีสีหน้างงงันเล็กน้อย “ใช่...เจ้าต้องพูดเสียใหม่ว่า พวกเราสองสามีภรรยารวยมากเลยต่างหาก” ว่าแล้วชินอ๋องก็จับมือเรียวงามมาลูบไล้เบาๆ จ้าวชิงเฟิงค่อยๆ ดึงมือกลับ ชินอ๋องก็ไม่แข็งขืน “เงินของข้าก็คือเงินของเจ้า เจ้าสามารถนำมาใช้ได้ตามใจชอบ” “.....” “อย่างเช่น...เจ้าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ อยากจะใช้จ่ายอะไรก็ใช้” จ้าวชิงเฟิงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่มีอะไรจะต้องใช้เงิน...เสื้อผ้า ท่านอ๋องก็ให้ อาหาร ท่านอ๋องก็ให้ ยังมีเครื่องประดับอีกจำนวนมาก” ก๊อกๆๆ... เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น แล้วเสียงแจ้วๆ ของเสี่ยวชุ่ยก็ดังตามมา “ถึงเวลากินยาแล้วเจ้าค่ะ พระชายา” “เข้ามาได้” ชินอ๋องเป็นคนเอ่ยอนุญาต เสี่ยวชุ่ยจึงเปิดประตูห้อง ถือถาดวางชามบรรจุยาเข
ระหว่างดื่มกินใกล้เสร็จ...องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยก็เข้ามารายงานตัวในสภาพมอมแมมเช่นเดียวกันกับชินอ๋อง เพราะจนถึงบัดนี้ชินอ๋องยังคงไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโกนหนวดเครา “คารวะ ท่านอ๋อง” “ไม่ต้องมากพิธี” พอได้รับอนุญาต...องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยก็ยืดตัวตรง พร้อมกับล้วงเอากล่องไม้ใบหนึ่งออกมาส่งให้ชินอ๋องด้วยสองมือ “นี่อะไร?” ชินอ๋องถาม “ไม่ทราบขอรับ” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยตอบ “ข้าน้อยเห็นวางอยู่ในช่องลับของคลังสมบัติ ก็คิดว่าน่าจะเป็นของล้ำค่าจึงหยิบฉวยเอามาด้วย แต่ข้าน้อยอ่านตัวหนังสือบนกล่องไม่ออกขอรับ” ชินอ๋องมองกล่องในมืออีกครั้ง เห็นกล่องทำจากไม้เนื้อดี สลักอักษรและลงทองด้วยภาษาซีเซี่ย ซึ่งท่านอ๋องอ่านออก “ยาเม็ด งามเทียบเซียน” “ยานี้เป็นสูตรลับของแคว้นซีเซี่ย” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ซีเซี่ยจะประทานให้แต่สนมคนโปรดเท่านั้น และจะประทานเพียงคนละเม็ดเดียว เป็นยาที่เหมาะกับสตรี ใช้บำรุงความงาม ว่ากันว่า...ยานี้จะทำให้คนที่กินเข้าไปงดงามเทียบได้กับเทพเซียน” “ถ้าใช้ได้กับสตรีเท่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า” ช
“ผลโลหิตมังกร ที่จริงเป็นผลไม้พิษชนิดหนึ่ง แต่สามารถใช้หญ้าหยกน้ำค้างเป็นตัวปรับสมดุลให้พิษกลายเป็นคุณขึ้นมาได้” หลวงจีนลืมชื่ออธิบาย “หญ้าหยกน้ำค้าง อาตมามีอยู่ แต่ผลโลหิตมังกรไม่มี ประสกจึงต้องไปหามา” “ต้าซือมีเบาะแสของผลโลหิตมังกรหรือไม่?” ชินอ๋องถาม “อาตมาฟังมาว่าในวังหลวงของซีเซี่ยมีอยู่ผลหนึ่ง” “ได้...ข้าจะไปนำมันมา” น้ำเสียงชินอ๋องหนักแน่น “มีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น” หลวงจีนลืมชื่อกล่าวต่อ “หากเลยเวลาไป โรคของพระชายาจะไม่หายขาด แม้รักษาชีวิตไว้ได้ ก็จะเป็นคนขี้โรค” “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” “ท่านอ๋องจะไปด้วยตัวเองหรือ?” ประมุขพรรคยาจกถามขึ้น “ใช่” ชินอ๋องรับคำ “ต้าซือช่วยบอกลักษณะที่สังเกตเห็นได้ง่ายของผลโลหิตมังกรให้ข้าด้วย” “ผลมีทรงกลม ขนาดเท่ากำปั้น เปลือกเป็นสีดำสนิทที่มีริ้วเล็กๆสีแดงเลือด” หลวงจีนลืมชื่ออธิบาย “ระยะทางไปกลับในเวลาสิบวัน จะต้องใช้ม้าเร็วและเปลี่ยนม้าเร็วไปกลับตลอดทาง ถึงจะทันเวลา” ประมุขพรรคยาจกกล่าว พลางล้วงป้ายหยกจากอกเสื้อยื่นให้ชินอ๋อง “ท่านนำป้ายหยกนี้ไป คนของพรรคยาจกจะให้ความสะด
เมื่อจ้าวเชิงเฟิงจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองหลวงเป่ยเป็นระยะเวลานาน ชินอ๋องก็สั่งให้ซือหมิงกลับต้าหนานไปพาตัวจางจง เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย และเสี่ยวหยวนจื่อ มายังเมืองหลวงเป่ยอย่างไว เพื่อมาปรนนิบัติรับใช้จ้าวชิงเฟิง โดยหวังว่าหากจ้าวชิงเฟิงฟื้นขึ้นมาแล้วได้พบกับคนสนิทจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น ส่วนเรื่องป้อนยาคนหมดสติด้วยวิธีปากต่อปาก ชินอ๋องรับหน้าที่นี้เอง รวมทั้งการป้อนอาหารที่เป็นน้ำแกงตุ๋นและอาหารอ่อนอย่างโจ๊กลูกเดือย โจ๊กรากบัว น้ำแกงปลา น้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นยา เป็นต้น สองวันต่อมา...ประมุขพรรคยาจกลอบเข้ามาพบชินอ๋องที่เรือนรับรอง ประมุขพรรคยาจก มีนามว่าเฉินห้าว อายุสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ท่วงท่าน่าเกรงขาม ดวงหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วดกหนาชี้ชัน ดวงตาดุดัน แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน “ท่านอ๋อง” “ประมุขเฉิน” ทั้งสองทักทายกันโดยการประสานมือให้แก่กัน ก่อนจะพากันนั่งลงที่โต๊ะซึ่งจัดอยู่ในห้องนอน “เพราะฟูเหรินของข้าล้มป่วยจึงต้องต้อนรับท่านในห้องนอนเช่นนี้” ชินอ๋องกล่าว “พระชายาล้มป่วยด้วยสาเหตุใด?” ประมุขพรรคยาจกถาม
ชินอ๋องรีบโอบกอดร่างอ่อนระทวยของจ้าวชิงเฟิงเอาไว้ “ฟูเหรินๆ...เจ้าอย่าได้เป็นอะไรไปนะ” ร้องอย่างตกใจแล้วช้อนร่างไร้สติขึ้นอุ้ม พาไปขึ้นรถม้ากลับเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว พอถึงเรือนรับรอง ก็อุ้มจ้าวชิงเฟิงไปยังห้องนอน พลางตะโกนสั่งเสียงดังก้อง “รีบตามหมอมาโดยด่วน” ที่จวนของลู่หาน... ในห้องนอนของคุณหนูลู่ซี “ท่านแม่...ข้า...ข้า...ถอนหมั้นองค์ชายแล้ว...ฮือๆๆๆ” ลู่ซีซบอกนางหลิ่วซื่อผู้เป็นมารดาร้องไห้กระซิก นางหลิ่วซื่อลูบหลังปลอบบุตรสาวว่า “ซีซี ลูกของแม่ทำถูกต้องแล้ว...องค์ชายจ้าวชิงเฟิงถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการที่ต้าหนาน ยังจะมาผูกมัดลูกของแม่เอาไว้อีก ช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก เขารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้กลับมา และนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา แต่กลับยังตกลงหมั้นหมายกันเองกับลูก ทำให้ลูกดื้อรั้น ไม่ยอมรับหมั้นคุณชายคนอื่นๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวหรือ?” “ท่านแม่...” ลู่ซีเอ่ยได้เพียงแค่นั้น นางหลิ่วซื่อก็ร่ายยาวแทรกขึ้นทันที “หากองค์ชายเสียชีวิตที่ต้าหนาน ลูกแม่มิต้องกลายเป็นหม้
กลางดึก...เสียงผิวปากหนึ่งสั้นสองยาวดังมาจากห้องพักของชินอ๋อง ทันใด...ชายฉกรรจ์ชุดดำที่กลืนกับความมืดก็พลิ้วกายเข้าไปในห้องพัก คุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมค้อมคำนับ “คารวะชินอ๋อง” “เรื่องที่สั่งให้จัดการเป็นอย่างไรบ้าง?” “ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับ... อ๋องห้า ขุนพลติง และพรรคพวกซุ่มโจมตีขบวนเดินทางปลอมของท่านอ๋องกับพระชายา ถูกกองทัพที่คอยคุ้มกันตีแตกพ่าย แต่อ๋องห้ากับขุนพลติงหนีไปได้ ทางเมืองหลวงเป่ย คุณหนูลู่ซีหมั้นหมายกับคุณชายหานอวี้ บุตรชายคนรองของใต้เท้าหานกงเรียบร้อยแล้วขอรับ” “ดี...” ชินอ๋องสั่ง “ให้คนของพวกเราตามล่าอ๋องห้ากับขุนพลติง...จับเป็นหรือจับตายก็ได้ทั้งนั้น! และค้นหาจดหมายที่ฮ่องเต้ส่งให้แก่ขุนพลติงเมื่อห้าปีก่อนมาด้วย” “ขอรับ” “เจ้าไปได้แล้ว” ชายฉกรรจ์ในชุดดำพลิ้วตัวจากไปอย่างรวดเร็ว จ้าวชิงเฟิงลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า ก็สบเข้ากับดวงตาคมกริบของชินอ๋อง เพราะต่างนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เขาจำได้ว่าเมื่อคืนได้ขอแยกห้องนอนกับชินอ๋อง แต่ชินอ๋องกล่าวว่า “อย่า
“ต้าซือมีธุระอันใดกับพวกข้าหรือ?” (ต้าซือ...คำยกย่องพระภิกษุ เทียบได้กับคำว่า พระคุณเจ้า) ชินอ๋องถามเสียงนิ่งเรียบ “หามิได้...อาตมาเพียงเห็นประสกทั้งสองมีลักษณะโดดเด่น จึงอดทักทายมิได้” “อ้อ” “ประสกมีลักษณะเข้มแข็ง สูงส่ง ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงอำนาจ ลักษณะมังกรของประสกเด่นชัด...วาสนาจะได้ครอบครองแผ่นดิน” “ต้าซือกล่าวเรื่องอันตรายเช่นนี้ มิกลัวจะมีภัยตามมาหรือ?” ชินอ๋องกล่าวหน้าตาย “อาตมาเพียงพูดกับประสก หากมีอันตรายย่อมต้องมาจากประสก” ภิกษุชราหน้าไม่เปลี่ยนสี หันมามองจ้าวชิงเฟิง “ช่างน่าเสียดายประสกท่านนี้นัก เกิดเป็นบุรุษแต่มีลักษณะหงส์...น่าเสียดาย...น่าเสียดาย...” แล้วภิกษุชราก็เดินจากไป** ริมทางสายเล็กมีร้านขายอาหารร้านหนึ่งสร้างแบบเพิงหญ้าที่พอจะแวะกินอาหารได้...อาหารที่ขายก็มีเพียงบะหมี่เนื้อไก่กับแผ่นแป้งย่าง โต๊ะเก้าอี้ที่ต่อขึ้นอย่างง่ายๆ ตั้งไว้ริมทางไม่มีฝาผนังกั้น มีโต๊ะอยู่สามโต๊ะเก้าอี้หกตัวเป็นเก้าอี้แบบม้านั่งไร้พนักพิง ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงเลือกนั่ง