ลู่ซีแต่งกายอย่างสตรีที่มีสามีแล้ว นางสวมใส่ชุดเสื้อผ้าสีฟ้าสดใส “ซีซี...แม่นางลู่” เสียงของจ้าวชิงเฟิงเหมือนสายลมล่องลอย ชินอ๋องเข้าใกล้จนชิดร่างบอบบางเอามือโอบเขาเอาไว้แสดงความเป็นเจ้าของ ลู่ซีค่อยได้สติ ยอบกายถอนสายบัวต่อชินอ๋อง “คารวะชินอ๋องเจ้าค่ะ” แล้วยอบกายถอนสายบัวต่อจ้าวชิงเฟิง “คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี ฟูเหรินหานลู่ซื่อ(ภรรยาของคนแซ่หานมาจากตระกูลลู่)” ซึ่งเป็นการบอกต่อจ้าวชิงเฟิงกลายๆ ว่า อีกฝ่ายได้แต่งงานแล้ว “ซีซี ทำไมเจ้าไม่รอข้า?” เสียงชายหนุ่มร้องเรียกไม่ไกลนัก แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาใกล้นาง จึงเห็นคนที่ยืนสนทนากับนางอีกสอง หานอวี้รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะชินอ๋องและพระชายาขอรับ” “เจ้าสบายดี?” “ด้วยบารมีของชินอ๋องและพระชายา ข้าน้อยสบายดีขอรับ” “เจ้ากับภรรยามาเดินเที่ยวชมโคมไฟหรือ?” “ขอรับ...ซีซีคิดถึงบ้าน ข้าน้อยจึงพานางมาเยี่ยมบ้าน โชคดีที่อำเภอสุ่ยไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก มิเช่นนั้นถ้าการเดินทางลำบาก ข้าคงมิกล้
ที่ห้องนอน... จ้าวชิงเฟิงให้เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย และเสี่ยวหยวนจื่อ ออกไปจากห้อง เหลือไว้เพียงจางจงคนเดียว เมื่ออยู่กันตามลำพัง...จ้าวชิงเฟิงก็เอาตั๋วเงินยี่สิบใบยื่นส่งให้จางจง จางจงไม่รับไปในทันที แต่ถามว่า “พระชายา...นี่อะไรขอรับ?” “ตั๋วเงินยี่สิบใบ ใบละห้าหมื่นตำลึงทอง รวมทั้งหมดหนึ่งล้านตำลึงทอง...ข้าให้เจ้า เจ้าเอาไปซื้อบ้าน ซื้อคนรับใช้ และซื้อลูกชายสักคน แล้วไปอยู่ในที่ที่ท่านอ๋องไม่รู้ และไม่ต้องติดต่อหรือส่งข่าวมาให้ข้ารู้ด้วย” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเรียบๆ “เจ้าไปใช้ชีวิตที่มีความสุข และมีอิสระเถอะ!” “พระชายา...ท่านไม่ต้องการบ่าวแล้วหรือขอรับ?” จางจงน้ำตาไหลนองหน้า “ในชีวิตนี้ คนที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเจ้า...จางจง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ........... “ข้าน้อยขอร้องท่านอ๋อง...” ตู้เสียงกล่าว เมื่อไม่มีคนอื่น นอกจากเขากับชินอ๋องอยู่ในห้องรับรองเพียงลำพัง “โปรดช่วยถวายฎีกาขอให้ฝ่าบาทปล่อยตัวบุตรสาวคนโตของข้าน้อยด้วย” “ท่านใช้สิ่งใดมาขอร้องข้าล่ะ?” ชินอ
“ฟูเหรินพูดอะไรกับเจ้าบ้าง...จงบอกข้ามาให้หมด” ชินอ๋องสั่ง จางจงจึงเล่าเรื่องที่สนทนากับจ้าวชิงเฟิงให้ชินอ๋องฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเสริมท้ายว่า “บ่าวไม่ต้องการเงิน บ่าวไม่ต้องการอิสระ บ่าวไม่ต้องการสร้างครอบครัว บ่าวเพียงต้องการอยู่รับใช้พระชายาเท่านั้น” “ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าไปจากฟูเหริน” ชินอ๋องเอ่ย “เพราะถ้าไม่มีเจ้าซึ่งเขาถือว่าเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว เขาจะไร้ที่พึ่งพิงทางใจ ข้า...” หยุดถอนหายใจเฮือก “เกรงว่า เขาจะคิดสั้น!” “หา...” จางจงอุทาน สีหน้าตกใจ “แล้ว...นี่...นี่บ่าวจะทำอย่างไรดี!” สังเกตดูจากปฏิกิริยาของจางจง...ชินอ๋องได้แต่เอ่ยตรงๆ ว่า “ดูท่า...ไม่เพียงแต่ฟูเหรินนับเจ้าเป็นญาติเพียงคนเดียว เจ้าเองก็นับฟูเหรินเป็นญาติเพียงคนเดียวเช่นกัน” “บ่าวมิกล้าขอรับ...พระชายาสูงส่ง ส่วนบ่าวต่ำต้อย เพียงแต่บ่าวภักดีต่อพระชายามากกว่าชีวิตของตนเอง” “จะรักเหมือนบุตร หรือจะภักดีเป็นนาย ก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับเจ้ากับฟูเหริน...เจ้าคือที่พึ่งทางใจของเขา และเขาก็คือที่พึ่งทางใจของเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจะแยกจากกันมิได้...
“จางจง...” เสียงจ้าวชิงเฟิงสั่นสะท้าน แล้วหันไปมองชินอ๋องด้วยนัยน์ตาเคืองขุ่น “ท่านอ๋อง ท่านทำอะไรเขา?” “เขาลอบออกไปข้างนอกยามค่ำมืดดึกดื่น พกเงินไปด้วยจำนวนมาก ถามอะไรก็ไม่ตอบ จึงถูกโบย” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ “เงินนั่นข้าเป็นคนให้เขาเอง” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยแล้วจะลุกไปดูบ่าวคนสนิท แต่ถูกชินอ๋องคว้าแขนดึงเอาไว้ จนต้องนั่งอยู่กับที่ “แล้วทำไมต้องลอบออกไปดึกๆ ดื่นๆ?” จ้าวชิงเฟิงเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงดังว่า “ข้าเป็นคนให้เขาหนีไปเอง” “ทำไมต้องหนี...อยู่กับข้าไม่ดีตรงไหน?” ชินอ๋องเริ่มมีโมโห จับแขนอีกฝ่ายแน่นขึ้น จนจ้าวชิงเฟิงรู้สึกเจ็บ แต่ขบริมฝีปากเอาไว้ ไม่ยอมส่งเสียงร้อง “ฟูเหริน...เจ้าจะทำอะไรกันแน่?” “ถ้าข้ามั่นใจว่าจางจงปลอดภัยแล้ว ข้าเองก็จะหนีไป” ประโยคนี้เหมือนแตะถูกเกล็ดย้อนของมังกร(คนจีนเชื่อว่ามังกรมีเกล็ดย้อนอยู่เกล็ดหนึ่ง เป็นจุดที่ถ้าใครไปแตะถูก จะทำให้มังกรพิโรธ)...ชินอ๋องเกรี้ยวโกรธจนสั่งเสียงดังว่า “โบยบ่าวรับใช้ของฟูเหรินทั้งสี่คนเดี๋ยวนี้” “หยุด...” จ้าวชิงเฟิงตะเบ
“เจ็บมากหรือไม่?” จ้าวชิงเฟิงที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงนอนเอ่ยถามจางจงเสียงเบา “ไม่ขอรับ” จางจงตอบ พลางมองเจ้านายที่ดวงหน้าซีดเซียว “ใส่ยาหรือยัง?” “ใส่แล้วขอรับ” “ข้าขอโทษ...เจ้าต้องมาเจ็บตัวเพราะข้าแท้ๆ” “พระชายาอย่ากล่าวเช่นนี้” จางจงมาคุกเข่าที่ข้างเตียง “ที่จริง...บ่าวรู้สึกดีใจที่ถูกท่านอ๋องจับได้...มิฉะนั้นแล้วยามนี้บ่าวคงเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะอยู่อย่างไร ยิ่งกว่านั้นจะต้องคิดถึงพระชายาจนคลุ้มคลั่งเป็นแน่...โปรดให้บ่าวอยู่ข้างๆ พระชายาเถิดขอรับ แม้ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร บ่าวก็ไม่กังวล ขอเพียงยามนี้ เวลานี้ ได้อยู่รับใช้พระชายา บ่าวก็มีความสุขแล้ว...บ่าวเป็นเหมือนนกน้อยที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรงมาโดยตลอด ปล่อยบ่าวออกจากกรงไป บ่าวก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไร...ข้างนอกกรงนั้นมีอันตรายมากมายรออยู่ ทั้งจากโจรผู้ร้าย ทั้งไม่มีคนรู้จัก” “ข้าลืมไปว่า...ข้างนอกก็อยู่ยากเช่นกัน!” จ้าวชิงเฟิงกล่าวอย่างปลงๆ “ช่างมันเถอะ...พวกเราสองคนก็อยู่ในกรงของชินอ๋องต่อไป จนกว่าจะตาย” “พระชายาเจ็บมากหรือไม่ขอรับ?” จางจงเปล
จุดประสงค์ของประมุขพรรคยาจกที่มาพบชินอ๋องระหว่างทาง ก่อนเข้าสู่เมืองหลวงต้าหนาน ก็เพื่อพาชินอ๋องและเซียงเซียงไปพบกับอาหลี ซึ่งยังรักษาตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในชนบท จ้าวชิงเฟิงขอติดตามไปด้วย ซึ่งชินอ๋องก็ไม่ขัดใจ... อาหลีมีสภาพที่น่าสงสารมาก...หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่มุมในสุดของเตียง ราวกับจะแทรกร่างเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในผนังห้องเสียให้ได้ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ปากก็พร่ำพูดแต่คำว่า “อย่าเข้ามาๆๆๆ...” “อาหลี” เซียงเซียงเรียกน้องชาย “นี่พี่เอง” พลางเดินเข้าไปใกล้ แต่อาหลียกมือขึ้นปัดป่าย พลางร่ำร้อง “กลัวแล้วๆๆๆ...” เซียงเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประมุขเฉินจึงเข้าไปสกัดจุดหลับของอาหลี แล้วจัดให้เขานอนราบบนเตียงดีๆ จ้าวชิงเฟิงถึงได้เห็นอาหลีชัดเจน...เขาหน้าตาสะสวยละม้ายเหมือนเซียงเซียงราวกับคนคนเดียวกัน! เซียงเซียงกุมมือน้องชายพลางร้องไห้พลาง “เพราะอย่างนี้แหละ ข้าถึงต้องไปลากตัวหมอเทวดามา” ประมุขเฉินกล่าวขึ้น หลวงจีนลืมชื่อเข้าไปตรวจดูอาการของอาหลีสักพัก ก็บอก
อีกสามวันต่อมา... ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับเมืองหลวงต้าหนานของชินอ๋องกับพระชายาในพระราชวัง เป็นงานเลี้ยงที่มีเหล่าเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ตลอดจนฝ่ายในเข้าร่วมงานด้วย พอชินอ๋องพาจ้าวชิงเฟิงเข้างานมา...สายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่พระชายา! เสียงซุบซิบลอบวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาเกิดขึ้น “อายุเท่าไหร่นะ?” “ได้ยินว่าปีนี้อายุสิบแปด” “ข้าเคยมีอนุชายคนนึง แรกได้มาอายุสิบสาม ก็สนุกสมใจดี แต่พออายุมากขึ้น ก็หยาบกร้านจนไม่น่าพิสมัยแล้ว ข้าจึงไล่เขาไป” “อายุสิบแปด อีกไม่นานก็กลายเป็นหนุ่มเต็มตัว ถึงเวลานั้นชินอ๋องจะยังรักยังหลงหัวปักหัวปำอยู่อีกหรือไม่ก็ไม่รู้?” “ถึงเวลานั้นก็เวลานั้นสิ แต่เวลานี้ท่านดูสิ ช่างงดงามราวเทพเซียน หากได้ร่วมเตียงสักครั้งคงมีความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์” “ได้ยินว่า วันที่ชินอ๋องพาพระชายากลับมานั้น ชาวบ้านชาวเมืองพากันมาเบียดเสียดกันเพื่อดูพระชายาเต็มไปหมด” “เป็นใครก็อยากเห็น บุรุษอะไรกัน ทำให้เจ้าบ่าวทิ้งเจ้าสาวไปกลางงานแต่ง” “ว่าก็ว่าเถอะ ถูกอ๋องห้าลักพาตัวไปอย่า
หลังจากกลับถึงจวน... ชินอ๋องดูแลจ้าวชิงเฟิงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน เขาเองก็อาบน้ำพร้อมกัน ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน...จ้าวชิงเฟิงถึงจะไม่อยากอาบน้ำพร้อมกับชินอ๋อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะยังใช้แขนขวาไม่ถนัด พอขึ้นเตียงนอน...ชินอ๋องก็ถามว่า “ชอบหยกที่ฮ่องเต้ประทานให้หรือไม่?” “ชอบสิ สวยมาก” จ้าวชิงเฟิงตอบตามจริง ไม่ได้คิดอะไรมาก “ฟูเหริน...เจ้ารู้หรือไม่ว่าหยกหงส์แดงชิ้นนั้นหมายถึงอะไร?” จ้าวชิงเฟิงส่ายหน้า “มันหมายถึงตำแหน่งฮองเฮา!” “หา...?” จ้าวชิงเฟิงอุทาน สีหน้าติดจะงงปนสงสัย “แล้วฝ่าบาทประทานให้ข้าทำไม?” “เรื่องนี้กล่าวแล้วซับซ้อน...” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ แต่มือกุมมือจ้าวชิงเฟิงไปลูบไล้ “ประการแรก...เป็นการบอกต่อเจ้าว่า เขาพึงพอใจเจ้ามาก ประการที่สอง...เป็นการทดสอบข้า ว่าเกรงพระบารมีมากน้อยแค่ไหน และหวงแหนเจ้ามากแค่ไหน!” จ้าวชิงเฟิงคิดไม่ถึงว่าหยกชิ้นหนึ่งจะแฝงความนัยเอาไว้มากมายขนาดนี้ “เมื่อกาลก่อน...เสด็จปู่ได้เห็นอนุภรรยาของอำมาตย์เอกคนหนึ่งเข้าแล้วเกิดความพึงพอใจ จึงประ
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ