ฉินซูกางมือออกแล้วพูดว่า “ไม่มี เจ้าไล่ตามคนพวกนั้นไปแล้ว จะเกิดอะไรได้อีกเล่า”ฉงชูโม่อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วจากลักษณะของคนกลุ่มเมื่อครู่ ชัดเจนว่าพวกเขากำลังใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำแต่เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเลยเล่า?ฉินซูบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “นี่ก็เริ่มดึกแล้ว ข้าจะนอนพักสักประเดี๋ยว หากอาหารมาส่งเมื่อไรเจ้าก็ปลุกข้าด้วย”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงไปอย่างที่ว่าเมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็เบะปาก คร้านเกินกว่าจะพูดอะไรสองเค่อ(1)ต่อมา ทางโรงเตี๊ยมก็นำอาหารมาให้เมื่อมองดูอาหารอร่อย ๆ บนโต๊ะ ฉงชูโม่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างนางเรียกฉินซูสองครั้ง จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา ตั้งใจจะกินฉินซูเอ่ยอย่างเมินเฉย “เจ้านี่กล้ากินดีจริง ๆ มิกลัวว่าอาหารจะมีพิษหรือ?”ฉงชูโม่พูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีพิษในอาหาร ถ้ามีพิษหม่อมฉันก็ต้องได้กลิ่นแล้ว”“โอ้? จมูกดีเพียงนั้นเชียว เกิดปีจอหรือ?” “ท่านน่ะสิเกิดปีจอ หม่อมฉันฝึกวิชายุทธที่ทำให้ประสาทรับกลิ่นคมชัด หม่อมฉันสามารถได้กลิ่นสารพิษทุกชนิด”ฉินซูลุกขึ้นนั่งและถามอย่างสงสัยว่า “ดมกลิ่นพิษได้ทุกชนิดจริง ๆ ห
ฉินซูเย้ยหยันและพูดว่า “เจ้าคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องจวิ้นอ๋องติดต่อกับสำนักบู๊ลิ้มเท่านั้นหรือ?”"แล้วมิใช่หรือ?"“หึ เช่นนี้เอง สตรีหน้าอกใหญ่ มักไร้สมอง”ขณะที่ฉินซูพูด ดวงตาของเขาก็เลื่อนลงไปมองที่หน้าอกของฉงชูโม่ฉงชูโม่พูดด้วยท่าทางสับสน “สตรีมีสมองหรือไม่... เกี่ยวอะไรกับขนาดตรงนั้นว่าเล็กหรือใหญ่ด้วยเล่า?”“นี่มิใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ หากจวิ้นอ๋องคนใดต้องการเสริมตำแหน่งของเขา หรืออยากจะก้าวขึ้นสูงกว่านี้ จำเป็นต้องมีอำนาจหนุนหลัง อำนาจนี้อาจมาจากขุนนาง หรือไม่ก็จากสำนักบู๊ลิ้มพวกนี้”“ท่านพูดเช่นนี้ พี่น้องของท่านแต่ละพระองค์ต่างก็ติดต่อกับสำนักในยุทธภพด้วยกันทุกพระองค์ แล้วท่านเล่า? สำนักใดสนับสนุนท่านอยู่?”ฉินซูยักไหล่และพูดว่า "แย่หน่อย ตัวข้าไม่มีสำนักบู๊ลิ้มใดอยู่ในมือเลย""ไม่มีจริงหรือ?"“แน่นอนสิ ทุกคนรู้ดีว่าข้าจะถูกปลดหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า สำนักบู๊ลิ้มใดจะโง่มาคบค้าสมาคมกับข้าที่เป็นองค์รัชทายาทรอวันปลดเล่า? เพี้ยนไปแล้วหรือ?”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วและมิพูดอะไรเพราะนางค้นพบว่า แม้ว่าสิ่งที่ฉินซูพูดจะฟังดูแปลก ๆ แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริงแม้ว่าสำนักบู๊ลิ้มเหล
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของหยางเหอก็ดำมืดลง เขาตวาดว่า “ตาเฒ่าหวัง อย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย อย่าลืมเป้าหมายของเราที่มาครั้งนี้”“ฮ่าฮ่า ก็แค่ฆ่าองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ถูกวางยาพิษแล้ว องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดเราก็ฆ่าเขาได้ง่าย ๆ สาวงามผู้นี้ ข้าขอสนุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ตาเฒ่าหวังมองไปที่ฉงชูโม่ และน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากโดยมิรู้ตัวเขามิได้พบเจอกับคนที่มีความงามเช่นนี้มาหลายปีแล้วเมื่อเห็นมือปีศาจที่ยื่นเข้ามาใกล้ ฉงชูโม่ก็ต้องการพยายามที่จะหลบ แต่ในเวลานี้นางอ่อนแรงเสียจนมิสามารถทำอะไรได้เลยที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ตอนนี้นางรู้สึกว่าหัวหนักเท้าลอย เปลือกตาหนักอึ้ง นึกอยากจะหลับเสียให้ได้นางหวั่นเกรง แต่นางมิรู้ว่าจะทำอย่างไรนางมิเคยคิดเลยว่า ตนซึ่งเป็นถึงแม่ทัพชั้นหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่า ในเมืองหลงเฉิงนางเป็นบุคคลที่เก่งเป็นรองเพียงหัวหน้าโหรหลวง จะตกไปอยู่ในมือของตาแก่ตัณหากลับพวกนี้จากนั้นนางก็กัดฟันและใช้แรงเฮือกสุดท้ายขู่ออกไปว่า “หากเจ้ากล้า… แตะ... ต้องข้า ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะต้องตายโดยไร้ที่ฝัง!"ตาเฒ่าหวังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่าฮ่าฮ่
ฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “แค่เบญจพิษอัมพฤกษ์ก็คิดจะโค่นข้าลงให้ได้แล้ว พวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไป หรือกำลังดูถูกตัวข้าผู้เป็นองค์รัชทายาทกันแน่?”“นี่… เป็นไปได้อย่างไร? ท่านมิเป็นอะไรได้อย่างไร!”ตาเฒ่าหวังแทบมิเชื่อสายตาตัวเองเนื่องจากพิษของคางคกเฒ่า แม้แต่ฉงชูโม่ผู้มีฝีมือสูงส่งก็ยังเอาตัวมิรอด ฉินซูองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้นี้ ควรจะสลบไปนานแล้วสิตอนนี้กลับกัน ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนมิเป็นอะไรเลย แถมดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาอีกด้วย“ข้าอยากจะถามอะไรสักหน่อย คนกลุ่มแรกที่มาก่อนหน้านี้ เป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือไม่?”ดวงตาของตาเฒ่าหวังกะพริบเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พึมพำด้วยท่าทางที่ตระหนักรู้บนใบหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านต้องทานยาแก้พิษสำหรับเบญจพิษอัมพฤกษ์มาล่วงหน้าแน่ ดังนั้นท่านขึงมิเป็นอะไร ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่!”พอพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ฉินซู ไปลงนรกเสีย!”ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ส่งฝ่ามือไปที่ศีรษะของฉินซูเต็มแรง ราวกับกำลังจะทุบหัวของฉินซูให้แตกเป็นเสี่ยง ๆด้วยปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งของเขา แค่ฝ่ามือของเขาก็เพียงพอที่จะผ่าหินทลายทองคำได้แล้วดังนั้นการตบให้ห
ทันทีที่ตาเฒ่าหวังพูดจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสลับแดงร่างกายที่ผอมแห้งของเขาก็เริ่มขยายตัวขึ้น ทำให้เสื้อคลุมบนร่างพองตัวสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่า เขารู้ตัวดีว่าต้องตายแน่ ๆ จึงใช้วิชาลับทำลายตัวเอง พยายามที่จะใช้พิษในร่างกายเพื่อให้ฉินซูตายไปพร้อมกันฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและฟาดเขาขึ้นไปในอากาศ!“ฟุ่บ!”ร่างของตาเฒ่าหวังระเบิดออกกลายเป็นละอองเลือดฉินซูเหลือบมองไปที่แขนที่ขาดของอีกฝ่ายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น และเตะมันออกไปนอกหน้าต่างส่วนร่างของหยางเหอ เขาก็ฟาดร่างนั้นด้วยฝ่ามืออีกครั้งในห้องมีรอยคราบเลือดจาง ๆ เพียงสองรอยเท่านั้น“ยุ่งยากจริง ๆ!”ฉินซูพึมพำและโบกแขนเสื้อของเขาไปบนพื้นกระแสลมสองสายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา กวาดไปทั่วพื้นครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นสายลมอ่อนที่พัดออกไปทางหน้าต่างหลังจากทำทั้งหมดนี้ ฉินซูก็ไปที่หน้าต่าง และมองออกไปภายนอกหลังจากจ้องมองออกไปภายนอกเป็นเวลานาน เขาก็พึมพำออกมา “เจ้าโง่สองคนนี้ไม่มีพวกพ้องมาช่วยเลย ช่างกล้าหาญจริง ๆ”เขายืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปยังด้านหลังฉงชูโม่ เอื้อมมือไปจิ้มหลังของฉงชูโม่เบา ๆ สองสามครั้งจากนั้นจึ
“เรียกมาเรียกมา ตัวข้าอิ่มแล้ว”“ถ้ามิอยากสร้างปัญหาโดยมิจำเป็น ก็อย่าพูดแทนตัวให้คนอื่นรู้ว่าท่านเป็นองค์รัชทายาทเสียที!”“ใช่ ใช่ ตัวข้า... อะแฮ่ม ข้าง่วงแล้ว เจ้าเรียกคนมาเก็บจานชามเถอะ”ฉงชูโม่กลอกตามาที่เขาแล้วเรียกเสี่ยวเอ้อร์(1)ของร้านเข้ามาในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเก็บจาน นางก็ถามอย่างใจเย็น “พี่ชาย เมื่อครู่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหรือไม่?”“อะไรแปลก ๆ หรือ?”คนงานของร้านเอียงศีรษะ คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีขอรับท่าน”“ไม่มี? มีผู้ใดทะเลาะกันบ้างหรือไม่?”“ท่านล้อเล่นแล้ว แขกที่พักในโรงเตี๊ยมคืนนี้ล้วนเป็นบัณฑิต จะทะเลาะกันได้อย่างไร แม้ว่าจะขัดแย้งกันบ้าง ก็แค่เถียงกันบ้างเล็กน้อย ทว่าหากจะถึงขั้นลงไม้ลงมือ มันคงเกินไปและมิสมเป็นคนมีการศึกษาขอรับ”“นั่นสินะ เอาเถอะ เจ้าออกไปได้แล้ว”หลังจากให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว ฉงชูโม่ก็ลูบคางเรียบเนียนของนางพลางเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งฉินซูคร้านเกินกว่าจะสนใจนาง เขาขึ้นไปบนเตียงแล้วหลับไปทันทีใช้เวลามินานนัก เขาก็หลับสนิทไปแล้วฉงชูโม่เหลือบมองเขา ส่ายหน้าในใจแล้วพูดว่า “ไร้หัวใจจริง ๆ เกิดเรื่องเยี่ย
ฉินซูเลิกคิ้วและถามด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะรับลมได้หรือ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเป็นหวัดเอาได้?”ฉงชูโม่เบะปากและพึมพำ “แม่ทัพเป็นหวัดมิได้หรือไร องค์รัชทายาท ตรรกะของท่านนี่ช่างแปลกเสียจริง”“เช่นนั้นเจ้าขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วถามโดยมิรู้ตัวว่า “แล้วท่านเล่า?”ฉินซูตอบโดยมิได้คิดว่า “ถามอะไรของเจ้า ข้าก็ต้องนอนบนเตียงเหมือนกันน่ะสิ!”“ฮึ่ม คิดจะทำอะไรมิดีแน่ ไม่มีทาง หากกล้ารังแกหม่อมฉันอีก แส้ในมือหม่อมฉันมิอ่อนข้อให้ท่านแน่”ฉงชูโม่โบกแส้ในมือของนางฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “เจ้ามันเก่ง เจ้าสูงส่ง ข้าทำดีแท้ ๆ แต่กลับถูกมองเป็นเรื่องเลว ข้าแค่ลุกขึ้นมากลางคืน แต่กลับโดนเจ้าลงไม้ลงมือ ข้าจะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้? เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”หลังบ่นไปมิกี่ประโยค เขาก็กลับไปนอนบนเตียงสำหรับฉงชูโม่นั้นจะนอนหรือไม่ ก็แล้วแต่นางเลยมินานหลังจากนั้นฉินซูก็หลับสนิทอีกครั้งฉงชูโม่กัดริมฝีปากสีชาด แล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า “หึ หม่อมฉันจะมิตกหลุมพรางของท่านแน่ ต่อให้หนาวตายก็จะมิปีนขึ้นเตียงท่านหรอก
มู่หรงเซี่ยวเทียน จักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนคำรามด้วยความโกรธ “ต้าเหยียนกล้าหาญนัก กล้าดีอย่างไรมากักขังลูกของข้า คิดว่าเป่ยเยี่ยนของข้าใครจะรังแกก็ได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ!”ขุนนางคนหนึ่งรีบทูลว่า “ฝ่าบาท โปรดสงบสติอารมณ์เถิดพ่ะย่ะค่ะ ต้าเหยียนอาจเพียงต้องการใช้สิ่งนี้เป็นการบีบบังคับมิให้เราส่งกองกำลังไปโจมตีเมืองชิ่งโจวคืน ตราบใดที่เรามิทำอะไรบุ่มบ่าม จากนั้นองค์ชายห้าจะมิตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”“จริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตราบใดที่พวกเราเป่ยเยี่ยนมิส่งกองกำลังไป องค์ชายห้าก็จะปลอดภัย”“ใต้เท้าทั้งสองพูดง่ายไปหรือไม่? ตอนนี้มันมิใช่เรื่องว่าเราจะโจมตีเมืองชิ่งโจวหรือไม่ แต่ปัญหาคือต้าเหยียนได้กักขังองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยนของเราไว้ นี่เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน! เราต้องตอบโต้!"“เจ้าพูดถูก หากเรามิทำอะไรเลย เมื่อเรื่องแพร่กระจายออกไป ราชสำนักเป่ยเยี่ยนของเราจะไปสู้หน้าใครได้”…… ในขณะนั้น เหล่าขุนนางในราชสำนักเป่ยเยี่ยนต่างก็ถกเถียงกันไปต่าง ๆ นานามู่หรงเซี่ยวเทียนเดิมทีก็โกรธมากอยู่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันตรงหน้าเขาก็โกรธจนต้องทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกรอย่างโกรธเ
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด