“แกร๊ง!”ดาบใหญ่เล่มนั้นหักเป็นชิ้น ๆ ร่างของเขาปลิวออกไปเหมือนกับว่าวป่านขาดก่อนที่เขาจะตกถึงพื้น เขาก็กระอักเลือดออกมาหลายคำเมื่อร่างกระแทกพื้น เขาก็สิ้นใจไปแล้ว!ฉงชูโม่มิรีรอ พลันกระโดดขึ้นไปในอากาศ ชักดาบคมกริบออกจากฝัก!“ฟึ่บ!”แสงเย็นวาบผ่าน ปราณแห่งดาบอันแหลมคมหลายสายพุ่งตรงไปยังคนชุดดำเหล่านั้น“อ๊าก!!”หลังจากกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง คนชุดดำเหล่านั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทั้งหมด!ที่ขาของพวกเขามีรูเลือดอยู่ เลือดสดไหลออกมาอย่างควบคุมมิได้ฉงชูโม่ยกดาบคมกริบของนางขึ้น และถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “บอกมา! ใครส่งพวกเจ้ามา?”คนชุดดำคนหนึ่งทนความเจ็บปวดและตะเบ็งเสียงออกมาว่า “จะฆ่าก็ฆ่าเลย ไยต้องพูดให้มากความ!”“คิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้ารึ!”ฉงชูโม่ยกดาบขึ้นและฟันลงไป ศีรษะของคนที่เพิ่งพูดเมื่อครู่ก็กลิ้งไปกับพื้นทันที!เมื่อคนอื่นเห็นสิ่งนี้ คนที่เหลือก็ต่างหวาดกลัวพวกเขามิคาดคิดว่า ฉงชูโม่ที่เป็นเพียงสตรีจะมีความเด็ดขาด และฆ่าคนโดยมิลังเลเช่นนี้ฉงชูโม่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยเสียงเย็น “ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย บอกข้ามาใครอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า มิเช่นนั้นก
ฉินซูกางมือออกแล้วพูดว่า “ไม่มี เจ้าไล่ตามคนพวกนั้นไปแล้ว จะเกิดอะไรได้อีกเล่า”ฉงชูโม่อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วจากลักษณะของคนกลุ่มเมื่อครู่ ชัดเจนว่าพวกเขากำลังใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำแต่เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเลยเล่า?ฉินซูบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “นี่ก็เริ่มดึกแล้ว ข้าจะนอนพักสักประเดี๋ยว หากอาหารมาส่งเมื่อไรเจ้าก็ปลุกข้าด้วย”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงไปอย่างที่ว่าเมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็เบะปาก คร้านเกินกว่าจะพูดอะไรสองเค่อ(1)ต่อมา ทางโรงเตี๊ยมก็นำอาหารมาให้เมื่อมองดูอาหารอร่อย ๆ บนโต๊ะ ฉงชูโม่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างนางเรียกฉินซูสองครั้ง จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา ตั้งใจจะกินฉินซูเอ่ยอย่างเมินเฉย “เจ้านี่กล้ากินดีจริง ๆ มิกลัวว่าอาหารจะมีพิษหรือ?”ฉงชูโม่พูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีพิษในอาหาร ถ้ามีพิษหม่อมฉันก็ต้องได้กลิ่นแล้ว”“โอ้? จมูกดีเพียงนั้นเชียว เกิดปีจอหรือ?” “ท่านน่ะสิเกิดปีจอ หม่อมฉันฝึกวิชายุทธที่ทำให้ประสาทรับกลิ่นคมชัด หม่อมฉันสามารถได้กลิ่นสารพิษทุกชนิด”ฉินซูลุกขึ้นนั่งและถามอย่างสงสัยว่า “ดมกลิ่นพิษได้ทุกชนิดจริง ๆ ห
ฉินซูเย้ยหยันและพูดว่า “เจ้าคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องจวิ้นอ๋องติดต่อกับสำนักบู๊ลิ้มเท่านั้นหรือ?”"แล้วมิใช่หรือ?"“หึ เช่นนี้เอง สตรีหน้าอกใหญ่ มักไร้สมอง”ขณะที่ฉินซูพูด ดวงตาของเขาก็เลื่อนลงไปมองที่หน้าอกของฉงชูโม่ฉงชูโม่พูดด้วยท่าทางสับสน “สตรีมีสมองหรือไม่... เกี่ยวอะไรกับขนาดตรงนั้นว่าเล็กหรือใหญ่ด้วยเล่า?”“นี่มิใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ หากจวิ้นอ๋องคนใดต้องการเสริมตำแหน่งของเขา หรืออยากจะก้าวขึ้นสูงกว่านี้ จำเป็นต้องมีอำนาจหนุนหลัง อำนาจนี้อาจมาจากขุนนาง หรือไม่ก็จากสำนักบู๊ลิ้มพวกนี้”“ท่านพูดเช่นนี้ พี่น้องของท่านแต่ละพระองค์ต่างก็ติดต่อกับสำนักในยุทธภพด้วยกันทุกพระองค์ แล้วท่านเล่า? สำนักใดสนับสนุนท่านอยู่?”ฉินซูยักไหล่และพูดว่า "แย่หน่อย ตัวข้าไม่มีสำนักบู๊ลิ้มใดอยู่ในมือเลย""ไม่มีจริงหรือ?"“แน่นอนสิ ทุกคนรู้ดีว่าข้าจะถูกปลดหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า สำนักบู๊ลิ้มใดจะโง่มาคบค้าสมาคมกับข้าที่เป็นองค์รัชทายาทรอวันปลดเล่า? เพี้ยนไปแล้วหรือ?”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วและมิพูดอะไรเพราะนางค้นพบว่า แม้ว่าสิ่งที่ฉินซูพูดจะฟังดูแปลก ๆ แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริงแม้ว่าสำนักบู๊ลิ้มเหล
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของหยางเหอก็ดำมืดลง เขาตวาดว่า “ตาเฒ่าหวัง อย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย อย่าลืมเป้าหมายของเราที่มาครั้งนี้”“ฮ่าฮ่า ก็แค่ฆ่าองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ถูกวางยาพิษแล้ว องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดเราก็ฆ่าเขาได้ง่าย ๆ สาวงามผู้นี้ ข้าขอสนุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ตาเฒ่าหวังมองไปที่ฉงชูโม่ และน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากโดยมิรู้ตัวเขามิได้พบเจอกับคนที่มีความงามเช่นนี้มาหลายปีแล้วเมื่อเห็นมือปีศาจที่ยื่นเข้ามาใกล้ ฉงชูโม่ก็ต้องการพยายามที่จะหลบ แต่ในเวลานี้นางอ่อนแรงเสียจนมิสามารถทำอะไรได้เลยที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ตอนนี้นางรู้สึกว่าหัวหนักเท้าลอย เปลือกตาหนักอึ้ง นึกอยากจะหลับเสียให้ได้นางหวั่นเกรง แต่นางมิรู้ว่าจะทำอย่างไรนางมิเคยคิดเลยว่า ตนซึ่งเป็นถึงแม่ทัพชั้นหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่า ในเมืองหลงเฉิงนางเป็นบุคคลที่เก่งเป็นรองเพียงหัวหน้าโหรหลวง จะตกไปอยู่ในมือของตาแก่ตัณหากลับพวกนี้จากนั้นนางก็กัดฟันและใช้แรงเฮือกสุดท้ายขู่ออกไปว่า “หากเจ้ากล้า… แตะ... ต้องข้า ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะต้องตายโดยไร้ที่ฝัง!"ตาเฒ่าหวังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่าฮ่าฮ่
ฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “แค่เบญจพิษอัมพฤกษ์ก็คิดจะโค่นข้าลงให้ได้แล้ว พวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไป หรือกำลังดูถูกตัวข้าผู้เป็นองค์รัชทายาทกันแน่?”“นี่… เป็นไปได้อย่างไร? ท่านมิเป็นอะไรได้อย่างไร!”ตาเฒ่าหวังแทบมิเชื่อสายตาตัวเองเนื่องจากพิษของคางคกเฒ่า แม้แต่ฉงชูโม่ผู้มีฝีมือสูงส่งก็ยังเอาตัวมิรอด ฉินซูองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้นี้ ควรจะสลบไปนานแล้วสิตอนนี้กลับกัน ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนมิเป็นอะไรเลย แถมดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาอีกด้วย“ข้าอยากจะถามอะไรสักหน่อย คนกลุ่มแรกที่มาก่อนหน้านี้ เป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือไม่?”ดวงตาของตาเฒ่าหวังกะพริบเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พึมพำด้วยท่าทางที่ตระหนักรู้บนใบหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านต้องทานยาแก้พิษสำหรับเบญจพิษอัมพฤกษ์มาล่วงหน้าแน่ ดังนั้นท่านขึงมิเป็นอะไร ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่!”พอพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ฉินซู ไปลงนรกเสีย!”ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ส่งฝ่ามือไปที่ศีรษะของฉินซูเต็มแรง ราวกับกำลังจะทุบหัวของฉินซูให้แตกเป็นเสี่ยง ๆด้วยปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งของเขา แค่ฝ่ามือของเขาก็เพียงพอที่จะผ่าหินทลายทองคำได้แล้วดังนั้นการตบให้ห
ทันทีที่ตาเฒ่าหวังพูดจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสลับแดงร่างกายที่ผอมแห้งของเขาก็เริ่มขยายตัวขึ้น ทำให้เสื้อคลุมบนร่างพองตัวสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่า เขารู้ตัวดีว่าต้องตายแน่ ๆ จึงใช้วิชาลับทำลายตัวเอง พยายามที่จะใช้พิษในร่างกายเพื่อให้ฉินซูตายไปพร้อมกันฉินซูยิ้มอย่างดูแคลนและฟาดเขาขึ้นไปในอากาศ!“ฟุ่บ!”ร่างของตาเฒ่าหวังระเบิดออกกลายเป็นละอองเลือดฉินซูเหลือบมองไปที่แขนที่ขาดของอีกฝ่ายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น และเตะมันออกไปนอกหน้าต่างส่วนร่างของหยางเหอ เขาก็ฟาดร่างนั้นด้วยฝ่ามืออีกครั้งในห้องมีรอยคราบเลือดจาง ๆ เพียงสองรอยเท่านั้น“ยุ่งยากจริง ๆ!”ฉินซูพึมพำและโบกแขนเสื้อของเขาไปบนพื้นกระแสลมสองสายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา กวาดไปทั่วพื้นครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นสายลมอ่อนที่พัดออกไปทางหน้าต่างหลังจากทำทั้งหมดนี้ ฉินซูก็ไปที่หน้าต่าง และมองออกไปภายนอกหลังจากจ้องมองออกไปภายนอกเป็นเวลานาน เขาก็พึมพำออกมา “เจ้าโง่สองคนนี้ไม่มีพวกพ้องมาช่วยเลย ช่างกล้าหาญจริง ๆ”เขายืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปยังด้านหลังฉงชูโม่ เอื้อมมือไปจิ้มหลังของฉงชูโม่เบา ๆ สองสามครั้งจากนั้นจึ
“เรียกมาเรียกมา ตัวข้าอิ่มแล้ว”“ถ้ามิอยากสร้างปัญหาโดยมิจำเป็น ก็อย่าพูดแทนตัวให้คนอื่นรู้ว่าท่านเป็นองค์รัชทายาทเสียที!”“ใช่ ใช่ ตัวข้า... อะแฮ่ม ข้าง่วงแล้ว เจ้าเรียกคนมาเก็บจานชามเถอะ”ฉงชูโม่กลอกตามาที่เขาแล้วเรียกเสี่ยวเอ้อร์(1)ของร้านเข้ามาในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเก็บจาน นางก็ถามอย่างใจเย็น “พี่ชาย เมื่อครู่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหรือไม่?”“อะไรแปลก ๆ หรือ?”คนงานของร้านเอียงศีรษะ คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีขอรับท่าน”“ไม่มี? มีผู้ใดทะเลาะกันบ้างหรือไม่?”“ท่านล้อเล่นแล้ว แขกที่พักในโรงเตี๊ยมคืนนี้ล้วนเป็นบัณฑิต จะทะเลาะกันได้อย่างไร แม้ว่าจะขัดแย้งกันบ้าง ก็แค่เถียงกันบ้างเล็กน้อย ทว่าหากจะถึงขั้นลงไม้ลงมือ มันคงเกินไปและมิสมเป็นคนมีการศึกษาขอรับ”“นั่นสินะ เอาเถอะ เจ้าออกไปได้แล้ว”หลังจากให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว ฉงชูโม่ก็ลูบคางเรียบเนียนของนางพลางเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งฉินซูคร้านเกินกว่าจะสนใจนาง เขาขึ้นไปบนเตียงแล้วหลับไปทันทีใช้เวลามินานนัก เขาก็หลับสนิทไปแล้วฉงชูโม่เหลือบมองเขา ส่ายหน้าในใจแล้วพูดว่า “ไร้หัวใจจริง ๆ เกิดเรื่องเยี่ย
ฉินซูเลิกคิ้วและถามด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะรับลมได้หรือ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเป็นหวัดเอาได้?”ฉงชูโม่เบะปากและพึมพำ “แม่ทัพเป็นหวัดมิได้หรือไร องค์รัชทายาท ตรรกะของท่านนี่ช่างแปลกเสียจริง”“เช่นนั้นเจ้าขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วถามโดยมิรู้ตัวว่า “แล้วท่านเล่า?”ฉินซูตอบโดยมิได้คิดว่า “ถามอะไรของเจ้า ข้าก็ต้องนอนบนเตียงเหมือนกันน่ะสิ!”“ฮึ่ม คิดจะทำอะไรมิดีแน่ ไม่มีทาง หากกล้ารังแกหม่อมฉันอีก แส้ในมือหม่อมฉันมิอ่อนข้อให้ท่านแน่”ฉงชูโม่โบกแส้ในมือของนางฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “เจ้ามันเก่ง เจ้าสูงส่ง ข้าทำดีแท้ ๆ แต่กลับถูกมองเป็นเรื่องเลว ข้าแค่ลุกขึ้นมากลางคืน แต่กลับโดนเจ้าลงไม้ลงมือ ข้าจะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้? เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”หลังบ่นไปมิกี่ประโยค เขาก็กลับไปนอนบนเตียงสำหรับฉงชูโม่นั้นจะนอนหรือไม่ ก็แล้วแต่นางเลยมินานหลังจากนั้นฉินซูก็หลับสนิทอีกครั้งฉงชูโม่กัดริมฝีปากสีชาด แล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า “หึ หม่อมฉันจะมิตกหลุมพรางของท่านแน่ ต่อให้หนาวตายก็จะมิปีนขึ้นเตียงท่านหรอก
เมื่อเห็นหยกครึ่งซีกนี้ ดวงตาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็หดเล็กลง ใบหน้างดงามฉายแววตกใจ!หยกนี้เป็นหยกที่นางมอบให้ซือคงเหยียนเมื่อครานั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นเทียบเท่ากับการลงมือของนางหนึ่งครั้งหลังจากฉินซูขว้างหยกนี้ออกไป พลันอุ้มกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมา แล้วร่างก็วูบหายไปในป่าเขาใช้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายอย่างเต็มที่ ความเร็วของเขาเร็วมากจนน่าตกตะลึงในขณะเดียวกันหลังจากที่หยกนั้นชนเข้ากับฝ่ามือลวงตาน่าสะพรึงกลัวนั้น มันก็แตกออกพลังอันน่าพรั่นพรึงระดับเดียวกันก็ปะทุออกมาจากภายในตู้ม...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดออก พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฏรอยแตกคล้ายใยแมงมุมมากมายภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้กลางลำต้นของต้นไม้เกือบทั้งหมดในรัศมีหลายลี้หักลง!โครม!จากป่าที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีนกจำนวนนับมิถ้วนบินหนีออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทางส่วนฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนหลบพ้นจากรัศมีของแรงระเบิดไปอย่างฉิวเฉียดเมื่อเห็นป่าด้านหลังถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจจนพูดมิออกฉินซูเองก็รู้สึกเสียวสันหลังมิแพ้กันแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก พลันใช้ปราณทั้งหมดไปกับวิชาตัวเบ
เมื่อเห็นภาพนั้นฉินซูก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงลางร้ายซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "เจ้าฉินซู เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด กล้าสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ของข้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด ตอบแทนด้วยชีวิต!"เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากร่างของนางจากนั้นนางก็สะบัดสองนิ้ว ลำแสงกระบี่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งก็พุ่งตรงมาหาฉินซูฉินซูผลักกู้เสวี่ยเจี้ยนออกไป จากนั้นก็กำหมัดกระแทกออกทันใดเงาหมัดแฝงด้วยปราณวายุอันพลุ่งพล่านพุ่งเข้าปะทะกับปราณแห่งกระบี่ของซ่างกวนอวิ๋นซีตูม...หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ฉินซูและซ่างกวนอวิ๋นซีก็ถอยหลังไปคนละก้าว!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด!ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นถึงเจ้าสำนักหอดารารักษ์ วรยุทธ์ของนางกล้าแกร่ง เกรงว่าจะมิด้อยไปกว่าหัวหน้าโหรหลวงทีเดียวแต่บัดนี้ฉินซูกลับต่อสู้กับนางได้อย่างสูสี แล้วจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร!นางย่อมมิรู้ว่า ตอนนี้พลังในร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีถูกหัวหน้าโหรหลวงสะกดเอาไว้ วรยุทธ์จึงอยู่ที่ระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นส่วนฉินซูขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงเล็ก
"ว่ากระไรนะ? เจ้าสำนักหอดารารักษ์?!"ฉินซูเบิกตากว้าง แทบมิเชื่อสายตา!ไฉนเจ้าสำนักหอดารารักษ์จึงได้อ่อนเยาว์เช่นนี้?ในดวงตาคู่สวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเผยความประหลาดใจ นางเหลือบมองกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นลายปักกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ปักอยู่บนชุดของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา "ตาเจ้ายังพอมีแววอยู่บ้าง มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหลยเจิ้นนั่น!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหัวใจเย็นวาบ รีบกระซิบบอกกับฉินซู "เจ้าสำนักหอดารารักษ์มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง ควานหาทั่วต้าเหยียน มีเพียงอาจารย์ของหม่อมฉันเท่านั้นที่ต้านทานนางได้ ท่านหนีไปเถิด หม่อมฉันจะพยายามถ่วงเวลานางไว้ให้นานที่สุด"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็เผยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ที่ซ่างกวนอวิ๋นซีปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากนางนี่แสดงให้เห็นว่า พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนน่าตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการถ่วงเวลานางก็มิต่างกระไรจากเรื่องเพ้อฝันเมื่อเห็นฉินซูนิ่งเฉย กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เร่งเร้าอย่างร้อนรน "ไยท่านยังยืนอยู่อีก รีบไปเร็วเข้า"ฉินซูส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "เจ้าถ่วงเวลานางมิได้หรอก อีกทั้งเป้าหมายของนางคือข้า เจ้าหลบไป
ฉินซูชะงักไป และจำใจต้องทำภารกิจอีกครั้งผ่านไปอีกกว่าสองเค่อ กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงลุกขึ้นแต่งตัวอย่างพอใจนางมองฉินซูด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วเร่งเร้า "ข้างนอกฝนหยุดแล้ว พวกเราเร่งเดินทางกันเถิด มิเช่นนั้นฟ้าจะมืดเสียก่อนไปถึงเป่ยเซียง"ดวงตาของฉินซูเป็นประกาย เขาเสนอ "หรือว่าเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมองออกว่าฉินซูคิดอะไรอยู่ในใจ ทีแรกนางตั้งใจจะปฏิเสธ แต่แล้วกลับพยักหน้าตกลงอย่างน่าประหลาดเมื่อเห็นดังนั้นฉินซูก็ลิงโลด พลันรีบพูดต่อ "เช่นนั้นข้าจะไปจับกระต่ายป่าสักสองสามตัว คืนนี้พวกเรากินกระต่ายย่างกันเถอะ"ฉินซูรีบแต่งตัวแล้วเหาะออกไปกู้เสวี่ยเจี้ยนถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามินานฉินซูก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายป่าที่ทำความสะอาดแล้วสองสามตัวหลังจากกินอิ่ม ท้องฟ้าก็มืดลงทั้งสองจึงนอนบนพื้นข้างกองไฟแต่ยังมิทันผล็อยหลับ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ปีนขึ้นคร่อมร่างฉินซูอีกครั้งคืนนั้น ฉินซูแทบมิได้นอนทั้งคืน!วันรุ่งขึ้นฉินซูขอบตาดำคล้ำและหาวมิหยุดส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหลังจากออกจากถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนก็ข
ด้านนอกถ้ำ พายุฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องภายในถ้ำ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งฉินซูนอนอยู่บนพื้นราวกับกลายเป็นหิน มือทั้งสองยังกอดเอวบางของกู้เสวี่ยเจี้ยนไว้ส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนทอดกายบนร่างของเขา ริมฝีปากแดงอ่อนหวานของนางแนบสนิทกับริมฝีปากของเขาเข้าพอดีทั้งสองสบตากัน รู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ!อุณหภูมิระหว่างกันก็ยิ่งชัดเจน!ฉินซูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กำลังจะทำอะไรบางอย่างแต่เมื่อสังเกตเห็นกระบี่ยาวข้าง ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยน เขาก็เกิดลังเลหากเผลอทำให้กู้เสวี่ยเจี้ยนโกรธแล้วนางเกิดคิดฆ่าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร?เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรกกับกู้เสวี่ยเจี้ยน หากครั้งนี้ยังมิสามารถทำให้นางยอมจำนนด้วยใจจริงได้ ก็คงจะมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะทำเรื่องระห่ำอะไรออกมาแต่โอกาสดีเช่นนี้ ฉินซูมิอยากพลาดไปเลยจริง ๆในขณะที่เขากำลังลังเล ริมฝีปากแดงของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็เริ่มขยับ!เห็นเพียงจมูกโด่งของนางเต็มไปด้วยลมหายใจร้อนระอุ ริมฝีปากคู่สวยจุมพิตลงบนริมฝีปากของฉินซูอย่างตะกละตะกลามฉินซูมีหรือจะทนไหว รีบตอบสนองอย่างกระตือรือร้นโดยมิรู้ตัว ทั้
"อะแฮ่ม… อะไรกันเล่า ฝนจะตก หญิงสาวจะออกเรือน เป็นเรื่องที่ห้ามมิได้ เจ้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปหาปะไร?""หม่อมฉันโกรธเพราะกระไร เจ้ามิรู้อยู่แก่ใจหรอกหรือ!""แค่ก ๆ ข้าไปหาฟืนแห้งมาดีกว่า"ฉินซูกล่าวจบก็เดินหลบไปตามผนังหินที่ยื่นออกมาด้านนอกถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา "หึ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะมีฟืนแห้งที่ไหน… ฮัดชิ้ว!"ยังมิทันสิ้นคำ นางก็จามออกมาช่วงต้นเหมันตฤดูผ่านไป อีกมิกี่วันก็จะเป็นช่วงหิมะโปรยปราย ดังนั้นเมื่อฝนตกจึงทำให้รู้สึกหนาวเป็นพิเศษกู้เสวี่ยเจี้ยนย่อตัวลงกับพื้น เอามือกอดอกแน่นลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง นางก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามมิได้นางอดมิได้ที่จะมองออกไปนอกถ้ำ ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความหวังแม้จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก ทว่ายามนี้นางก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินซูจะหาฟืนแห้งมาจุดไฟได้มิฉะนั้นแม้ฝนข้างนอกจะหยุดตก ก็เป็นไปมิได้ที่จะเดินทางต่อด้วยอาภรณ์ที่เปียกชุ่มเช่นนี้ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินซูก็กลับมาเขาหอบฟืนแห้งกองใหญ่ในอ้อมแขนมาด้วย!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น พลันรีบเร่งเร้า "เร็ว ๆ เข้า รีบจุดไฟเร็วเพคะ หม่อมฉันหนาวจะตายอยู่แล้ว!
ซ่างกวนอวิ๋นซีร่ายมือ โล่สีเขียวอ่อนก่อตัวรวมกันอยู่ตรงหน้านางในทันใดทว่าปราณดัชนีที่เหลยเจิ้นปล่อยออกมา กลับมิสนใจโล่ตรงหน้านาง พลันผ่าทะลุเข้าไปภายใต้สายตาตกตะลึงของซ่างกวนอวิ๋นซี ปราณดัชนีนั้นหายวับเข้าไปในร่างของนางในพริบตาในชั่วพริบตาต่อมานั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็รู้สึกว่ามีพลังต้องห้ามบางอย่างเพิ่มเข้ามาในร่างเมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็กระทืบเท้าด้วยโทสะ "เหลยเจิ้น เจ้าเฒ่าไร้สัจจะ ปลิ้นปล้อนกลับกลอก!""ข้าเพียงแต่สะกดการบ่มเพาะตนของเจ้าไว้เท่านั้น มิได้บอกว่าจะมิให้เจ้าไปหาองค์รัชทายาท แล้วจะหาว่าข้ากลับกลอกได้อย่างไร?""เจ้า!!"ซ่างกวนอวิ๋นซีโมโหจนแทบจะระเบิดอารมณ์ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเหลยเจิ้นเหลยเจิ้นยักไหล่ "แม้การบ่มเพาะตนของเจ้าจะถูกข้าสะกดไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้วรยุทธ์ระดับสวรรค์ได้ เท่านี้ก็เพียงพอให้เจ้าจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสวรรค์ที่อาจปรากฏตัวในต้าเหยียนได้แล้ว""แล้วองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดของพวกเจ้าเล่า? เขาอยู่ในระดับใดกันแน่?"เหลยเจิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้ว ถามอย่างมิพอใจ "เจ้าส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร?"
เหลยเจิ้นส่ายหน้าเบา ๆ “ขออภัย ทว่าคงทำเช่นนั้นมิได้”ใบหน้างดงามของซ่างกวนอวิ๋นซีเย็นชาลง นางกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจะบังคับให้ข้าลงมือใช่หรือไม่?”“ข้าเพียงต้องการเกลี้ยกล่อมให้เจ้ากลับไป หากเจ้าต้องการลงมือ ข้าก็พร้อมจะเป็นคู่มือ!”“ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะดูว่า วรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าไปมากเพียงใดเมื่อเทียบกับห้าสิบปีก่อน!”เมื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวจบ ก็ยื่นนิ้วเรียวสวยชี้ไปยังเหลยเจิ้นที่อยู่กลางเวหา!ทันใดนั้นพื้นที่โดยรอบก็ถูกบีบเข้าหากันอย่างกะทันหัน คล้ายกับกรงที่หดตัวเข้าหาเหลยเจิ้น“กลอุบายตื้น ๆ!”เหลยเจิ้นหัวเราะเยาะ เหยียบพื้นเบา ๆ ด้วยฝ่าเท้า“เคร้ง!”เสียงแตกดังขึ้น กรงไร้รูปธรรมของซ่างกวนอวิ๋นซีแตกสลายในทันใดเมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาคู่งามของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ฉายแววเคร่งขรึม ฉับพลันร่างของนางสั่นไหว กลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!หลังจากหมุนตัวหนึ่งตลบ ก็พุ่งไปทางใต้เหลยเจิ้นส่งเสียงหึ ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงวาบไล่ตามไปอย่างมิลดละ!บนห้วงเวหายามราตรีแสงสองสายคล้ายดาวตกไล่ตามดวงจันทร์พาดผ่านท้องฟ้าระหว่างนั้น แสงนุ่มนวลหลายสายพลันพุ่งออกมาจากแสงดาวตกสองสาย จากนั้นก็
สวีหลายเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใด?”เฉิงผิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ตอบ “มินานมานี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างร่ำลือกันว่า องค์จักรพรรดิจะทรงปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ข่าวลือนี้เป็นจริงหรือเท็จ?”“จริงแท้แน่นอน”“แต่ข้ามิเข้าใจ หากองค์รัชทายาทจะถูกปลดในปีหน้า เหตุใดอ๋องฉีและอ๋องซิ่นต้องเสียเวลาหาเรื่องใส่ร้ายองค์รัชทายาทด้วย? แค่รอให้ถึงวันชุนเฟินปีหน้าก็พอแล้วมิใช่หรือ?”เฉิงอิงกล่าว “คงเป็นเพราะช่วงนี้องค์รัชทายาททรงโดดเด่นขึ้นมา พวกเขาจึงอยู่เฉยมิได้กระมัง”สวีหลายพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในพริบตา แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งรัชทายาทหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ทว่าตราบใดที่วันนั้นยังมิมาถึง ทุกอย่างย่อมมีโอกาสพลิกผัน อ๋องซิ่นและอ๋องฉีจะร้อนใจก็เป็นเรื่องปกติ”เฉิงผิงขมวดคิ้วบ่นพึมพำ “แต่ข้ายังสงสัยอยู่ดี เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทในวันชุนเฟินปีหน้า? ในเมื่อทรงมีพระประสงค์เช่นนั้นแล้ว เหตุใดต้องรอถึงปีหน้า?”“ความคิดในพระทัยขององค์จักรพรรดิ ใครเลยจะคาดเดาได้”สวีหลายเ