เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นลูกธนูจำนวนมากดุจดังฝนห่าใหญ่ที่โปรยปรายลงมาอย่างมิขาดสาย พุ่งตรงมายังพวกเขาม่านตาของฉงชูโม่หดตัวลงในทันใด พลันคว้าแขนของฉินซูแล้วหลบไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “ฉึก ฉึก…”ลูกธนูเหล่านั้นปักเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ ทำให้เกิดเสียงทื่อฉินซูบ่นพึมพำ “โจรพวกนี้สมองมิค่อยดีหรือไร ปล่อยธนูในป่าแบบนี้ มิได้เปลืองลูกธนูหรอกรึ”ขณะที่เขากำลังพูด เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ลูกธนูถูกยิงมาพร้อมกันจากสองทิศทาง ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ดูเหมือนจะหลบมิพ้นแล้วฉงชูโม่ตวัดฝ่ามือออกไปสองครั้ง ปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าให้กระเด็นออกไป พร้อมกับตะโกนเบา ๆ “กอดหม่อมฉันไว้แน่น ๆ!”ฉินซูอึ้งไป นี่มันเรื่องดีอะไรอย่างเยี่ยงนี้?!เขามิลังเลเลย สอดมือทั้งสองข้างโอบรอบเอวบางของฉงชูโม่ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสัมผัสที่นุ่มนวลบนหน้าอกฉงชูโม่ขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้ก็มิสนใจอะไรมากนัก นางกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง ร่างกายของนางก็ลอยขึ้นไปในอากาศระหว่างทาง นางใช้ปลายเท้าทั้งสองข้างยันกิ่งไม้ พาฉินซูไปที่ยอดไม้สูง“ท่านอยู่ที่นี่ กอดกิ่งไม้ไว้ให้แน่น หากท่านตกลงมาตาย ก็อย่าหาได้
หลังเฝิงไป่จงพูดจบ เขาก็สะบัดมือออกโดยมิทันให้สัญญาณเตือนใด ๆ ทันใดนั้น ผงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปหาฉงชูโม่ ผงสีขาวเหล่านี้ส่งกลิ่นฉุนแสบจมูก ระหว่างทางที่มันกระทบกับลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็เกิดเสียง "ร้อนฉ่า" ขึ้นมา และถูกกัดกร่อนจนเป็นรอยลึกในพริบตา ผงสีขาวที่ดูเหมือนไร้พิษสง กลับซ่อนพิษร้ายแรงเอาไว้! ฉงชูโม่มิกล้าประมาท นางถอยร่น พร้อมกับฟาดกระแสพลังฝ่ามือออกไปสองสาย ผงสีขาวเหล่านั้นหมุนวนกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งกลับไปทางเดิม เฝิงไป่จงร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างแรง สองผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขาก็ลงมือพร้อมกัน มวลผงสีขาววิ่งเป็นสายอย่างไร้หารควบคุมในอากาศ และในที่สุดก็พุ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ "ฉ่า ฉ่า!" ลำต้นของต้นไม้นั้นปล่อยควันสีน้ำเงินเข้มออกมา ในชั่วพริบตานั้น ลำต้นมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งกว้างเท่ากับปากชามถูกกัดกร่อนจนโค่นลงด้วยเสียง "แกร๊บ!" แสดงให้เห็นว่า ผงสีขาวนี้มิใช่พิษธรรมดา เฝิงไป่จงตะโกนออกมามิดังนัก "พี่หยาง ท่านพาคนเข้าไปสังหารองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดเสีย ส่วนแม่นางนี่ข้าจะจัดการเอง!" "ดี
เมื่อพูดจบ ร่างของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพุ่งตัวหายวับไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว ฝานชุ่นตะโกนด่าจางเฉวียนและคนของเขาว่า “ถอยไป หากกล้าขัดขวาง จะฆ่ามิเว้น!” จางเฉวียนตะคอกกลับไปด้วยความโกรธ “ฝานชุ่น เจ้ามิไปเฝ้าประตูเมืองให้ดี แต่กลับพาทหารมาที่นี่ นี่คิดจะก่อกบฏรึ?” “พ่อบ้านจาง ท่านผู้นั้นคือศิษย์ของท่านเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง หากท่านคิดจะขัดขวางเขา ก็ดูให้ดีก่อนว่าตนมีปัญญาพอหรือไม่ ข้าให้ท่านเลือกสองทาง จะถอยหรือว่าตาย!” ฝานชุ่นมิเสียเวลาพูดมาก เขาชักดาบออกมาทันที เหล่าทหารที่อยู่ข้างหลังเขาก็ชักอาวุธออกมาเช่นกัน เมื่อเห็นเช่นนั้น จางเฉวียนก็กวาดตามองอย่างสับสน สีหน้าดูลังเล หากเปรียบเทียบกำลังรบแล้ว อย่างไรทหารรักษาการณ์ของเมืองไม่มีทางสู้กับทหารที่รักษาเมืองได้แน่ เพราะทหารเหล่านี้ ล้วนเป็นผู้ที่กลับมาจากสนามรบ กล่าวได้ว่าทุกคนล้วนผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ฝานชุ่นเห็นว่าจางเฉวียนยังคงลังเล ก็เตะเขาล้มลงกับพื้นทันที แล้วตะโกนว่า “ใครกล้าขัดขวาง ฆ่ามิละเว้น!” หลังพูดจบ เขาก็นำคนวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว ภายในป่า เฝิงไป่จงและ
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หยางเจียนถึงกับหน้าซีดด้วยความตกใจแล้วถามว่า “เจ้า… เจ้าคือองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดจริง ๆ หรือ?” ตามข้อมูลที่เขามี องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดนี้เป็นเพียงคนขี้เหล้าที่ไร้ความสามารถ แล้วจะมีพลังขนาดนี้ได้อย่างไร ฉินซูยิ้มเบิกบานพลางตอบ “ข้าหาใช่รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดมิ อย่างน้อย ตอนนี้ก็ยังมิใช่!” เขาโบกมือไปมาในอากาศ หยิบใบไม้มาได้หนึ่งกำมือ “พลังจิตเคลื่อนย้าย!!” หยางเจียนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนตะโกนลั่น “ถอย! ถอยเร็ว! บุรุษผู้นี้เป็นยอดฝีมือขั้นสูง!” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเตรียมจะหนี แต่ตอนนั้นเอง ฉินซูที่อยู่บนยอดไม้ก็โบกมือครั้งใหญ่ “ซู่ ซู่ ซู่!” ใบไม้ที่ในมือของเขาพุ่งออกมา เกิดเสียงแหวกอากาศอันแหลมคมจากนั้น บรรดาลูกน้องของหยางเจียนก็ล้มลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง ตรงหน้าผากของพวกเขาแต่ละคนมีใบไม้ใบหนึ่งปักอยู่ลึกจนเห็นชัด หยางเจียนตกตะลึงจนแทบพูดมิออก ยืนมึนงงอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า การใช้ใบไม้เป็นอาวุธสังหารเช่นนี้ แม้แต่ประมุขพรรคเพลิงผลาญยังมิอาจทำได้! เมื่อได้สติกลับคืนมา หยางเจียนถามอย่างมิเชื่อสายต
“โฮก!!!” เสียงคำรามหนัก ๆ ของสัตว์ดังขึ้นมิขาดสาย! เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉินซูอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว “เสียงนี้… หรือว่า…” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหน้ากากหนังบางเฉียบราวปีกจักจั่นจากในอกเสื้อขึ้นมาปิดลงบนใบหน้า จากนั้น เขาก็พลิกเสื้อคลุมยาวอีกด้าน เปลี่ยนร่างเป็นบุรุษในชุดคลุมสีดำในพริบตา ร่างของฉินซูหายวับพุ่งตรงไปยังทิศทางที่มีเสียงสัตว์คำรามดังมา ในขณะเดียวกัน ฉงชูโม่ที่ไล่ตามกลุ่มคนของสำนักเบญจพิษก็มาถึงยอดเขาแห่งนี้เช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงคำรามหนักแน่นของสัตว์ หัวใจของฉงชูโม่ก็เต้นระรัว เกิดความหวาดกลัวอย่างที่มิเคยรู้สึกมาก่อน ฝั่งเฝิงไป่จงและคนอื่น ๆ ก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เหงื่อท่วมไปทั้งร่างเสียงนี้ช่างน่าขนลุกเกินไปจริง ๆ เมื่อเห็นฉงชูโม่ไล่ตามมาทัน เฝิงไป่จงจึงเสนอขึ้นว่า “แม่นาง ฟังดูแล้ว เสียงสัตว์คำรามดังอยู่ใกล้ ๆ นี้เอง มิสู้เราพักการต่อสู้ไว้ก่อนแล้วออกจากที่นี่ ค่อยไปตัดสินกันใหม่ดีหรือไม่?” “มิต้องให้ยุ่งยากเช่นนั้นหรอก ฆ่าพวกเจ้าให้หมด มิได้ใช้เวลานานขนาดนั้น!” ฉงชูโม่พูดจบ ก็หงายฝ่ามือตบไปทางเฝิงไป่จง เฝิงไป่จงกัด
“รองเจ้าสำนัก หนีเร็ว!” ผู้อาวุโสสำนักเบญจพิษที่เพิ่งได้สติจากความตกตะลึง รีบตะโกนเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปอย่างมิคิดชีวิต แต่เขายังวิ่งไปได้มิกี่ก้าว สัตว์ร่างยักษ์นั่นก็กระโจนเข้าหาเขาราวภูเขาลูกย่อมถล่มเข้าใส่ เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสลมรุนแรงที่พัดมาจากด้านหลัง ผู้อาวุโสถึงกับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบหันกลับแล้วโยนผงสีดำไปยังสัตว์ร้ายตัวนั้น ผงนี้มีกลิ่นเหม็นสาบชวนคลื่นไส้ ชัดเจนว่ามันเต็มไปด้วยพิษร้ายแรง แต่สัตว์ร้ายกลับอ้าปากกว้าง ดูดผงพิษทั้งหมดเข้าปากด้วยแรงดูดมหาศาลไปในพริบตา แรงดูดมหาศาลนั้นทำให้ร่างของผู้อาวุโสถึงกับชะงักเล็กน้อย และในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ สัตว์ร้ายก็เข้าประชิดตัวเขา เปิดปากกว้างก่อนจะงับลงไปอย่างรุนแรง “กร๊อบ!” เสียงกระดูกแตกดังขึ้น ผู้อาวุโสสำนักเบญจพิษถูกสัตว์ร้ายกัดจนศีรษะขาดออกจากร่างทันที ร่างไร้ศีรษะของเขาสั่นระริกก่อนจะร่วงลงกับพื้น เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ มิว่าจะเป็นฉงชูโม่ หรือฝั่งเฝิงไป่จงต่างก็สีหน้าด้วยความตกใจ ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของสำนักเบญจพิษก็รีบหันหลังแล้ววิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก เฝิงไป่จงรี
เขี้ยวเหล็กและอาวุธลับของผู้อาวุโสเซี่ยงพุ่งเข้าใส่ร่างของสัตว์ร้ายอย่างแม่นยำ แต่มิคาดคิดว่า สัตว์ร้ายนั้นมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย และความเร็วของมันก็มิได้ลดลงเลย เฝิงไป่จงตกใจกลัวจนแทบเสียสติ พลางตะโกนใส่ฉงชูโม่ว่า “ยังมัวยืนบื้ออะไรอยู่ หากข้าตาย เจ้าจะเป็นเป้าหมายต่อไปของสัตว์ร้ายตัวนี้” “มิต้องให้เจ้ามาเตือนข้าหรอก” ฉงชูโม่ตอบเบา ๆ ก่อนพุ่งทะยานออกไปราวกับกระสุนปืน ในมือของนางถือกริชเขี้ยวมังกรที่ทอประกายเย็นวาบ หลังจากรวบรวมพลังนางก็พุ่งเข้าแทงสัตว์ร้ายอย่างรุนแรง คมกริชเกือบจะแทงเข้าไปที่ลำคอของสัตว์ร้าย แต่สัตว์ร้ายพลิกตัวหลบได้อย่างมิน่าเชื่อ หลีกเลี่ยงการโจมตีร้ายแรงของฉงชูโม่ไปได้พร้อมกันนั้น มันยังยกกรงเล็บคมกริบขึ้นสูงแล้วฟาดใส่นางอย่างรุนแรง ฉงชูโม่เบิกตากว้าง รีบยกกริชเขี้ยวมังกรขึ้นมาป้องกัน “แกร๊ง!” กรงเล็บของสัตว์ร้ายกระแทกเข้ากับใบมีดของกริช แรงอันมหาศาลนั้นทำให้ฉงชูโม่กระเด็นออกไป นางเซถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ก่อนจะพยายามทรงตัวอย่างยากลำบาก ลมปราณในร่างกายของนางปั่นป่วนอย่างควบคุมมิอยู่ สุดท้ายทนมิไหว “อั่ก” กระอักเลือดออกมาเต็มปาก เมื่
ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุด ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางอยู่ระหว่างฉงชูโม่และสัตว์ร้ายอย่างกะทันหัน “ท่านผู้อาวุโส! เหตุใดถึงเป็นท่าน?!” แม้ว่าฉงชูโม่จะมองมิเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ในเวลานี้ แต่เพียงเห็นเสื้อคลุมสีดำและแผ่นหลังอันสง่างามของเขา นางก็จำได้ทันทีว่าเขาคือบุคคลที่เคยชี้แนะในป่าเมืองอวี๋หางมาก่อน ชายชุดดำมิได้สนใจฉงชูโม่ สายตาเย็นเยียบไร้อารมณ์จ้องมองไปยังสัตว์ร้ายตรงหน้า สัตว์ร้ายดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความมิธรรมดาของชายตรงหน้า มันส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างมิสบายใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันกลับค่อย ๆ ถอยหลังกลับไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นเช่นนั้น เฝิงไป่จงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงจนพูดมิออกเมื่อครู่นี้สัตว์ร้ายยังทำท่าทีดุร้ายราวกับจะกลืนกินทุกคน แต่เมื่อเห็นชายชุดดำคนนี้ มันกลับดูขลาดเขลา ยังมิทันจะต่อสู้ มันก็คิดจะหนีเสียแล้ว? ชายชุดดำหัวเราะเย็นชา ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปจากที่เดิมในทันทีชั่วพริบตาต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าสัตว์ร้าย! ขนของสัตว์ร้ายตั้งชันทั่วตัว สีหน้าของมันเผยความหวาดกลัวเหมือนมนุษย์ มันคำรามเสียงดัง พร้อมยกกรงเล็บคม