ในเวลาเดียวกันฮองเฮาผู้มีเมตตาและคุณธรรมท่านนี้ ฉีกหน้ากากที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง ในสายตาของหลี่หลงหลิน ราวกับอสรพิษที่เลือกกัดคนตัวหนึ่ง!เพื่อทำให้ลูกชายแท้ๆ หลี่เทียนฉี่ขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ฮองเฮาหลู่ใกล้เสียสติเต็มที!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ นางก็กล้าลงมือสังหาร!นับประสาอะไรกับหลี่หลงหลิน?ขอเพียงฮองเฮาหลู่นำพระราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทไปจากมือหลี่หลงหลินได้ แก้ไขชื่อแซ่ เปลี่ยนจากหลี่หลงหลินเป็นหลี่เทียนฉี่เช่นนั้น หลี่เทียนฉี่รัชทายาทที่ถูกปลด ก็สามารถกลับมาเป็นรัชทายาทได้ใหม่อีกครั้ง อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม!“ท่านอย่าฝันเลย!”หลี่หลงหลินเก็บพระราชโองการไว้ในอก เผชิญหน้ากับฮองเฮาหลู่ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากภายนอกระลอกหนึ่งเว่ยซวินในชุดปักลายหม่าง เร่งฝีเท้าบุกเข้ามาข้างหลังเขา ยังมีองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดที่ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ ซูเฟิ่งหลิงถูกองครักษ์เสื้อแพรจับไว้ มือสองข้างไพล่หลัง ผลักเข้ามาแล้วเว่ยซวินเห็นฮ่องเต้หวู่นอนบนพื้น ไม่รู้เป็นหรือตาย ทันใดนั้นว้าวุ่นใจหนัก สีหน้าไม่สบอารมณ์มากฮองเฮาหลู่รีบร้องตะโกน ล้มล
หลี่หลงหลินลอบถอนหายใจแต่ไหนแต่ไรมา ผลประโยชน์ของตนและเว่ยซวิน มิได้เสียเปล่าในช่วงเวลาสำคัญเว่ยซวินตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตนแน่นอน ยังมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างตนเองและเว่ยซวิน ไม่ว่าอย่างไร ฮ่องเต้หวู่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปหลี่หลงหลินได้ยินว่าเว่ยซวินต้องการตามหมอหลวง รีบร้องห้ามไว้ “อย่าเป็นอันขาด!”เว่ยซวินชะงัก พูดอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เรียกหมอหลวง ฝ่าบาทจะทำเช่นไร...”หลี่หลงหลินอธิบาย “ด้วยอำนาจของฮองเฮาหลู่ ในบรรดาหมอหลวง น่ากลัวว่ามีคนของนางอยู่! ถึงตอนนั้น ไม่เพียงรักษาเสด็จพ่อไม่หาย ยังจะทำสิ่งตรงกันข้ามอีกด้วย...”เว่ยซวินตกใจเหงื่อเย็นผุดทั่วทั้งสรรพางค์กาย พยักหน้าคล้ายไก่จิกข้าว “อืม กระหม่อมเลอะเลือนไปแล้ว! ทั้งหมดขอให้องค์ชายเก้าตัดสินใจ!”หลี่หลงหลินครุ่นคิด พูดว่า “สถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วนมาก เจ้าปล่อยซูเฟิ่งหลิงก่อน ให้นางกลับบ้าน ไปพาพี่สะใภ้สามซุนชิงไต้มา! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีเพียงนางสามารถช่วยฝ่าบาทได้!”เว่ยซวินไฉนเลยจะไม่รับปาก รีบพูด “รีบปล่อยพระชายา! เฮ้อ ล้วนเป็นพวกเดียวกัน ทั้งหมดเข้าใจผิดไปแล้ว!”
หลี่หลงหลินปาดเหงื่อเย็นเต็มศีรษะ “พี่สะใภ้สาม เสด็จพ่อถูกวางยาพิษอะไร?”ภายในใจเขาว้าวุ่นมากแม้ซุนชิงไต้เชี่ยวชาญด้านยาพิษมากแต่หากเป็นพิษแปลกประหลาดนั่นก็ยุ่งยากแล้ว!สีหน้าซุนชิงไต้เคร่งขรึม พูดว่า “สารหนู!”เพียงเว่ยซวินได้ยิน ทันใดนั้นสีหน้าเผือดซีด ล้มลงกับพื้นสารหนู!แม้ว่านี่เป็นยาพิษที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่ฤทธิ์รุนแรงมาก ไม่มียารักษา!ฝ่าบาท ยังสามารถช่วยชีวิตกลับมาได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินกลับถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่ง “เป็นสารหนูไม่ผิดไปดังคาด!”แท้จริงแล้วเมื่อครู่หลี่หลงหลินก็หยั่งเดาไว้แล้ว ยาพิษที่ฮองเฮาหลู่ใช้กับฮ่องเต้หวู่ อาจเป็นสารหนูเหตุผลนั้นง่ายมากประการแรก ที่นี่คือฝ่ายในของวังหลวง การป้องกันแน่นหนาต่อให้เป็นฮองเฮา ก็ไม่สามารถทำยาพิษแปลกอะไรออกมาได้อย่างง่ายดายประการที่สอง ในสายตาคนยุคสมัยโบราณ กินสารหนูเข้าไป นั่นต้องตายอย่างแน่นอนแท้จริงแล้วนี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งสารหนูเป็นพิษ แต่มีวิธีถอนพิษย่อมดีกว่ายาพิษกระเรียนแดงทำนองนั้น ยาพิษที่สูญหายไปในยุคสมัยต่อมานั้นดีมากนักยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อฮองเฮาหลู่ใส่สารหนูลงในน้ำแกงโสม นั่
ของสามอย่างที่หลี่หลงหลินต้องการกลับหาไม่ยากเว่ยซวินสั่งคนให้ส่งมายังห้องทรงพระอักษรโดยตรงหลี่หลงหลินครุ่นคิด สั่งให้ซูเฟิ่งหลิงกลับบ้าน ไปนำถ่านกัมมันต์บางส่วนกลับมา“ถ่านกัมมันต์?”ซูเฟิ่งหลิงเผยสีหน้างุนงง “ท่านหมายถึง สิ่งที่พี่สะใภ้รองนำมาทำน้ำตาลอ้อยน่ะหรือ? ที่บ้านมีก็มีจริง แต่มีประโยชน์อะไร?”หลี่หลงหลินร้อนใจ พูดว่า “เจ้าอย่าถามอีกเลย! อย่างไรเสียก็มีประโยชน์มาก!”ซูเฟิ่งหลิงไม่ถามมากอีก รีบกลับไปนำถ่านกัมมันต์มาจากจวนสกุลซูอีกด้านหนึ่งหลี่หลงหลินให้ซุนชิงไต้ช่วยเหลือ นำไข่ขาวออกมา จากนั้นเริ่มกรอกใส่ปากฮ่องเต้หวู่แท้จริงแล้ว ฮ่องเต้หวู่ดื่มน้ำมูลเข้าไปมาก ฟื้นคืนสติกลับมาตั้งนานแล้วเพียงแต่อาเจียนออกไปหลายครั้ง ทำให้ฮ่องเต้หวู่คล้ายถูกสูบพลังไปจนหมด ร่างกายไม่มีแรงหลงเหลือเลยสักนิด เปลือกตาหนักคล้ายถูกกรอกตะกั่วตอนนี้เอง ปากของฮ่องเต้หวู่ถูกบีบเปิดออก กลิ่นคาวของไข่ขาวผสมนมวัว ถูกกรอกเข้ามา“เจ้าเก้า...”“เจ้าลูกอกตัญญู!”“เราใกล้จะตายอยู่แล้ว!”“เจ้าถึงขั้นยังให้เราดื่มของพรรค์นี้!”ภายในใจของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมความไม่พอใจคล้ายมีม้าโคลนหญ้านับหมื่นตัวว
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน พลันมีเสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นว่า“ข้าเชื่อใจเจ้าเก้า... สหายเว่ย จงทำตามที่องค์ชายเก้าบอกเถิด”ที่แท้ ฮ่องเต้หวู่ทรงได้สติขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าสารพิษในพระวรกายยังไม่จางหายจนหมดสิ้น ยามเปล่งเสียงจึงดูอิดโรย และยังมิอาจลืมพระเนตรได้ง่ายๆเว่ยซวินพลันปีติยินดีจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คุกเข่าลงเบื้องหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท! ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ช่างเป็นพรจากสวรรค์ และแรงอำนวยพรของเหล่าบรรพชนโดยแท้! กระหม่อมจะทำตามที่องค์ชายเก้าสั่งทุกประการพ่ะย่ะค่ะ...”กล่าวจบ เว่ยซวินก็รับผงถ่านกัมมันต์จากมือหลี่หลงหลินมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำขึ้นถวายให้ฮ่องเต้หวู่เสวย แม้รสชาติจะขื่นขมจนยากกลืนลงคอ แต่ไม่นานนัก พระอาการปวดท้องของฮ่องเต้หวู่ก็บรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ความอึดอัดในกระเพาะก็บรรเทาไปมากแต่ถึงกระนั้น พระวรกายของฮ่องเต้หวู่ยังคงอ่อนแรง เหมือนจะหลับทุกขณะซุนชิงไต้ตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“พิษสารหนูซึมเข้าสู่พระวรกายแล้ว และแผ่ลึกจนถึงจุดที่ยากจะเยียวยา!”หลี่หลงหลินชี้ไปยังถั่วเขียวสดที่เหลือ พล
ฮองเฮาหลู่ถูกกักตัวไว้ในตำหนักบรรทม โดยมีขันทีคนสนิทสองคนของเว่ยซวินเฝ้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเมื่อหลี่หลงหลินก้าวเข้ามา เว่ยซวินก็พาผู้ติดตามทั้งหมดถอยออกไปทันทีขันทีใหญ่ช่างรู้จักสถานการณ์ในที่อย่างวังหลัง ยิ่งรู้อะไรมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสตายเร็วเท่านั้น!“เจ้าเก้า!”ฮองเฮาหลู่เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายมองไปยังหลี่หลงหลิน พร้อมรอยยิ้มบาง “เจ้ามาแล้ว!”ขันทีใหญ่ไม่ได้รังแกนาง ยังคงให้นางรักษาความสง่างามของฮองเฮาไว้อย่างครบถ้วนหลี่หลงหลินพึมพำเบาๆ “ข้าไม่น่ามาเลย!”ฮองเฮาหลู่ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าหลี่หลงหลินกำลังหยอกล้อ นางขมวดคิ้วเรียวแน่น “ไม่ว่าเจ้าจะพูดเรื่องอะไร! แต่ในเมื่อเจ้ามาหาข้า เช่นนั้นย่อมหมายความว่าฮ่องเต้หวู่ได้สิ้นพระชนม์แล้ว! พิษได้แสดงฤทธิ์จนเกินเยียวยา!”พิษสารหนูไร้ทางรักษาในเรื่องนี้ ฮองเฮาหลู่มั่นใจเต็มเปี่ยมในสายตานาง ฮ่องเต้หวู่ย่อมต้องสิ้นพระชนม์ไปแล้ว!การที่องค์ชายเก้าเดินทางมาพบนาง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเจรจาข้อตกลงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง!แต่ครั้งนี้ นางเป็นฝ่ายชนะ!ริมฝีปากของฮองเฮาหลู่ยกยิ้มเย็นชา “เจ้าเก้า ข้า
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักที่ไม่ชอบมาพากล!เซียวเม่ยเอ๋อร์เดินย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย อาภรณ์บางเบา นัยน์ตาอันงดงามดั่งดอกท้อแย้มชวนหลงใหลยากถอนตัว “สวามี มีเรื่องใดที่ทำให้ท่านกลัดกลุ้มหรือ?”หลี่จือขมวดคิ้วแน่น “ในวังอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น! แต่...มันคือเรื่องอะไรกันแน่! แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้แน่ชัด...”เซียวเม่ยเอ๋อร์โน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบเบาๆ ข้างหูของหลี่จือ เสียงอ่อนหวานอ่อนละมุน “แม้สวามีจะไม่รู้ แต่ข้ารู้...”หลี่จือสะดุ้งตื่นตกใจ มองเซียวเม่ยเอ๋อร์ด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ว่าในวังเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? หรือว่ามันจะเป็นแผนการของอาจารย์ของฮ่องเต้? รีบบอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”เซียวเม่ยเอ๋อร์กล่าวเสียงเบา “เป็นไปได้ว่า ฮ่องเต้หวู่สวรรคตแล้ว!”พรึ่บ...“หลี่จือดุจต้องสายฟ้าฟาด เสียงอึกทึกก้องสะท้านในหัวจนมิอาจตั้งตัวได้เสด็จพ่อสวรรคตแล้วหรือ?นี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร!แต่ว่า หากเซียวเม่ยเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ก็ย่อมหมายความว่าแผนการของอาจารย์ของฮ่องเต้เสิ่นชิงโจวสำเร็จผลแล้ว พวกเขาย่อมได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากที่ใดที่หนึ่ง!“ทำไม...”“
หลี่จือมองไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยทหารชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือนับพันนายในชุดเกราะถืออาวุธ หัวใจของเขาพลันร้อนรุ่ม!เจ้าหก สิ่งที่เจ้าไม่อาจทำได้!พี่คนนี้จะทำแทนเจ้าเอง!เมื่อพี่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะออกพระราชโองการ ล้างมลทินให้เจ้าอย่างแน่นอน!ท่านแม่...ลูกคนนี้จะต้องสังหารหลี่หลงหลิน เพื่อแก้แค้นให้ท่านอย่างสาสม!ในความคิดของหลี่จือ ภาพของฉินกุ้ยเฟยและองค์ชายหกหลี่เซวียนผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะบุกเข้าไปในพระราชวังทันที เพื่อโค่นล้มราชวงศ์และเปลี่ยนแปลงแผ่นดินแต่แล้วหลังจากความตื่นเต้นชั่วครู่ หลี่จือกลับสงบใจลงอย่างฉับพลันบทเรียนที่เคยได้รับมา สอนเขาให้รู้จักระมัดระวังแม้หลี่จือจะโง่เขลาสักเพียงใด แต่การที่เคยพ่ายแพ้ต่อหลี่หลงหลินมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจำต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง และครุ่นคิดให้รอบคอบทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ“อย่าเพิ่งรีบร้อน!”“หลี่หลงหลินผู้นี้ เจ้าเล่ห์เพทุบาย ไร้ยางอายและเต็มไปด้วยเล่ห์กลสารพัด!”“เราควรรอข่าวจากในวังอีกสักหน่อย!”“ยืนยันให้แน่ชัดว่าเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์จริงๆ แล้วค่อยลงมือ!”หลี่จือกัดฟันอดทนต่อความอ
หนิงชิงโหวชี้ไปยังกลุ่มคนที่แออัดอยู่เบื้องหน้า: “น้ำสามารถพยุงเรือได้ ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน” “ราษฎรเหล่านี้ล้วนติดตามองค์รัชทายาทเข้าวัง หากองค์รัชทายาทไม่หาทางระงับความโกรธของราษฎรเหล่านี้ เกรงว่าภายหน้าจะเกิดการจลาจล!” “จลาจล!” เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงชิงโหว ซูเฟิ่งหลิงก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง แม้ว่าตอนนี้เสิ่นชิงโจวจะตายไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสำนักปราชญ์ที่เสื่อมโทรมของต้าเซี่ยจะหายไปด้วย กลุ่มข้าราชการที่กุมอำนาจในราชสำนักยังคงอยู่ เสิ่นชิงโจวคนหนึ่งตายไป เสิ่นชิงโจวอีกนับพันจะลุกขึ้นมา ที่นี่คือพระราชวังต้องห้าม สถานที่ที่ใกล้ชิดกับอำนาจของราชวงศ์มากที่สุด! หากความโกรธของราษฎรถูกปลุกปั่นขึ้นมา จะต้องมีคนฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย ผลที่ตามมาย่อมยากจะคาดเดา กลุ่มข้าราชการแม้จะไม่มีกำลังทหาร แต่พวกเขาใช้ริมฝีปากเป็นปืน ใช้ลิ้นเป็นดาบ สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการใส่ร้ายป้ายสี ถึงตอนนั้น ต่อให้หลี่หลงหลินกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่หมด!ซูเฟิ่งหลิงไม่ยอม: “ต่อให้เกิดการจลาจลจริง ข้าก็สามารถนำทัพตระกูลซูมาปราบปรามได้!” เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฟิ่งห
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านหลังก็ยังไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป เมื่อเห็นซากศพที่ตายอย่างน่าอนาถ ต่างก็โกรธแค้นจนแทบจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างของเสิ่นชิงโจวเป็นชิ้น ๆ ต่อให้ตาย ก็ไม่ยอมให้เขาไปสบาย! หลี่เทียนฉี่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ จึงรีบทูลขอ: “เสด็จพ่อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง!” ฮ่องเต้หวู่ทอดสายตามองหลี่เทียนฉี่: “ทำไมข้าถึงมีลูกเช่นเจ้า!” ยังดีที่ตอนนั้นแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท มิเช่นนั้น เกรงว่าแผ่นดินต้าเซี่ยอันกว้างใหญ่ไพศาล คงเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ราษฎรต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่หลี่เทียนฉี่ก็เป็นโอรสองค์โต เคยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หวู่มาก่อน ฮ่องเต้หวู่มิได้ปฏิเสธ: “ว่ามา มีเรื่องอันใด!” หลี่เทียนฉี่สีหน้าเศร้าสร้อย ชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของเสิ่นชิงโจว: “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นดั่งบิดาตลอดชีวิต หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเมตตาฝังศพท่านอาจารย์ของรัชทายาท ให้เขาได้ร่างที่สมบูรณ์!” คำพูดนี้ ทำให้เหล่าราษฎรเดือดดาลขึ้นมาทันทีเสิ่นชิงโจวทำลายบ้านเมือง ไม่รู้ว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรไปมากเท่าใด! บัดนี้ไม่เพียงแต่ไม่ประ
โบราณว่า ท้องของอัครเสนาบดีกว้างใหญ่พอจะให้เรือแล่นผ่านได้ เสิ่นชิงโจวเป็นถึงราชครู มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าสามมหาเสนาบดี เทียบเท่ากับอัครเสนาบดี แต่คาดไม่ถึงว่า ใจคอจะคับแคบเพียงนี้ ถูกโทสะบีบคั้นจนตาย ฮ่องเต้หวู่สีหน้าเคร่งขรึม: “เจ้าเก้า นี่จะให้จบเรื่องเช่นไร?” อย่างไรเสีย เสิ่นชิงโจวก็เป็นถึงราชครู ผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังกลุ่มข้าราชการและสำนักปราชญ์ แม้ว่าความชั่วจะมากมาย บัดนี้หลักฐานก็ชัดเจน แต่ก็ควรจะลงโทษตามกฎหมายแคว้นต้าเซี่ย ตัดสินประหารชีวิต บัดนี้ถูกหลี่หลงหลินทำให้โกรธจนตาย ไม่เพียงแต่ทำให้เสิ่นชิงโจวได้ประโยชน์ ยังทำให้หลี่หลงหลินถูกครหา เกรงว่าภายหน้าจะถูกกลุ่มข้าราชการนำมาเป็นข้อโจมตี หลี่หลงหลินขมวดคิ้วมุ่น เขาก็มิคาดคิดว่า เสิ่นชิงโจวจะมีจิตใจคับแคบเพียงนี้ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ก็ยังทนไม่ได้ “เสด็จพ่อ เกรงว่านี่จะเป็นลิขิตสวรรค์ กำจัดคนชั่วร้าย ทำลายคนพาล” “มิเช่นนั้น ราชครูผู้ยิ่งใหญ่ไยจึงไม่มีความอดทนเพียงนี้ ถูกคำพูดไม่กี่คำของลูกบีบคั้นจนสิ้นใจต่อหน้าธารกำนัล?” คำพูดของหลี่หลงหลินปัดความรับผิดชอบออกจากตัวจนหมดสิ้น เขารู้ว
กลอุบายของหลี่หลงหลินนี้นับว่าอำมหิตยิ่งนัก เท่ากับทำลายชื่อเสียงของฉินฮั่นหยางและเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดาสามัญ! นับแต่นี้ไป ฉินฮั่นหยางจะใช้ชื่อเสียงของสำนักปราชญ์เพื่อหลอกลวง ฉ้อฉล หรือกระทำการอันมิชอบใด ๆ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อีก แต่ว่า พวกเขาได้คุกเข่าคำนับไปแล้ว จะให้กลับคำได้อย่างไร? ต่อให้เงื่อนไขของหลี่หลงหลินจะโหดร้ายเพียงใด พวกเขาก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทน “พวกข้า... ยินยอม!” เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยขึ้นพร้อมกัน หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้ม หันไปมองเสิ่นชิงโจว “ท่านอาจารย์ของฮ่องเต้ บัดนี้สิบบัณฑิตทรงคุณวุฒิล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาของสำนักปรัชญาแห่งจิตใจแล้ว ท่านยังมีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่?” “เจ้า...ช่างชั่วช้า!” ดวงตาทั้งสองของเสิ่นชิงโจวแดงก่ำ จ้องมองหลี่หลงหลินอย่างเคียดแค้น การรวมความรู้กับการปฏิบัติ เข้าถึงแก่นแท้! ทุกคนเป็นดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นเซียน! ฟังดูแล้ว สำนักปรัชญาแห่งจิตใจช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก แต่ว่า หลี่หลงหลินทำให้สิบบัณฑิตทรงคุณวุฒิยอมสยบได้ด้วยหลักการของสำนักปรัชญาแห่งจิตใจหรือ? หามิได้! ทั้งหมดล้วนอ
ฉินฮั่นหยางครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าตอบเสิ่นชิงโจวล่วงรู้ความลับของเขามากเกินไปหากเรื่องพวกนั้นถูกเปิดโปง ต่อให้ถูกประหารสิบครั้งก็ยังไม่พอ!แม้ว่าหลี่หลงหลินจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะลืมเรื่องในอดีตและค้ำจุนให้เขารุ่งเรืองมั่งคั่งต่อไปแต่หากอีกฝ่ายเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?ฉินฮั่นหยางไม่กล้าเสี่ยงเขาหวังว่าหลี่หลงหลินจะยื่นข้อเสนอที่จริงใจมากกว่านี้ทว่าหลี่หลงหลินไม่ได้เสียเวลาพูดจาให้มากความ เขาหันไปเดินเข้าหาบรรดาบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นๆ แทน ชัดเจนว่าต้องการดึงพวกเขาเข้าพวก“แย่แล้ว! แย่แล้ว!”เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินฮั่นหยางก็เปลี่ยนไปทันทีในหมู่บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ หากมีแม้แต่คนเดียวที่ใจอ่อน ยอมรับหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์ และเข้าสู่สำนักปรัชญาแห่งจิตใจนั่นหมายความว่า เสิ่นชิงโจวแพ้แล้ว!หากหลี่หลงหลินสามารถนั่งมั่นในตำแหน่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปรัชญาแห่งจิตใจได้ตนเองเป็นเพียงบัณฑิตทรงคุณวุฒิ จะเอาอะไรไปเทียบกับนักปราชญ์ได้?ถึงตอนนั้น จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร!ฉินฮั่นหยางอาจมั่นใจว่าตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่านักปราช
เสิ่นชิงโจวเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ มุมปากกระตุกเล็กน้อยช่างเป็นพวกชาวบ้านโง่เขลาเสียจริงพวกเจ้าแม้แต่แนวคิดของปรัชญาแห่งจิตใจก็ยังไม่เข้าใจแท้ๆ แต่กลับยอมคารวะหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์อย่างง่ายดาย?ต่อให้หลี่หลงหลินหลอกขายพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงยังช่วยเขานับเงินให้ด้วยซ้ำ!แต่พูดก็พูดเถอะหลี่หลงหลินใช้วิธีอะไรกันแน่ ถึงสามารถซื้อใจชาวบ้านได้มากมายถึงเพียงนี้?ช่างน่าทึ่งนัก!หลี่หลงหลินมองเสิ่นชิงโจวด้วยรอยยิ้มสงบ “ท่านราชครู เท่านี้พอหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวยังคงไม่ยอมรับ “ข้าบอกไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนไร้ระเบียบ ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ!”หลี่หลงหลินเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ที่ท่านหมายถึงคือ มีแต่ผู้มีความรู้เท่านั้นที่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจึงจะยอมรับงั้นหรือ?”เสิ่นชิงโจวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”หลี่หลงหลินยกมือขึ้น ชี้ไปยังบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้สิบคนที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงโจว “แล้วพวกเขาล่ะ? หากบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ยินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจะยังกล้าหาข้อแก้ตัวอีกหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวถึงกับตะลึงงันให้บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านั้นคารวะหลี่หลงห
ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าลำบากใจเสิ่นชิงโจวกล่าวความจริงต่อให้ปรัชญาแห่งจิตใจล้ำเลิศเพียงใด ก็ต้องมีผู้สืบทอดจึงจะเกิดผลศิษย์ของนักปราชญ์มีมากถึงสามพันคน ในจำนวนนั้นมีผู้ทรงปัญญาเจ็ดสิบสองคนศิษย์เอกอย่างเหยียนหุย ก็มีเค้าลางของนักปราชญ์เช่นกันแต่หลี่หลงหลินเพิ่งก่อตั้งปรัชญาแห่งจิตใจขึ้นมาใหม่ กระทั่งศิษย์สักคนก็ยังไม่มีแล้วจะให้เราสถาปนาเขาเป็นนักปราชญ์ได้อย่างไร?หากเป็นคนแปลกหน้าก็แล้วไปเถิดแต่เขาดันเป็นบุตรของตนหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั้งใต้หล้าย่อมกล่าวหาว่าเราลำเอียงเข้าข้างเขานักปราชญ์เช่นนี้ ใครจะยอมรับกัน?หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบาง “ใครบอกว่าข้าไม่มีศิษย์?”ทันทีที่คำพูดจบลงจากกลุ่มชาวบ้านก็มีคนก้าวออกมาเป็นกลุ่มพวกเขาสวมอาภรณ์บัณฑิต ศีรษะสวมหมวกสี่เหลี่ยม ดูเป็นบัณฑิตโดยแท้คนที่เดินนำหน้า ฮ่องเต้หวู่จำได้ดีเขาคือจอหงวนหนิงชิงโหวส่วนบัณฑิตที่เหลือ แม้ฮ่องเต้หวู่จะไม่รู้จัก แต่เพียงเห็นสีหน้าท่าทางอันหยิ่งยโส ก็เข้าใจได้ทันทีพวกเขาย่อมเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสที่ติดตามหนิงชิงโหวมาแน่นอนบัณฑิตเหล่านี้เข้าร่วมกับเขาทิศประจิม ทั้งยังสั่งสอนอบรมผู้คน ทำหน้
เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าดำเนินการก่อน แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาก่อนหนึ่งคนหากนักปราชญ์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ เช่นนั้นบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจของฮ่องเต้จึงจะมีผลเดิมที สำนักปราชญ์อยู่เหนือการควบคุมของราชสำนัก มีระบบเป็นของตนเองหากทำเช่นนี้แล้วบัณฑิตทรงคุณวุฒิและนักปราชญ์ของสำนักปราชญ์จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ไม่เท่ากับว่าสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายหรือ?พวกเขาจะคิดก่อคลื่นลม ปั่นป่วนในเงามืดอีกต่อไปคงเป็นไปไม่ได้แล้วแน่นอนว่าการแต่งตั้งนักปราชญ์ ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจความสามารถเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือฐานะหากฮ่องเต้หวู่แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาเพียงคนเดียว บุคคลผู้นั้นย่อมได้รับชื่อเสียงเกียรติคุณอันสูงส่งจากประชาชนหากบุคคลผู้นี้คิดไม่ซื่อ วางแผนก่อกบฏถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน!อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงสำหรับหลี่หลงหลินเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นครองราชย์ในสักวัน ไม่มีเหตุผลที่จะก่อกบฏการแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นนักปราชญ์ ไม่เพียงแต่จะสามารถกดขี่ส
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ