บางคนบอกว่ามีมังกรเพลิงหนึ่งตัว บ้างก็ว่าสองตัวหรือสามตัว... กระทั่งมีผู้ดูแลยุ้งฉางคนหนึ่ง เมื่อทบทวนความจำ บอกว่าเห็นมังกรเพลิงสิบกว่าตัว บินวนอยู่ในอากาศ สร้างความน่าหวาดหวั่น จากนั้น หลี่หลงหลินจึงสอบถามชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟอีกหลายคนคำตอบที่ได้จากพวกเขาก็แทบจะเหมือนกัน ในกระโจม หลี่หลงหลินนั่งขมวดคิ้ว ใช้นิ้วบีบหว่างคิ้วอย่างครุ่นคิด ซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาคู่งามเป็นประกายด้วยความสงสัย ก่อนพูดขึ้นว่า:“องค์ชายเก้า คนมากมายล้วนพูดตรงกันว่าพวกเขาเห็นไฟมังกรเผายุ้งฉาง! หรือว่า...บนโลกนี้มีมังกรเพลิงอยู่จริง?” “ถ้ามันมีพลังร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากจับมังกรเพลิงมาใช้ในสงคราม จะไม่กลายเป็นอาวุธที่ไร้เทียมทานหรอกหรือ?” หลี่หลงหลินหัวเราะกับความคิดของซูเฟิ่งหลิง พร้อมเอ่ยว่า:“ความคิดไม่เลวเลย! แต่ทั้งนี้ต้องมีมังกรเพลิงอยู่จริงเสียก่อน!” ซูเฟิ่งหลิงอึ้งเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ:“ท่านหมายความว่า...มังกรเพลิงไม่มีอยู่จริง?” หลี่หลงหลินพยักหน้า กล่าวด้วยความมั่นใจ:“แน่นอนว่าไม่มีอยู่จริง!” ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง พูดอย่างสับสน:“แต่คนมากมายพูดตรงกันหมดว่าพ
“นี่...” แม้ซูเฟิ่งหลิงจะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่คราวนี้นางก็เข้าใจความหมายของหลี่หลงหลิน ธัญพืชสามแสนฉื่อที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง แถมยังเป็นธัญพืชใหม่ ถูกเผาหมดเกลี้ยงในคืนเดียวโดยไม่มีเศษซากเหลือเลย เป็นไปได้อย่างไร! แม้จะเกิดไฟไหม้จริง ก็ควรมีข้าวที่ไหม้ดำหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ทว่า กลับไม่มีอะไรเหลือเลย เผาวอดไร้ร่องรอย! เว้นเสียแต่ไฟนี้จะไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่เป็นไฟสามสมุทร! กล่าวได้ว่า โลกนี้อาจมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจจินตนาการถึง หรือกระทั่งมีเทพเจ้าและมังกรเพลิงอยู่จริง! แต่หลี่หลงหลินได้สรุปจากคำพูดของผู้ดูแลยุ้งฉางไว้แล้ว มังกรเพลิงไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งที่พวกเขาเล่าเป็นเพียงภาพในจินตนาการของพวกเขาเอง! เมื่อความเป็นไปได้ทุกอย่างถูกตัดทิ้ง คำตอบสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้ว่าจะดูเหลือเชื่อเพียงใด นั่นก็คือความจริง! ไฟไหม้ยุ้งฉางทางเหนือในครั้งนี้ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ไฟมังกรเผายุ้งฉางหลวงในประวัติศาสตร์หลายครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำของมนุษย์! มีคนตั้งใจสร้างสถานการณ์หลอกลวงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความผิดของตัวเอง
“ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าสละสิ่งที่ตนมี เปิดยุ้งฉางส่งธัญพืชมาที่เมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่นี่?” “คนเราไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงโทษ!” “สิ่งที่บิดาของท่านทำ ก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร!” ลั่วอวี้จู๋กำหมัดแน่นด้วยความโกรธพลางกล่าวว่า:“แต่... แต่พวกเขาเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย แล้วประชาชนในเมืองหลวงล่ะ? จะปล่อยให้พวกเขาตายเพราะความอดอยากอย่างนั้นหรือ? องค์ชายเก้า ข้าพอมีวิธีหนึ่ง!” หลี่หลงหลินเลิกคิ้วถาม:“วิธีอะไร?” ลั่วอวี้จู๋เสนอว่า:“ในยามวิกฤตใหญ่เช่นนี้ มีเพียงการร่วมแรงร่วมใจและสามัคคีเท่านั้นที่จะผ่านพ้นไปได้! ท่านสามารถโน้มน้าวฝ่าบาทให้ราชสำนักใช้ชื่อเสียงเป็นเครื่องล่อ ให้บรรดาพวกเศรษฐีและพ่อค้าร่ำรวยบริจาคธัญพืชออกมา!” “หากพวกเขายินยอมบริจาค ราชสำนักสามารถสร้างอนุสาวรีย์จารึกชื่อของพวกเขาให้จดจำในประวัติศาสตร์ได้ เพื่อเป็นที่ยกย่องตลอดกาล!” หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋นิ่งๆ ด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนเอ่ยว่า:“พี่สะใภ้ใหญ่ วิธีนี้ดูเหมือนจะดี แต่ความจริง... มันใช้ไม่ได้ผลเลย!” ลั่วอวี้จู๋ตกใจ:“ทำไมล่ะ?” หลี่หลงหลินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ตอนนี้ราคาธัญพืชในเมืองหลวงทะล
“กระตุ้นราคาธัญพืชให้สูงขึ้นหรือ?” ลั่วอวี้จู๋ทำหน้ามึนงง มองหลี่หลงหลินด้วยความไม่เชื่อ ในหัวขององค์ชายเก้าคิดอะไรอยู่กันแน่? ราคาธัญพืชในตอนนี้พุ่งสูงขึ้นถึงยี่สิบเท่าของราคาปกติแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น การหยุดชะงักของการขนส่งและการกักตุนธัญพืชของเหล่าพ่อค้าในเมืองหลวง ประชาชนไม่มีปัญญาซื้อธัญพืชกันแล้ว เสียงบ่นไม่พอใจดังระงมไปทั่ว ในฐานะผู้แทนพระองค์ที่ได้รับมอบหมายให้บรรเทาภัยพิบัติ ไม่แจกจ่ายธัญพืชหรือควบคุมราคาธัญพืชไม่ให้สูงขึ้นก็ว่าแย่แล้ว แต่กลับจะดันให้ราคาธัญพืชสูงขึ้นไปอีก หรือว่าท่านก็คิดจะเป็นเหมือนพ่อค้าโลภมากเหล่านั้น ที่หวังหาเงินที่เปื้อนเลือดประชาชน? หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ด้วยสายตาแน่วแน่ น้ำเสียงหนักแน่น:“พี่สะใภ้ ท่านเชื่อข้าเถอะ! ข้าได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะช่วยชีวิตประชาชนให้ได้!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ลั่วอวี้จู๋จึงยอมจำนน นางกัดริมฝีปากแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล:“องค์ชายเก้า ครั้งนี้ข้าจะเชื่อท่าน! แต่... ขอให้ท่านอย่าทำให้ข้าผิดหวัง!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม:“พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง!” ลั่วอวี้จู๋ไม่พูดอะไรต่อ และเ
“องค์ชายเก้าจะโลภมากขนาดนั้นเลยหรือ ที่จะเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงหุ่นฟาง!” “แต่ทว่า ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ซึ่งทำให้ต้องเชื่อ!” เหล่าพ่อค้าธัญพืชต่างตกใจและถามว่า “สวี่เหล่า ข่าวอะไรหรือ?” สวี่เหล่าตอบเสียงเบาและแฝงความลึกลับว่า “ภูเขาทิศประจิม ไม่เพียงแค่ไม่ปล่อยธัญพืช แต่ยังเก็บธัญพืชเพิ่มขึ้น เพื่อดันราคาธัญพืชขึ้นอีก! ดูเหมือนว่า องค์ชายเก้าตั้งใจจะทำตัวเป็นปี่เซียะ รับเข้าไปอย่างเดียว ไม่ยอมให้ออกไปเลย!” พ่อค้าธัญพืชตกใจและในขณะเดียวกันก็ยิ้มออกมา “องค์ชายเก้าจะทำตัวเป็นปี่เซียะงั้นหรือ? นั่นดีมาก!” “สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือภูเขาทิศประจิมปล่อยธัญพืชลงมาทำให้ราคาตก!” “ถ้าองค์ชายเก้าอยากจะดันราคา เราก็ต้องเข้าไปช่วยเขา!” “ใช่แล้ว! ดันราคาธัญพืชให้ขึ้นสูงสุดไปเลย! องค์ชายเก้ากินเนื้อ เราก็กินแค่น้ำซุป!” สวี่เหล่าหัวเราะพลางหยิกหนวด “ข้าก็คิดเหมือนกัน!” พ่อค้าธัญพืชเริ่มพูดคุยกันและตัดสินใจทันที ที่จะใช้โอกาสอันหาได้ยากนี้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ก็จะดันราคาธัญพืชให้สูงขึ้นไปถึงจุดสูงสุด!! ไม่นาน ราคาธัญพืชในเมืองหลวงก็พุ่งสูงถึงสามสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น มีราคาแต่
ฮ่องเต้หวู่ปิดปากแน่นมือกุมหน้าอก รู้สึกหายใจไม่ออก ในดินแดนต้าเซี่ย มีคำพูดด่าทอที่ว่า “เด็กเกิดมาแต่ไม่มีรูทวาร!” ประชาชนที่ด่าองค์ชายเก้า เท่ากับด่าฮ่องเต้หวู่ด้วย! ฮ่องเต้หวู่กัดฟันกรอดและพูดว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง! เรียกตัวองค์ชายเก้าเข้าเฝ้า! ข้าจะถามเขาตรงๆ ว่าเขากำลังเล่นอะไรอยู่!” เว่ยซวินรีบเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท พระองค์ลืมเรื่องหนึ่งไปแล้วใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้หวู่มองยังเว่ยซวินด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรล่ะ?” เว่ยซวินกล่าวเสียงเบา “พระองค์เคยสัญญากับองค์ชายเก้าไว้ไม่ใช่หรือ? ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น? การดันราคาธัญพืชให้สูงขึ้น อาจเป็นแผนการที่ลึกซึ้งขององค์ชายเก้า” ฮ่องเต้หวู่โกรธจนไม่สามารถควบคุมได้ “แผนการลึกซึ้งอะไร? มีแค่ปัญหาที่เกิดจากการปล่อยให้เขาทำตามใจ! ถ้าประชาชนอดตายจริงๆ เราจะดูว่าเขาจะจัดการยังไง!” แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่ฮ่องเต้หวู่ก็รู้สึกไร้ทางออกเช่นกัน เพราะเขาเคยตอบตกลงกับเจ้าเก้าในที่ท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางข้าราชการทั้งหลายแล้ว ว่าไม่ว่าองค์ชายเก้าจะใช้วิธีไหน เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง ฮ่องเต้หวู่เป็นฮ่องเต้ที่ยิ่
เห็นว่าหลี่หลงหลินชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่จือนั่งไม่ติดตั้งแต่แรกแล้ว อยากแสดงผลงานต่อหน้าฮ่องเต้หวู่ เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานถือสิทธิ์อะไร เรื่องที่เจ้าเก้าทำได้ ข้าจะทำไม่ได้หรือ!ยิ่งไปกว่านั้น...ครั้งนี้หลี่หลงหลินพยายามกดราคาธัญพืช บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย เห็นได้ชัดว่าล้มเหลวไปแล้ว!เจ้าเก้ากลายเป็นอดีตไปแล้ว!ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ถึงตาข้าเจ้าสี่จะต้องลุกออกมา กอบกู้สถานการณ์ และแสดงความโดดเด่นให้ทุกคนได้เห็น!ฮ่องเต้หวู่มองเขาด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ “เจ้าสี่ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าทำได้? ลองบอกข้ามา เจ้าคิดจะทำเยี่ยงไร?”หลี่จือเคยเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้หวู่ทรงโปรดปรานที่สุดครั้งหนึ่ง...ฮ่องเต้หวู่เคยคิด แต่งตั้งหลี่จือเป็นองค์รัชทายาท ให้เขาได้สืบทอดบัลลังก์ปรากฏว่า ต่อมาฮ่องเต้หวู่ก็พบว่า...หลี่จือนั้นโง่เง่าสิ้นดี!เหตุผลที่เขาเคยดูฉลาดหลักแหลม สำคัญคือมีตู้เหวินยวนอยู่เบื้องหลัง คอยวางแผนให้เขาตอนนี้ ตู้เหวินยวนถูกกำจัดไปแล้วหลี่จือยังสามารถพึ่งพาใครได้อีก?สำหรับหลี่จือที่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮ่องเต้หวู่แทบไม่มีความเชื่อใจอีกแล้วหลี่จือกลับพูดอย่
ฮ่องเต้หวู่ได้ยินดังนั้น ถึงกับตกใจการควบคุมราคาธัญพืชครั้งนี้ องค์ชายเก้าที่แต่ไรมาเขาไว้วางใจ กลับไม่มีผลงานเลยตรงข้ามกันเป็นองค์ชายสี่ที่เขาเมินข้ามไป กลับทำได้ดีสถานการณ์พลิกผันไปจากเดิมทั้งหมดแล้ว!“เจ้าสี่ อย่างไรเสียก็เป็นลูกชายของเรา!”ฮ่องเต้หวู่รู้สึกปลื้มปีติภายในใจ มองทางเว่ยซวิน “บอกเรา องค์ชายสี่ทำได้เยี่ยงไร?”เว่ยซวินตอบด้วยเสียงเคร่งขรึม “องค์ชายสี่พาคน ไปจับกลุ่มพ่อค้าธัญพืชจำนวนหนึ่ง และได้ตัดหัวผู้นำกลุ่ม เชือดไก่ให้ลิงดู! พร้อมทั้งสั่งให้ทุกร้านค้าธัญพืชจะต้องเปิดขาย มิหนำซ้ำจะต้องจำหน่ายธัณพืชในราคาที่สูงถึงสิบเท่า!”ฮ่องเต้หวู่ชะงัก เอ่ยปากอย่างตกใจ “ตั้งแต่ยามใดที่เจ้าสี่ กลายเป็นคนเด็ดขาดเช่นนี้! การจัดการกับพ่อค้าคดโกง ก็ต้องใช้วิธีการรุนแรงเช่นนี้! ฆ่าได้ดี!"สำหรับพ่อค้า โดยเฉพาะพ่อค้ากักตุนธัญพืช ฮ่องเต้หวู่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดวิธีการเด็ดขาดขององค์ชายสี่ เขากลับรู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น!“เรียกองค์ชายสี่เข้าวังเดี๋ยวนี้!”ฮ่องเต้หวู่รู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก พูดว่า “ครั้งนี้ เราจะตกรางวัลเจ้าสี่ดีๆ!"เว่ยซวินค้อมตัว “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ
หลี่หลงหลินส่ายหัวเบาๆ “ท่านผิดแล้ว! ในใจของทุกคนล้วนมีสำนึกดี! หากรู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม ทุกคนก็สามารถบรรลุสู่ความเป็นปราชญ์ สร้างความรุ่งเรืองให้กับหลักขงจื๊อไปหมื่นชั่วอายุคน!”รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม?ร่างกายของเสิ่นชิงโจวสั่นสะท้าน สีหน้าปรากฏความไม่อยากเชื่อท้ายที่สุด เขาก็เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ตำรา ถึงแม้เพราะความเห็นแก่ตัวจะทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทางแต่ความรู้ของเขาก็ยังคงเป็นของจริงแน่นอนว่าเมื่อหลี่หลงหลินกล่าวคำว่า “รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม” ทั้งเจ็ดคำออกมา เสิ่นชิงโจวก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือวิถีแห่งปราชญ์!“น่าเสียดาย...”“หากข้ายังหนุ่มกว่านี้สักหลายสิบปี บางทีก็อาจเห็นด้วยกับปรัชญาแห่งจิตใจ และเดินบนวิถีแห่งปราชญ์นี้”“แต่ข้าแก่ชราแล้ว ไม่อาจหวนกลับได้!”“ทำได้เพียงสู้จนถึงที่สุด!”เสิ่นชิงโจวส่ายหัว มองไปที่หลี่หลงหลิน “พูดไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าจะไม่โต้เถียงกับท่านด้วยวาจา! นำงานเขียนของท่านมาให้ข้าดูเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”หลี่หลงหลินส่ายหัว ปฏิเสธโดยตรง “ท่านไม่คู่ควร!”เสิ่นชิงโจวโกรธจนอับอาย หน้าแดงก่ำ
คำพูดของหลี่หลงหลินประโยคนี้ เปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า และกลองยามเย็น ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและฉุกคิดสำนักปราชญ์ของพวกเจ้า ไม่ต้องการผูกขาดการสอบขุนนาง สร้างตระกูลขุนนาง ก่อตั้งชนชั้น เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์แก่ลูกหลานในภายภาคหน้าของพวกเจ้าหรือ?ปรัชญาแห่งจิตใจ คือการทำลายความอยุติธรรมในโลก!ทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นนักปราชญ์!บนลานหยกขาว เงียบสงัดไร้เสียงแม้แต่นกกามีเพียงความตื่นตะลึง!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ยังตกตะลึงจนร่างมังกรสั่นสะท้านทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุความเป็นนักปราชญ์!นี่ช่างเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่เพียงใด!หากสามารถทำให้เป็นจริงได้ โลกมนุษย์จะรุ่งเรืองเพียงใดกัน!ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ไม่มีค่าอะไรเลย!ทุกที่ที่กองทัพพยัคฆ์ต้าเซี่ยย่างกรายไป หากพวกหมานอี๋กล้าขัดขืน ย่อมถูกบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง!ในห้วงความคิดของฮ่องเต้หวู่ ภาพตนเองในเกราะทองอันทรงอำนาจดุดัน ปรากฏขึ้นแจ่มชัด นำทัพทหารต้าเซี่ยนับหมื่นที่สวมเกราะถืออาวุธคมกล้า ออกรบแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเพียงแค่จินตนาการถึงภาพนั้น ดวงตาของฮ่องเต้หวู่ก็เปล่งประกาย เลือดลมเดือดพล่
รากฐานของขงจื๊อ ก็คือสี่ตำราห้าคัมภีร์และคำสอนของนักปราชญ์สี่ตำราห้าคัมภีร์ มีเนื้อหามากมายเพียงใด?แม้แต่ทงเซิงผู้เฉลียวฉลาด ยังสามารถท่องจำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตอัจฉริยะมากมายแห่งต้าเซี่ยในตลอดพันปีที่ผ่านมา ต่างก็อุทิศตนศึกษาและขบคิดอย่างลึกซึ้งในสี่ตำราห้าคัมภีร์พูดได้ว่าแนวทางแห่งขงจื๊อ เปรียบเสมือนเส้นทางโคลนที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยผู้คนมากมายการจะสร้างความแปลกใหม่ บุกเบิกแนวคิดใหม่ หรือเขียนตำราใหม่ บนเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำจนเลอะเทอะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายไม่?หากมีผู้ใดสามารถทำได้จริงเช่นนั้น สมญานักปราชญ์ ก็คู่ควรกับเขาอย่างแท้จริง!เพียงแต่เสิ่นชิงโจวรู้ดีว่า ตนไม่มีความสามารถนั้นหลี่หลงหลิน แม้จะเคยศึกษาตำราของนักปราชญ์มาหลายปี แต่ก็ยิ่งไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้“เขียนตำราบุกเบิกแนวคิดใหม่...”“ข้ากลับมีอยู่จริงๆ!”ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หลี่หลงหลินไม่รีบร้อนหรือลนลานแม้แต่น้อย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะประกาศแนวคิดใหม่ ตั้งชื่อว่า... ปรัชญาแห่งจิตใจ!”ฉากนี้ทำให้ผู้คนมากมายถึงกับตะลึงงั
นักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?คำคำนี้ดังราวกับสายฟ้าฟาด ก้องกังวานในหูของทุกคนอะไรกัน?ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!เมื่อครู่รัชทายาทเพิ่งบอกว่าตนเองเป็นนักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?นักปราชญ์ใหม่ก็คือนักปราชญ์คนใหม่!รัชทายาทหมายความว่า ตนเองสามารถเทียบได้กับนักปราชญ์อันดับสอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาเป็นนักปราชญ์อันดับสามของสำนักปราชญ์ในรอบพันปีหรือ?นี่ นี่ นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!เหลือเชื่อยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกเสียอีก!“ฮ่าฮ่าฮ่า...”เสิ่นชิงโจวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นกุมท้องหัวเราะจนตัวงอเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตทั้งหลาย ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง“รัชทายาท ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”“นักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปราชญ์? ท่านหมายความว่า ท่านคือปราชญ์ของสำนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า! องค์ชายเสเพลผู้ไร้ความรู้ความสามารถเช่นท่าน กล้าประกาศตนเป็นนักปราชญ์ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ถ้าท่านเป็นนักปราชญ์ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นปราชญ์กันหมดแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอึ้ง ใบหน้างดงามแฝงความตกตะลึง ดวงตาหงส์จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ริมฝ
เสิ่นชิงโจวต้องมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้น จึงกล้าลงมือเสี่ยงอันตรายคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ฮ่องเต้หวู่ตาสว่าง พลันเข้าใจทุกอย่างทันทีเสิ่นชิงโจวไม่เพียงไม่พอใจที่จะเป็นขุนนาง แม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจเขาต้องการเป็นเจ้าลัทธิ!เขาต้องการเลียนแบบศาสนากางเขนของชาวตะวันตก เปลี่ยนขงจื๊อจากเพียงแนวคิดให้กลายเป็นศาสนา แล้วขึ้นครองอำนาจเหนืออำนาจฮ่องเต้แม้แต่ฮ่องเต้ ก็ยังต้องรับการสถาปนาจากเจ้าลัทธิ!ความทะเยอทะยานเช่นนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่เอง ยังรู้สึกราวกับสายเลือดทั่วร่างถูกแช่แข็งอีกด้านหนึ่งเสิ่นชิงโจวรู้สึกเหมือนถูกชกเข้ากลางอกอย่างแรง สีหน้าหม่นหมองถึงขีดสุดชัดเจนแล้วว่าหลี่หลงหลินเดาถูกต้อง!ทำไมเสิ่นชิงโจวจึงปลุกปั่นความวุ่นวาย แท้จริงแล้วเป้าหมายของเขาคืออะไรกันแน่?หากมนุษย์ไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงทัณฑ์เขาไม่ได้ทำเพื่อองค์ชายใหญ่หลี่เทียนฉี่ แต่ทำเพื่อตัวเอง!ความสำเร็จของฮ่องเต้ ก็คือการขยายแผ่นดินและอาณาเขตความสำเร็จของขุนนางมาจากการสนับสนุนและปกป้องผู้นำของตนหากหลี่เทียนฉี่ไม่ก่อกบฏ แต่ขึ้นครองบัลลังก์อย่างสงบเ
“ฮึๆ”หลี่หลงหลินหัวเราะเสียงเยียบเย็น หันมองเสิ่นชิงโจวแวบหนึ่ง สบถด่าออกมาโดยตรง “อาจารย์ฮ่องเต้บ้าบออะไร! ถึงรู้จักแต่วิธีการต่ำช้าเช่นนี้! ตัดรากถอนโคนหลักขงจื๊อ ล้มเลิกการสอบขุนนาง? นี่ข้าเคยพูดตั้งแต่ยามใด?”สีหน้าเสิ่นชิงโจวงุนงงไปคิดดูให้ดี หลี่หลงหลินคล้ายไม่เคยพูดมาก่อนจริงสุภาพชนมองผ่านการกระทำมิใช่จิตใจต่อให้ปากเจ้าไม่พูด แต่การกระทำทุกอย่าง กลับตั้งตนเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “รัชทายาท ตกลงเจ้าหมายความเยี่ยงไร? เรางงไปหมดแล้ว”หลี่หลงหลินเงยหน้า พูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ นักปราชญ์นั้นดี หลักขงจื๊อนั้นก็ดี การสอบขุนนางเองก็ดี! หากไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่หลักขงจื๊อ ต้าเซี่ยของข้าจะเจริญรุ่งเรืองได้เยี่ยงไร?”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนตกตะลึงรัชทายาทกำลังทำอันใด?เสิ่นชิงโจวเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ ยอมรับว่าสำนักปราชญ์มีความผิด ทำให้สำนักปราชญ์มีชื่อเสียงฉาวโฉ่หลี่หลงหลินกลับดี ถึงขั้นทำตรงข้ามกัน ล้างมลทินให้สำนักปราชญ์กระนั้น?ต่อให้ปากเขาพูดว่าหลักขงจื๊อ ไม่ใช่สำนักปราชญ์ ผิดไปหนึ่งคำแต่ในสายตาคนส่วนใหญ่ สำนักปราชญ์และหลักข
สำนักปราชญ์มีมาอย่างยาวนานนับพันปี เสิ่นชิงโจวก็เป็นเพียงหนึ่งเมล็ดข้าวในมหาสมุทรก็เท่านั้น!หรือว่า เราจะทำอย่างที่เจ้าเก้าพูด ใช้อำนาจล้มเลิกการสอบขุนนาง ทำลายสำนักปราชญ์ให้สิ้นซาก?ทว่าหากล้มเลิกการสอบขุนนาง แล้วจะใช้อะไรมาแทนที่เล่า?หรือว่าจะฟื้นฟูการสอบขุนนางในอดีต คัดเลือกขุนนางโดยยึดหลักความกตัญญูและคุณธรรม อาศัยการแนะนำจากชนชั้นสูง เลือกเฟ้นผู้มีความสามารถกระนั้น?นี่คือถอยหลังลงคลองกลับสู่ประวัติศาสตร์!ระบบในอดีตมีเล่ห์เหลี่ยมและทุจริตมากเสียยิ่งกว่า อำนาจตกอยู่ในมือของตระกูลขุนนาง!หลี่เทียนฉี่เห็นฮ่องเต้หวู่ลังเล ฉวยโอกาสนี้ลุกออกมา “เสด็จพ่อ สำนักปราชญ์เป็นรากฐานของต้าเซี่ย! สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! หากท่านคิดล้มเลิกการสอบขุนนาง นี่ไม่เพียงแค่ลูก ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก ยังมีบัณฑิตทั่วหล้าล้วนไม่มีวันยอมรับ!”เหล่าขุนนางต่างพากันคุกเข่า พูดประสานเสียง “จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้ สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยด้วย ถอนรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ภายในกลุ่มราษฎรเองก็มีคนลังเลไม่น้อยพวกเขามารับชมความครึกครื้น
“ยอมรับผิดอีกแล้ว?”หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เสิ่นชิงโจว หรือว่าท่านตั้งใจยื้อเวลา? นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”เขากลับอยากให้เสิ่นชิงโจวต่อต้านอย่างดื้อรั้น กัดฟันแน่น เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็ไม่ยอมแพ้เช่นนี้แล้วล่ะก็เขาสามารถตบหน้าเสิ่นชิงโจวแรงๆ อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมได้สรุปคือเสิ่นชิงโจวไม่มีเจตนาต่อสู้ทำให้หลี่หลงหลินรู้สึกเบื่อหน่ายอาจารย์ของฮ่องเต้! ราชครู!แค่นี้เองหรือ?หลี่หลงหลินพูดเสียงเย็น “ความผิดครั้งนี้ของท่าน คงไม่คิดโยนความผิดให้เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิเพื่อเอาตัวรอดอีกหรอกกระมัง?”เสิ่นชิงโจวส่ายหน้า “ไม่! ครั้งนี้ข้ายอมรับผิดอย่างแท้จริง! ทุจริตการสอบขุนนาง ฆ่าคนปิดปาก รับสินบนทำผิดกฎหมาย ข้าขอยอมรับความผิดทั้งหมดเหล่านี้! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่ข้า ยังมีบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นอีกด้วย!”“สำนักศึกษาทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วม”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนเงียบงันลานไป๋อวี้ขนาดใหญ่ แม้แต่เข็มตกก็สามารถได้ยินไม่ว่าขุนนางหรือราษฎร สีหน้าล้วนแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิ อ้าปากค้าง ลืมตากว้าง คล้ายเห็นผีก็มิปาน จับจ้องเสิ่นชิงโจวตาเขม็งอาจารย