เหล่านางคณิกาต่างพากันลุกขึ้น มีทั้งร้องเพลง มีทั้งเต้นรำ มีทั้งหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขสำนักการสังคีตกลายเป็นทะเลแห่งความสุข!ซูเฟิ่งหลิงตื่นเต้นเป็นพิเศษ มือกำหมัดแน่นนี่ต่างหากภาพที่ต้าเซี่ยพึงมี!กลับมาแล้ว!ทุกอย่างล้วนกลับมาแล้ว!ถัดจากเสียงหัวเราะมีความสุข หลี่หลงหลินร้องเพลงเสียงดัง“มีหนึ่งบทเพลง ขอทุกท่านเอียงหูฟัง!“ฆ้องกลองอาหารเลิศรสใดล้วนไม่สำคัญ ปรารถนาเพียงดื่มให้เมาไม่ฟื้น”“นับตั้งแต่โบราณปราชญ์บัณฑิตล้วนเงียบเหงา เว้นเสียแต่นักดื่มยังมีชื่อ”“งานเลี้ยงหอผิงเล่อของเฉินอ๋อง ดื่มสุราหมื่นถังสนุกสนานอย่างเต็มที่”“เหตุใดเจ้าของร้านเอ่ยว่าข้าไม่มีเงิน มีสุรามากน้อยเพียงใดก็เอามาให้หมด”ร้องถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่ายังขาดประโยคสุดท้ายไป แต่หลี่หลงหลินกลับหยุดอย่างอย่างกะทันหันทุกคนหยุดชะงักนิ่งไป ทั้งหมดล้วนร้อนใจมากหนิงชิงโหวเกาหัวงุนงง “ต่อไปเล่า...คงไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วหรอกกระมัง?”บทกวีอมตะ เหลือเพียงประโยคสุดท้ายแล้วหรือว่า หลี่หลงหลินใช้พรสวรรค์จนหมดไป เขียนไม่ออกแล้ว?หรือว่า เขาดื่มมากเกินไป เมาจนไม่ได้สติ?แต่งกวี ไม่คล้ายเขียนเรียงความ สาม
ตัวอย่างมีมากมายนักสำหรับการแสดงของตนนี้ หลี่หลงหลินสามารถให้ได้ถึงเก้าคะแนนหักหนึ่งคะแนน เพราะกลัวตนเองโอหังมากเกินไปหากไม่ผิดไปจากที่คาด พรุ่งนี้บทกวี ‘เชิญดื่มสุรา’ นี้จะเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง ชนิดที่ว่าโด่งดังตั้งแต่เหนือจรดใต้ที่จะโด่งดังไปพร้อมกัน ยังมีสุราเหินเวหาอีกด้วยไปจนถึงประโยคนี้ “สุราดี กวีดียิ่งขึ้น” หนิงชิงโหวได้ยินก็ดีใจมาก รีบลงจากหอไป อยู่ใต้รถม้าไม่ผิดไปดังคาด หาสุราไหสุดท้ายพบแล้ว วิ่งอุ้มกลับมาอย่างระมัดระวังและหยุดต่อหน้าหลี่หลงหลินหลี่หลงหลินเปิดฝาไหสุรา ดื่มด่ำรสชาติหอมหวานอย่างเต็มที่“ม้าห้าดอก”“เสื้อขนสัตว์ทองพันชั่ง”“เรียกลูกเจ้านำไปแลกสุราเลิศรส”“ร่วมดื่มลืมเศร้าทั้งมวลเถิด”หลังพูดจบ หลี่หลงหลินกอดไหสุรา นอนหลับไปครั้งนี้ เขาเอาชนะฤทธิ์สุราไม่ได้ เมาล้มลงไปแล้วจริงๆ!ทุกคนล้วนตกตะลึง อ้าปากกว้าง พูดไม่ออกอยู่นานประโยคสุดท้าย เติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์งดงาม!ร่วมดื่มลืมเศร้าทั้งมวลเถิด!หลุดพ้นมากเพียงใด กล้าหาญมากเพียงใด เด็ดเดี่ยวมากเพียงใด!กวีบทนี้อยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์ ทะยานสู่แดนเซียนแล้ว!องค์ชายเก้าสมเป็นจอมกวีแห่
ปัง!พวกนางคณิกาทะเลาะกันจนซูเฟิ่งหลิงปวดหัว ตบโต๊ะดังปัง พูดเสียงโกรธขึ้ง “พวกเจ้าไม่ต้องแย่งกันแล้ว! องค์ชายเก้าเป็นของข้า!”เหล่านางคณิกาอึ้งงัน มองซูเฟิ่งหลิงอย่างแปลกใจพี่ชายน้อยคนนี้ หล่อเหลาอย่างแท้จริง คล้ายทั้งชายและหญิงแต่ หว่างคิ้วนั้น ความองอาจเช่นนั้นของบุรุษ กลับเป็นสิ่งที่สตรีไม่สามารถเลียนแบบได้เขาบุรุษตัวโตคนหนึ่ง จะแย่งองค์ชายเก้า?เรื่องบ้าอะไรกัน?หรือว่า ต้องการต้อนรับบุรุษ บุรุษอยู่เหนือบุรุษ?แม้พูดว่าภายในสำนักการสังคีต พวกนางเคยเห็นเรื่องไร้สาระหมดทุกอย่างมาก่อนแต่นึกภาพชายหล่อเหลาสองคนอยู่ด้วยกัน พวกนางหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าแดงเรื่อ“ใช่แล้ว!”“ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวลือ องค์ชายเก้าเป็นตะวันพันมังกร!”“อ๊าย เขามิได้ชมชอบบุรุษจริงหรอกกระมัง?”“เป็นไปไม่ได้! อย่างน้อยก็ต้องเป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี!”เหล่านางคณิกานึกถึงข่าวลือในอดีต สีหน้าแดงยิ่งขึ้นอย่างสุดระงับซูเฟิ่งหลิงคร้านจะอธิบาย แบกหลี่หลงหลินออกไปแล้วคณิกาเหล่านั้นย่อมไม่ยอม รีบเข้ามาขวางไว้ซูเฟิ่งหลิงหยิบทวนเงินออกมา เปล่งเสียงเยียบเย็น “ใครขวัญกล้าขวางทางข้า! อย่
“หาไม่แล้ว จะต้องขายดีแน่!”แม่เล้ามองกลุ่มคนหัวดำทะมึน สลดใจภายในใจทว่า นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ของดีย่อมคุ้มค่าต่อการรอคอย!สุราต้องหมักนานถึงจะหอม!ภูเขาทิศประจิมหมักออกมาไม่ได้ ก็ทำได้เพียงรออีกสองสามวันขณะเดียวกันภูเขาทิศประจิมเองก็ครึกครื้นมากรถม้าหรูหราแต่ละคัน แล่นเข้าภูเขาทิศประจิมเจ้าของร้านและเถ้าแก่ร้านอาหารมีหน้ามีตาภายในเมืองหลวง ล้วนมาทั้งหมดแล้วพวกเขาเองก็ได้ยินเรื่องที่สำนักการสังคีตเมื่อวานนี้แล้ว นอกจากความตกใจต่อบทกวีของหลี่หลงหลิน ยังมีไหวพริบพบช่องทางทำการค้าอีกด้วยไม่ว่าเป็นใคร ได้อ่าน ‘เชิญดื่มสุรา’ แล้ว นอกจากตกตะลึงต่อพรสวรรค์ขององค์ชายเก้า จะต้องแปลกใจมากแน่ เชิญดื่มสุรานี้ ดื่มสุราอะไรเล่า?ฟังให้ดีอีกครั้ง!สุราเหินเวหา!สุราดี กวีดียิ่งขึ้น!ประโยคโฆษณานี้ ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!สุราเหินเวหา จะต้องโด่งดังแน่!ดังนั้น เถ้าแก่ร้านเจ้าของร้านเหล่านี้ รีบเดินทางมายังภูเขาทิศประจิม ต้องการเจรจาทำความร่วมมือหลี่หลงหลินย่อมไม่ออกหน้าด้วยตนเอง พบเถ้าแก่เหล่านี้ลั่วอวี้จู๋พบพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังลงนามในสัญญาแล้วอีกสองสามวันสุราเหินเว
ณ จวนองค์ชายสี่หลี่จือได้รู้ว่าหลี่หลงหลินอยู่ที่สำนักการสังคีต แต่งกวีอมตะหนึ่งบท ยังมีคณิกาเจ็ดคนอยู่เป็นเพื่อน คนก็โมโหหนัก“ถือสิทธิ์อะไร!”“เหตุใดเจ้าเก้าชนะข้าไปทุกเรื่อง!”“นี่ไม่ยุติธรรม!”หลี่จือบันดาลโทสะ ปาแจกันกระเบื้องเคลือบลงพื้นแตกกระจายเซียวเม่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้าง สายตายามสบมองหลี่จือ เจือความหมิ่นแคลนหลายส่วนเฮ้อเป็นองค์ชายเหมือนกันองค์ชายสี่กลับเป็นกระสอบฟางไร้ประโยชน์องค์ชายเก้ามีความรู้มหาศาล มีพรสวรรค์ด้านกวีเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?หากมีทางเลือกแล้วล่ะก็ เซียวเม่ยเอ๋อร์ยังยินดี ให้หลี่หลงหลินเป็นราชบุตรเขยของตน ไม่เลือกหลี่จือเพียงแต่น่าเสียดายหลี่หลงหลินดูเบาไม่สนใจตนตอนนี้เอง เซียวเซวียนเช่อเดินเข้ามา มองพื้นเละเทะแวบหนึ่ง เอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่ ท่านเองก็ได้เห็นกวีบทใหม่ขององค์ชายเก้าแล้วกระมัง?”หลี่จือเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “มีอะไรให้ดูกัน! ก็แค่กวีหนึ่งบทมิใช่หรือ! ใต้หล้ามีคนแต่งกวีได้มากมาย เจ้าเก้ามีอะไรยอดเยี่ยมกันเล่า!”เซียวเซวียนเช่อส่ายหน้า “หากเป็นบทกวีทั่วไป ไม่มีอะไรยอดเยี่ยมจริงนั่นล่ะ! แต่กวีอมตะ กล
เซียวเม่ยเอ๋อร์เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนเป็นซีดเผือด “โอ๊ย แย่แล้ว! เดิมทีหลี่หลงหลินเงินทุนหมดไปแล้วแท้ๆ แต่ผลปรากฏว่าสุราเหินเวหาที่เขาหมักดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะกลับมาตั้งตัวได้อีกหรือ?”สีหน้าของหลี่จือดูแย่ถึงขีดสุด หากความคิดของเซียวเซวียนเช่อถูกต้อง เช่นนั้นหลี่หลงหลินก็สามารถใช้เหล้าเวหาเหินนี้ เพียงอย่างเดียวก็ลบล้างกลยุทธ์ของใต้เท้าผู้นั้นได้อย่างง่ายดาย! หรือว่า... ใต้เท้าผู้นั้นยังไม่อาจเอาชนะหลี่หลงหลินได้เลยอย่างนั้นหรือ!เด็กคนนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่จือก็เอ่ยเสียงร้อนรนว่า “ท่านราชครู... แล้วจะทำอย่างไรดี?”เซียวเซวียนเช่อสูดลมหายใจลึกก่อนกล่าวว่า “ข้าก็ยังไม่แน่ใจ! คงมีแต่คืนนี้ที่ข้าต้องเสี่ยงอีกครั้ง ไปยังวิหารฟู่จื่อ เพื่อพบอาจารย์ของข้า! ขอเพียงองค์ชายสี่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้...”ฐานะของเซียวเซวียนเช่อนั้นพิเศษนัก หากเขาเข้าออกสถานที่อย่างวิหารฟู่จื่อตามอำเภอใจย่อมทำให้เกิดความสงสัย ดังนั้นเขาจึงมาขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่หลี่จือ ให้ช่วยจัดการนัดหมายในยามดึกแม้ว่าหลี่จือจะ
ท้องพระโรง“ฝ่าบาท!”“เมื่อคืนนี้เกิดเหตุเพลิงไหม้เผาคลัง คลังหลวงกลายเป็นเถ้าถ่าน!”“เสบียงที่สูญเสียไป มีมากกว่าสามแสนชั่ง!”“กระหม่อม...สมควรตายหมื่นครั้ง!”ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังคำนับแนบพื้น ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ราวกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางใจ สมองว่างเปล่าไม่อาจรับรู้สิ่งใด“เท่า...เท่าไหร่นะ?”“สามแสนชั่งหรือ?”เสบียงหนึ่งชั่ง เท่ากับหนึ่งร้อยจินสามแสนชั่ง ก็เสบียงคือสามสิบล้านจิน?ราชสำนักต้าเซี่ยเก็บเสบียงได้เพียงเท่านี้ในหนึ่งปี!แล้วทั้งหมดนี้ถูกเผาจนหมดเพียงกองไฟเดียว?ตุบ!ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงจนเกินไป ดวงตาพร่ามัว ร่างทรุดลงนั่งบนบัลลังก์มังกรอย่างหมดแรง ก่อนจะหมดสติไป“ฝ่าบาททรงเป็นลมแล้ว!”“เร็วเข้า! เรียกหมอหลวงมา!”เว่ยซวินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบตะโกนเสียงดังหมอหลวงรีบเร่งมาถึง ทั้งบีบจุดฝังเข็มและกรอกยา วุ่นวายกันอยู่นานกว่าจะช่วยให้ฮ่องเต้หวู่ฟื้นคืนสติได้“ประหาร...”“ลากเจ้าเศษสวะนี่ไปประหารเสีย!”สิ่งแรกที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ยเมื่อเบิกตาขึ้นคือคำสั่งอย่างโกรธเกรี้ยว ให้ลงโทษประหารผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังทันทีกรม
กลุ่มขุนนางทุจริตเหล่านี้ ช่างช่วยเหลือกันจริงๆฮ่องเต้หวู่รู้สึกโกรธจนอยากจะออกคำสั่งให้ประหารขุนนางทุจริตทั้งหมดนี้ สังหารทีละคน จนเลือดท่วมท้องพระโรง และทำให้แผ่นดินกลับมาสะอาดสะอ้านขึ้นแต่...ตรรกะของฮ่องเต้หวู่กลับบอกให้พระองค์รู้ว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้!ถึงแม้พระองค์จะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านราชสำนักทั้งหมดได้!“ถ้าเป็นไฟมังกรเผายุ้งฉางหลวง…”“ท่านขุนนาง ข้าผิดที่เข้าใจเจ้าผิด!”“เจ้าลุกขึ้นเถอะ!”ฮ่องเต้หวู่โบกมือให้กับผู้ช่วยเสนาบดีกรมการคลังผู้ช่วยเสนาบดีเป็นขุนนางขั้นสองในราชสำนักไม่สามารถสั่งตัดหัวได้ง่ายๆ!ในครั้งนี้ การแข่งขันในราชสำนัก ฮ่องเต้หวู่ต้องยอมอ่อนข้อผู้ช่วยเสนาบดีกรมการคลังถอนหายใจยาว และค่อยๆ ลุกขึ้นยืนในขณะนั้น หัวหน้าผู้ดูแลการทำนายท้องฟ้าได้ก้าวออกมาอย่างกะทันหัน และกล่าวว่า“ฝ่าบาท การที่ไฟมังกรเผายุ้งฉางหลวง นั่นคือลางร้ายยิ่งใหญ่! ชัดเจนว่ามีใครบางคนกำลังยุ่งกับการปกครองของราชสำนัก ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของฟ้าดิน จึงทำให้เกิดภัยพิบัติ!”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ มองไปยังหัวหน้าผู้ดูแลการทำนายท้องฟ้าด้วยความไม่เชื่อในร
นักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?คำคำนี้ดังราวกับสายฟ้าฟาด ก้องกังวานในหูของทุกคนอะไรกัน?ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!เมื่อครู่รัชทายาทเพิ่งบอกว่าตนเองเป็นนักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?นักปราชญ์ใหม่ก็คือนักปราชญ์คนใหม่!รัชทายาทหมายความว่า ตนเองสามารถเทียบได้กับนักปราชญ์อันดับสอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาเป็นนักปราชญ์อันดับสามของสำนักปราชญ์ในรอบพันปีหรือ?นี่ นี่ นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!เหลือเชื่อยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกเสียอีก!“ฮ่าฮ่าฮ่า...”เสิ่นชิงโจวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นกุมท้องหัวเราะจนตัวงอเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตทั้งหลาย ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง“รัชทายาท ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”“นักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปราชญ์? ท่านหมายความว่า ท่านคือปราชญ์ของสำนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า! องค์ชายเสเพลผู้ไร้ความรู้ความสามารถเช่นท่าน กล้าประกาศตนเป็นนักปราชญ์ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ถ้าท่านเป็นนักปราชญ์ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นปราชญ์กันหมดแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอึ้ง ใบหน้างดงามแฝงความตกตะลึง ดวงตาหงส์จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ริมฝ
เสิ่นชิงโจวต้องมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้น จึงกล้าลงมือเสี่ยงอันตรายคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ฮ่องเต้หวู่ตาสว่าง พลันเข้าใจทุกอย่างทันทีเสิ่นชิงโจวไม่เพียงไม่พอใจที่จะเป็นขุนนาง แม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจเขาต้องการเป็นเจ้าลัทธิ!เขาต้องการเลียนแบบศาสนากางเขนของชาวตะวันตก เปลี่ยนขงจื๊อจากเพียงแนวคิดให้กลายเป็นศาสนา แล้วขึ้นครองอำนาจเหนืออำนาจฮ่องเต้แม้แต่ฮ่องเต้ ก็ยังต้องรับการสถาปนาจากเจ้าลัทธิ!ความทะเยอทะยานเช่นนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่เอง ยังรู้สึกราวกับสายเลือดทั่วร่างถูกแช่แข็งอีกด้านหนึ่งเสิ่นชิงโจวรู้สึกเหมือนถูกชกเข้ากลางอกอย่างแรง สีหน้าหม่นหมองถึงขีดสุดชัดเจนแล้วว่าหลี่หลงหลินเดาถูกต้อง!ทำไมเสิ่นชิงโจวจึงปลุกปั่นความวุ่นวาย แท้จริงแล้วเป้าหมายของเขาคืออะไรกันแน่?หากมนุษย์ไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงทัณฑ์เขาไม่ได้ทำเพื่อองค์ชายใหญ่หลี่เทียนฉี่ แต่ทำเพื่อตัวเอง!ความสำเร็จของฮ่องเต้ ก็คือการขยายแผ่นดินและอาณาเขตความสำเร็จของขุนนางมาจากการสนับสนุนและปกป้องผู้นำของตนหากหลี่เทียนฉี่ไม่ก่อกบฏ แต่ขึ้นครองบัลลังก์อย่างสงบเ
“ฮึๆ”หลี่หลงหลินหัวเราะเสียงเยียบเย็น หันมองเสิ่นชิงโจวแวบหนึ่ง สบถด่าออกมาโดยตรง “อาจารย์ฮ่องเต้บ้าบออะไร! ถึงรู้จักแต่วิธีการต่ำช้าเช่นนี้! ตัดรากถอนโคนหลักขงจื๊อ ล้มเลิกการสอบขุนนาง? นี่ข้าเคยพูดตั้งแต่ยามใด?”สีหน้าเสิ่นชิงโจวงุนงงไปคิดดูให้ดี หลี่หลงหลินคล้ายไม่เคยพูดมาก่อนจริงสุภาพชนมองผ่านการกระทำมิใช่จิตใจต่อให้ปากเจ้าไม่พูด แต่การกระทำทุกอย่าง กลับตั้งตนเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “รัชทายาท ตกลงเจ้าหมายความเยี่ยงไร? เรางงไปหมดแล้ว”หลี่หลงหลินเงยหน้า พูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ นักปราชญ์นั้นดี หลักขงจื๊อนั้นก็ดี การสอบขุนนางเองก็ดี! หากไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่หลักขงจื๊อ ต้าเซี่ยของข้าจะเจริญรุ่งเรืองได้เยี่ยงไร?”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนตกตะลึงรัชทายาทกำลังทำอันใด?เสิ่นชิงโจวเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ ยอมรับว่าสำนักปราชญ์มีความผิด ทำให้สำนักปราชญ์มีชื่อเสียงฉาวโฉ่หลี่หลงหลินกลับดี ถึงขั้นทำตรงข้ามกัน ล้างมลทินให้สำนักปราชญ์กระนั้น?ต่อให้ปากเขาพูดว่าหลักขงจื๊อ ไม่ใช่สำนักปราชญ์ ผิดไปหนึ่งคำแต่ในสายตาคนส่วนใหญ่ สำนักปราชญ์และหลักข
สำนักปราชญ์มีมาอย่างยาวนานนับพันปี เสิ่นชิงโจวก็เป็นเพียงหนึ่งเมล็ดข้าวในมหาสมุทรก็เท่านั้น!หรือว่า เราจะทำอย่างที่เจ้าเก้าพูด ใช้อำนาจล้มเลิกการสอบขุนนาง ทำลายสำนักปราชญ์ให้สิ้นซาก?ทว่าหากล้มเลิกการสอบขุนนาง แล้วจะใช้อะไรมาแทนที่เล่า?หรือว่าจะฟื้นฟูการสอบขุนนางในอดีต คัดเลือกขุนนางโดยยึดหลักความกตัญญูและคุณธรรม อาศัยการแนะนำจากชนชั้นสูง เลือกเฟ้นผู้มีความสามารถกระนั้น?นี่คือถอยหลังลงคลองกลับสู่ประวัติศาสตร์!ระบบในอดีตมีเล่ห์เหลี่ยมและทุจริตมากเสียยิ่งกว่า อำนาจตกอยู่ในมือของตระกูลขุนนาง!หลี่เทียนฉี่เห็นฮ่องเต้หวู่ลังเล ฉวยโอกาสนี้ลุกออกมา “เสด็จพ่อ สำนักปราชญ์เป็นรากฐานของต้าเซี่ย! สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! หากท่านคิดล้มเลิกการสอบขุนนาง นี่ไม่เพียงแค่ลูก ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก ยังมีบัณฑิตทั่วหล้าล้วนไม่มีวันยอมรับ!”เหล่าขุนนางต่างพากันคุกเข่า พูดประสานเสียง “จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้ สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยด้วย ถอนรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ภายในกลุ่มราษฎรเองก็มีคนลังเลไม่น้อยพวกเขามารับชมความครึกครื้น
“ยอมรับผิดอีกแล้ว?”หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เสิ่นชิงโจว หรือว่าท่านตั้งใจยื้อเวลา? นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”เขากลับอยากให้เสิ่นชิงโจวต่อต้านอย่างดื้อรั้น กัดฟันแน่น เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็ไม่ยอมแพ้เช่นนี้แล้วล่ะก็เขาสามารถตบหน้าเสิ่นชิงโจวแรงๆ อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมได้สรุปคือเสิ่นชิงโจวไม่มีเจตนาต่อสู้ทำให้หลี่หลงหลินรู้สึกเบื่อหน่ายอาจารย์ของฮ่องเต้! ราชครู!แค่นี้เองหรือ?หลี่หลงหลินพูดเสียงเย็น “ความผิดครั้งนี้ของท่าน คงไม่คิดโยนความผิดให้เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิเพื่อเอาตัวรอดอีกหรอกกระมัง?”เสิ่นชิงโจวส่ายหน้า “ไม่! ครั้งนี้ข้ายอมรับผิดอย่างแท้จริง! ทุจริตการสอบขุนนาง ฆ่าคนปิดปาก รับสินบนทำผิดกฎหมาย ข้าขอยอมรับความผิดทั้งหมดเหล่านี้! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่ข้า ยังมีบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นอีกด้วย!”“สำนักศึกษาทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วม”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนเงียบงันลานไป๋อวี้ขนาดใหญ่ แม้แต่เข็มตกก็สามารถได้ยินไม่ว่าขุนนางหรือราษฎร สีหน้าล้วนแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิ อ้าปากค้าง ลืมตากว้าง คล้ายเห็นผีก็มิปาน จับจ้องเสิ่นชิงโจวตาเขม็งอาจารย
เสิ่นชิงโจวเป็นคนล้ำลึก ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ฉินฮั่นหยางและบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นกลับทนไม่ไหวแล้ว สีหน้ากระวนกระวายหวาดกลัวสุดขีด คล้ายหายนะกำลังมาเยือนครู่ต่อมาพวกเขาสบตากัน ทำเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึงและเหลือเชื่อเห็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งหมดถลันขึ้นไป ฉีกจดหมายนิรนามเหล่านั้น ยัดเข้าปากและพยายามกลืนลงไป“หา?”“ตาเฒ่ากลุ่มนี้คิดทำลายหลักฐานความผิด!”“ไม่ต้องการหน้าตาแล้วกระมัง?”“คิดว่าฝ่าบาทตาบอดหรือ?”เหล่าราษฎรตกตะลึงหน้าถอดสี สบถด่าเสียงดังเดิมทีซูเฟิ่งหลิงอยากเข้าไปห้ามหลี่หลงหลินกลับยื่นมือออกไปขวางซูเฟิ่งหลิงไว้ ยิ้มเย็นพลางพูด “เข้ามา เอาจดหมายนิรนามที่เหลือทั้งหมดเข้ามา!”ครู่ต่อมาองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดก็แบกตะกร้าขนาดใหญ่มากมายเข้ามายังลานไป๋อวี้ซ่า...เทของในตะกร้าออกมา ทั้งหมดล้วนคือจดหมายนิรนามกองโตเท่าภูเขาลูกเล็กหลี่หลงหลินเดินขึ้นไปหยุดต่อหน้าฉินฮั่นหยาง บีบปลายคางของเขา ยิ้มเย็นพูดว่า “บัณฑิตฉิน จดหมายนิรนามเหล่านี้อร่อยหรือไม่? ในเมื่อเจ้าชอบกินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าขอเลี้ยงเจ้าจนพอใจเลยแล้วกัน!”พวกฉินฮั่นหยางตกตะลึงพรึงเพร
กระดูกภายในหีบ ทั้งหมดล้วนขุดออกจากหน้ารูปปั้นนักปราชญ์ที่หลังเขาสำนักศึกษา?บนลานไป๋อวี้ เงียบสงัดไปทั้งผืนไม่ว่าขุนนางหรือราษฎร ทั้งหมดล้วนลืมตาอ้าปากค้าง สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดภายในจดหมายนิรนามล้วนเป็นความจริงทุกประโยคเดิมทีสำนักศึกษาคือแดนสวรรค์สั่งสอนให้ความรู้คนบัดนี้กลับกลายเป็นสถานที่ปกปิดความชั่วสกปรกโสมมกระดูกขาวเหล่านี้ คล้ายกำลังพูดออกมาสองคำ...กินคน!ฮ่องเต้หวู่ปวดใจอย่างมาก เดินโงนเงนมาที่หน้าหีบ มองซากศพภายใน“ฝ่าบาท ระวังพิษจากศพพ่ะย่ะค่ะ...”เว่ยซวินยื่นผ้าเช็ดหน้าปักลายให้ เอ่ยปากร้องเตือนฮ่องเต้หวู่กลับโบกมือ ไม่ได้รับไว้ สายตาจับจ้องกระดูกขาวภายในหีบ ไม่พูดจาอยู่นานก็เหมือนที่หลี่หลงหลินพูดกระดูกส่วนใหญ่เป็นของเด็กหนุ่ม ร่างกายกำลังเจริญเติบโต แต่กลับไม่อาจเติบโตจนสำเร็จได้ไม่แปลกใจเพราะบัณฑิตที่มาขอเรียนที่สำนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีส่วนอดีตซิ่วไฉที่สอบไม่ผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจแหลกสลายจนเย็นชา ไม่อยู่ศึกษาที่สำนักศึกษาต่อ แต่เลือกกลับไปเรียนหนักที่บ้านเกิดทว่า ภายในกระดูกเหล่านี้ยังมีกระดูกของเด็กอายุราวเ
หลี่หลงหลินยิ้มเย็นทีหนึ่ง เหลือบมองเสิ่นชิงโจว “ใครพูดว่ามีเพียงพยานวัตถุ ไม่มีพยานบุคคล ก็ไม่สามารถลงโทษท่านได้เล่า! ท่านพูดว่าจดหมายนิรนามนี้ล้วนเป็นคำพูดส่งเดช ถูกสร้างขึ้นมา?”“ข้าลอบให้องครักษ์เสื้อแพรสืบตามเนื้อหาในจดหมายแล้ว”“อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วนก็คือเรื่องจริง!”ซี้ด...เสียงหายใจเย็นดังขึ้นระลอกหนึ่งหลี่หลงหลินเตรียมการไว้รอบด้านไม่ผิดไปดังคาด!เขาถึงขั้นส่งองครักษ์เสื้อแพรออกไปลอบสืบจดหมายนิรนาม ยิ่งไปกว่านั้นยังได้หลักฐานที่แท้จริงคดีทุจริตการสอบขุนนางมีมานานมากแล้วช่วงล่าสุดก็คือหนึ่งถึงสองปีก่อนช่วงเวลายาวนานยิ่งกว่านี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง สิบปีไปจนถึงสามสิบสี่สิบปีก็ล้วนมีทั้งสิ้นจดหมายนิรนามไร้สาระที่สุดหนึ่งฉบับพูดว่าคือเมื่อห้าสิบปีก่อน อดีตฮ่องเต้ยังครองบัลลังก์ ฮ่องเต้หวู่ยังไม่ได้รับสืบทอดบัลลังก์จากเรื่องนี้สามารถมองออกว่าสำนักปราชญ์ผูกขาดการสอบขุนนาง ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ แต่มีมานานมากแล้วน่ากลัวว่ายามต้าเซี่ยเพิ่งสถาปนาแคว้น รากหายนะก็หยั่งลงลึกแล้วคนเขียนจดหมายนิรนามมีความโกรธแค้นอย่างลึกซึ้งต่อสำนักปราชญ์ กอปรกับมุมม
กลยุทธ์ถ่วงเวลา ที่ใช้หมื่นครั้งได้ผลหมื่นครั้งครั้งนี้กลับพ่ายแพ้ยามอยู่ต่อหน้าหลี่หลงหลินเสิ่นชิงโจวขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่สบอารมณ์อีกฝ่ายมิได้ต่อสู้ส่งเดช แต่เตรียมการมาก่อน...รับมือยากยิ่ง!หน้าท้องพระโรง ฮ่องเต้หวู่โบกมือสั่งคนไปยกเก้าอี้มังกรสีทองเข้ามา หลังนั่งลงไปแล้ว มุมปากก็ยกขึ้นเผยรอยยิ้มน่าสนใจ!กลยุทธ์ถ่วงเวลานี้ แม้แต่เราก็ปวดหัวมาก ไม่มีหนทางรับมือเจ้าเก้ากลับจัดการได้อย่างผ่อนคลาย ทำให้เสิ่นชิงโจวรับมือไม่ทันจากนี้ไปเขายังมีอุบายอันใดอีก?ฮ่องเต้หวู่นั่งบนเก้าอี้มังกร สนใจอย่างมาก นั่งดูเสือต่อสู้กันหลี่หลงหลินหันหน้า สายตาตกลงที่ราษฎรทั้งหมด “ข้ารู้พวกเจ้ารู้สึกโกรธเคืองภายในใจ! ข้ายังรู้อีกว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาด มีความกล้าลุกออกมา ต่อสู้กับสำนักปราชญ์เน่าเฟะอย่างสุดชีวิต!”“แต่ ไม่จำเป็น!”“มีตัวอักษรอันเป็นหยาดโลหิตและน้ำตาของพวกเจ้าในจดหมายนิรนาม นี่ก็เพียงพอแล้ว!”“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลุกออกมาเปิดเผยฐานะเพื่อเสี่ยงอันตราย!”“ข้าจะรับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าเอง!”เหล่าราษฎรอึ้งงันรัชทายาทถึงขั้นห้ามมิให้บุคคลนิรนามลุกออกมา?หรือว่า