เมื่อซุนชิงไต้ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีขนมไหว้พระจันทร์น้ำตาลทรายขาวให้กินอีก ก็ยิ้มจนหน้าบานทันที “ตกลง!” นางยอมแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ที่เหลือออกมา มอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่าซู รวมถึงลั่วอวี้จู๋และหลิ่วหรูเยียน ส่วนกงซูหว่านกำลังยุ่งอยู่ที่สถาบันวิจัยภูเขาทิศประจิม ถึงแม้ในวันไหว้พระจันทร์นางก็ยังต้องทำงานล่วงเวลา จึงไม่ได้ลิ้มรสขนมไว้พระจันทร์นี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะที่สถาบันมีน้ำตาลทรายขาวอยู่ กงซูหว่านจึงไม่ค่อยตื่นเต้นนัก หลังจากลั่วอวี้จู๋และหลิ่วหรูเยียนได้ลิ้มรสขนมไหว้พระจันทร์น้ำตาลทรายขาวแล้ว พวกนางต่างก็ทึ่ง หลิ่วหรูเยียนพูดด้วยความตกใจ “ข้าเคยคิดว่าขนมของสำนักการสังคีตนั้นประณีตมากแล้ว! แต่เมื่อเทียบกับขนมไหว้พระจันทร์น้ำตาลทรายขาวนี่ มันยังห่างชั้นนัก!” ลั่วอวี้จู๋ก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใช่เลย! ตอนที่ข้าอยู่เจียงหนานก็ไม่เคยได้กินขนมรสเลิศเช่นนี้! ถ้านำออกไปขาย ต้องทำเงินได้มหาศาลแน่!” หลี่หลงหลินยิ้ม พร้อมเอ่ยชมเชย “พี่สะใภ้ใหญ่นี่ช่างมีหัวการค้าจริง ๆ! แต่ว่านะ แม้สุราจะหอมแค่ไหนก็ยังกลัวซอยลึก ยังต้องทำการตลาดให้ดีถึงจะได้!” ลั่วอวี้จู๋อึ้งไป “ทำการตลาด?”
หลี่หลงหลินพยายามหาคำพูดอยู่นาน จู่ ๆ ดวงตาก็เปล่งประกาย “เพราะพรุ่งนี้ในวังจะมีงานเลี้ยงครอบครัว! เจ้าคือพระชายา ย่อมต้องไปเข้าร่วม!” ซูเฟิ่งหลิงมุ่ยปาก “อย่ามาโกหกข้า! งานเลี้ยงครอบครัวน่ะจัดตอนกลางคืน ที่ชมจันทร์ไปพลาง รวมญาติไปพลาง การทำขนมไหว้พระจันทร์ทำตอนกลางวันได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้นเลย!” หลี่หลงหลินถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เด็กโง่คนนี้ ทำไมถึงเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ถึงขั้นจับได้ว่าข้าโกหก! หลี่หลงหลินสูดลมหายใจลึก และตัดสินใจใช้ไม้ตาย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “งานเลี้ยงครอบครัวจัดตอนกลางคืนก็จริง! แต่ถ้าข้าคาดไม่ผิด องค์หญิงของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือกับราชครูเกรงว่าจะมาร่วมงานด้วย!” เมื่อซูเฟิ่งหลิงได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และหายใจเร็วขึ้น “จริงหรือ? แต่งานเลี้ยงครอบครัวในวันไหว้พระจันทร์ พวกเขาเป็นคนนอก จะมาทำไม?” หลี่หลงหลินยิ้มเจื่อนๆ “ก็เพราะชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือต้องการสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานไงเล่า! และเซียวเม่ยเอ๋อร์เองก็วางแผนที่จะเลือกคู่ครองหลังจากเหล่าองค์ชายได้เลือกไปแล้ว หรือก็คือว่า แม้จะยังไม่ได้ตกลงกันจริงจัง แต่เซียวเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ถ
ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า "ได้! พรุ่งนี้ข้าจะไปหาพี่สะใภ้สี่..." แต่หลี่หลงหลินส่ายหัว ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของซูเฟิ่งหลิงว่า ซูเฟิ่งหลิงฟังแล้วก็ยิ่งตกตะลึง "องค์ชายเก้า ท่านคิดจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ? จะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ? ถ้าฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมา..." หลี่หลงหลินหัวเราะเบา ๆ "วางใจเถอะ! ข้ารู้ใจเสด็จพ่อดี เจ้าทำตามที่ข้าบอก ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครตำหนิเจ้า แต่เจ้ายังโดดเด่นจนทุกคนต้องตะลึงด้วย!" ประกายแห่งความมั่นใจฉายวาบในแววตาของซูเฟิ่งหลิง "ตกลง!" รุ่งเช้า ในวันไหว้พระจันทร์ ทั่วทั้งพระราชวังถูกประดับประดาโคมไฟผ้าสีไว้อย่างงดงาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริง เมื่อยามราตรีมาถึง พระจันทร์ดวงกลมโตเปล่งแสงกระจ่าง ทอประกายอยู่บนฟากฟ้าสีคราม ในสวนหลวง งานเลี้ยงครอบครัวของราชวงศ์กำลังดำเนินไป โดยมีไทฮองไทเฮาประทับนั่งอยู่ตรงกลาง และมีฮ่องเต้หวู่และฮองเฮาหลู่นั่งอยู่ทั้งสองข้าง เหล่าบรรดาองค์ชายและสนมต่างประทับเรียงรายกันไป ชมจันทร์ไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นใจจริงๆ แต่แล้ว เสียงแปลกแยกก็ดังขึ้น องค์ชายสี่หลี่จือกวาดสายตามองรอบ ๆ ก่อนจะ
โดยเฉพาะเซียวเม่ยเอ๋อร์ ที่สวมใส่เครื่องประดับทั้งทองเงิน พร้อมชุดกระโปรงอันหรูหรา สวยงามราวกับเทพธิดา ใบหน้างดงามราวกับจะล่มเมือง เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไปได้ทันที! เหล่าองค์ชายต่างตะลึงจนตาแทบถลนออกมา! หลี่จือกลืนน้ำลายไม่หยุด และเอ่ยขึ้นด้วยความอยากได้ว่า “องค์หญิงเผ่าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือนี่ช่างงดงามราวกับเทพธิดา! หากได้ใช้คืนแห่งความสุขร่วมกับนางสักคืน ข้าคงตายตาหลับ!” เซียวเม่ยเอ๋อร์จับชายกระโปรงที่ประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง ย่างเท้าอย่างอ่อนช้อย แผ่วเบา เดินมาเบื้องหน้าไทฮองไทเฮา เอ่ยเรียกเสียงหวาน “เสด็จย่าเพคะ!” เสียงนั้นหวานจับใจจนกระดูกแทบจะละลาย! แต่ไทฮองไทเฮากลับมีสีหน้าไม่พอใจ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ฝ่าบาท! งานเลี้ยงในครอบครัวเช่นนี้ ไฉนมีพวกชาวหมานมาอยู่ที่นี่ได้?” แม้ไทฮองไทเฮาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจน เผ่าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือได้เข้ายึดครองดินแดน ฆ่าประชาชนของเรา ความเกลียดชังนองเลือดนี้ ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้! แม้ผู้อื่นจะต้องเสแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับเซียวเม่ยเอ๋อร์ด้วยสถานะทูต
“มาแล้ว!” แววตาของเซียวเม่ยเอ๋อร์ฉายแสงแหลมคม งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ ทำไมตอนเซียวเม่ยเอ๋อร์มาถึงต้องแสดงตัวอย่างโอ่อ่า สวยสง่าเหนือคนทั้งปวง ไม่หวั่นเกรงที่จะทำให้บรรดาสาวงามสามพันนางในวังโกรธเคือง? เหตุผลนั้นง่ายมาก! ข้าเลือกเจ้าหลี่หลงหลินให้เป็นราชบุตรเขยของข้า แต่เจ้ากลับไม่ยินยอม อีกทั้งยังพูดคำพูดที่ไม่สมควร! เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวง ทุกตรอกซอกซอย ไม่มีใครไม่รู้! ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าชาวเผ่าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนืออย่างแรง! ความโกรธนี้เซียวเม่ยเอ๋อร์จะยอมกล้ำกลืนได้อย่างไร? วันนี้ เซียวเม่ยเอ๋อร์ตั้งใจจะมาป่วนงาน! นางต้องการให้ทั้งใต้หล้ารู้ว่าองค์หญิงเช่นนางหมายตาเจ้าหลี่หลงหลิน เจ้าทำบุญแปดชาติก็ไม่โชคดีเช่นนี้! ผู้หญิงทั้งต้าเซี่ยล้วนไม่สามารถเทียบเทียมองค์หญิงเช่นนางได้! โดยเฉพาะนางซูเฟิ่งหลิง! นางเป็นใครกัน! แค่แม่เสือโคร่งคนหนึ่ง เป็นเพียงสิงโตเหอตงเท่านั้น! เจ้ายอมปฏิเสธตำแหน่งราชบุตรเขยของข้าเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเช่นนั้นเนี่ยนะ! เจ้าตาบอดหรืออย่างไร! “หลี่หลงหลิน!” “ศักดิ์ศรีที่ชาวชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเสีย
อีกฝ่ายนั้นเป็นถึงองค์หญิงแห่งเผ่าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ! ปัง! เซียวเซวียนเช่อได้สติกลับมา ก็ตบโต๊ะด้วยความโกรธแล้วลุกขึ้น พูดเสียงดังลั่นว่า “ฝ่าบาท พระองค์ก็เห็นแล้ว! ซูเฟิ่งหลิงกระทำเช่นนี้ ทำให้แคว้นของเราเสื่อมเสียเกียรติ ขอฝ่าบาทลงโทษอย่างหนัก!” “เอ่อ...” ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร แม้การกระทำของซูเฟิ่งหลิงจะดูหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ในใจลึก ๆ ฮ่องเต้หวู่กลับรู้สึกสะใจไม่น้อย! เซียวเม่ยเอ๋อร์ผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ อาศัยว่าตัวเองยังสาวและมีหน้าตาสะสวย ก็กล้าที่จะมาดูหมิ่นพระสนมในวังหลวงอย่างเปิดเผย? ในใจของเหล่าสนมต่างก็เจ็บแค้น ฮ่องเต้หวู่เองก็ไม่ต่างกัน! แต่ถึงกระนั้น ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้หวู่ย่อมไม่อาจตัดสินด้วยอารมณ์ได้ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ซูเฟิ่งหลิง เหตุใดเจ้าถึงตบหน้าองค์หญิงแห่งชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ซ้ำยังด่าว่านางเป็นแพศยา? หากเจ้าอธิบายไม่ได้ ก็อย่าโทษที่เราจะลงโทษเจ้าเลย!” ซูเฟิ่งหลิงก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ประสานมือคำนับฮ่องเต้หวู่ “กราบทูลฝ่าบาท ตระกูลซูของหม่อมฉันเต็มไปด้วยวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ล้วนพลีชีพเพื่อปกป้องชา
ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไทฮองไทเฮาผู้จิตใจดีมีเมตตา ทำไมถึงดูโหดกว่านางเสียอีก! ถึงกับจะให้ตบนางเซียวเม่ยเอ๋อร์อีกสามสิบทีหรือ? ใบหน้างดงามเย้ายวนของนาง คงต้องยับเยินไม่มีชิ้นดีแน่! ฮองเฮาหลู่ก็หัวเราะพลางพูดว่า “เสด็จแม่กล่าวถูกต้อง! แต่สามสิบที ดูจะน้อยไปหน่อย! ตบนางสักหกสิบทีดีกว่า จึงจะสามารถบอกกล่าววีรบุรุษตระกูลซูที่อยู่บนสวรรค์ได้!” เหล่าสนมถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เป็นที่รู้กันว่าฮองเฮาหลู่กับไทฮองไทเฮานั้น เป็นแม่สามีลูกสะใภ้ที่ไม่ลงรอยกัน เรื่องนี้รู้กันไปทั่วทั้งวังหลัง แต่ใครจะคิดว่า ทั้งคู่จะร่วมมือกันออกหน้าแทนซูเฟิ่งหลิงนี่เป็นภาพที่หาได้ยากยิ่ง! ทางฝั่งเซียวเม่ยเอ๋อร์เกือบจะโมโหจนคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว!“พวกเจ้า...” “ร่วมมือกันรังแกข้า!” "ข้าจะไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าดินเดียวกับพวกเจ้า!" “รอให้ข้ากลับไปยังชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก่อน ข้าจะฟ้องเสด็จพ่อ ให้เขานำกองทัพม้าเหล็กของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมากวาดล้างพวกเจ้าทั้งหมด...” เซียวเม่ยเอ๋อร์พูดด้วยความโกรธ และเตรียมจะสะบัดแขนเสื้อจากไป แต่เซียวเซวียนเช่อกลับยื่นแขนออกมาขว
องค์ชายสี่หลี่จือพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าเก้า ในเมื่อเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ก็ลองประลองกับท่านราชครูชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือดูสิ! ถ้าชนะได้ก็จะช่วยเชิดชูเกียรติให้ต้าเซี่ย!” หลี่หลงหลินปรายตามองหลี่จือแวบหนึ่ง “เหอะเหอะ!” เจ้าพูดว่าจะประลองบทกวี แล้วก็จะประลองเลยหรือ? ต่อหน้าฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทฮองไทเฮา ตัวเจ้าถือเป็นใครกัน! ไทฮองไทเฮาค่อนข้างแปลกใจ จึงหันไปถามซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าเก้ายังแต่งบทกวีเป็นด้วยหรือ? เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าเขาเกลียดการอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือขาดการศึกษา?” แม้บทกวีชายแดนสามบทของหลี่หลงหลินจะโด่งดังในเมืองหลวง แต่ไทฮองไทเฮาอยู่ในพระราชวังชั้นในมานาน ไม่เคยออกไปข้างนอกเลย และไม่ได้สนใจบทกวี จึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ซูเฟิ่งหลิงรีบพูด “เสด็จย่า! พระองค์คงยังไม่ทราบ หลี่หลงหลินนั้นมีพรสวรรค์อย่างล้นเหลือ บทกวีชายแดนสามบทของเขา ทำให้คนทั้งเมืองหลวงต้องตกตะลึง! โดยเฉพาะบทกวีหม่านเจียงหงที่ปลุกใจผู้คนได้อย่างมหัศจรรย์!” “นอกจากนี้ เขายังเคยสอนศิษย์ถึงสองคน คนหนึ่งได้ตำแหน่งจอหงวน อีกคนหนึ่งสอบติดบัณฑิตชั้นสูง!