แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องลงมา หลี่หลงหลินถือถังน้ำ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ยืนอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง สีหน้าดูแย่มาก! ทหารพ่ายศึกของตระกูลซู นอนเกลื่อนกลาดไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในแอ่งน้ำ ซูเฟิ่งหลิงก็ไม่ต่างกัน นางนั่งหอบหายใจอยู่บนแท่นหิน เมื่อคืนนี้ หลี่หลงหลินเพิ่งจะนอนหลับไป ก็ถูกเสียงดังปลุกให้ตื่นขึ้น เมื่อสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดไฟไหม้ ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่เกิดเหตุไฟไหม้ก็ห่างกันเพียงสองเส้นถนน ไม่ได้ไกลจากจวนตระกูลซูเท่าไหร่นัก ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูร้อนมาถึง เป็นช่วงที่อากาศแห้งแล้ง เกิดไฟไหม้ได้ง่าย อาคารในยุคนี้ส่วนใหญ่ทำจากไม้ เมื่อเกิดไฟไหม้ จะลุกลามเป็นวงกว้าง เมืองครึ่งเมืองอาจได้รับผลกระทบ! หลี่หลงหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องของซูเฟิ่งหลิง ลากนางออกจากความฝัน ระดมพลที่เหลือจากวังหลวง ไปเริ่มดับไฟ! โชคดีที่มีทหารพ่ายศึกของตระกูลซูเหล่านี้ ต่อสู้กับไฟอย่างไม่กลัวตาย เพลิงจึงถูกควบคุมอยู่ในย่านใกล้เคียง และไม่ลุกลามออกไป ไม่อย่างนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะกลายเป็นทะเลเพลิง ความเสียหายไม่อาจประเมินได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีชา
หรือว่าจะมาปล้น? เว่ยซวินสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์แล้วตะโกนว่า: “พวกเจ้าต้องการทำอะไร? นี่คือรถม้าขององค์ชายเก้า! พระองค์กำลังจะเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเจ้ารีบหลีกทางไป!” เว่ยซวินเป็นพระเก้าพันปี มีชื่อเสียงมากกว่าหลี่หลงหลินหลายเท่า แต่เป็นชื่อเสียงด้านที่ไม่ดี เพราะไม่รู้ว่าชาวบ้านเหล่านี้ต้องการทำอะไร เว่ยซวินไม่กล้าเปิดเผยตัวตน จึงใช้ชื่อของหลี่หลงหลินมาอ้างแทน แม้ว่าชื่อเสียงของหลี่หลงหลินจะไม่ดีนัก แต่ช่วงนี้ก็มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ตุ้บ! สิ่งที่เว่ยซวินไม่คาดคิดก็คือ ชาวบ้านเหล่านี้ต่างคุกเข่าลงพร้อมกัน จากนั้นก้มลงคำนับแล้วพูดว่า: “องค์ชายเก้า ขอร้องล่ะ ท่านช่วยเราด้วย!” ม่านถูกเปิดออก หลี่หลงหลินก้าวออกมา กวาดสายตามองดูพวกชาวบ้าน: “นี่....พวกเจ้า..” ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งเป็รผู้นำในกลุ่มคน เอ่ยด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม: “องค์ชายเก้า เมื่อคืนนี้ขอบคุณท่านมากที่พาคนมาเสี่ยงชีวิตดับไฟ! ความกรุณาครั้งนี้ เราเห็นด้วยตา จดจำในใจไปจนวันตาย!!” “ถ้าไม่มีท่าน อย่าว่าแต่บ้านเลย แม้แต่ครอบครัวก็...” ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กหญิงวัยประมาณสามสี่ขวบอยู่ในอ้อมแขน เอ่ยด้วยรู้
ณ ตำหนักหยั่งซิน บรรยากาศภายในตึงเครียดเป็นอย่างมาก ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยไม่พูดอะไร เหล่าขุนนางข้าราชการทั้งหมดต่างคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว และไม่มีใครกล้าพูดอะไร “ฝ่าบาท!” “องค์ชายเก้าและซูเฟิ่งหลิงมาถึงแล้ว!” เว่ยซวินสาวเท้าก้าวเล็ก ๆ มาที่หน้าฮ่องเต้หวู่ “เชิญ!” ฮ่องเต้หวู่ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็รีบพูด หลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงเข้ามาในตำหนัก ทั้งสองคุกเข่าคำนับ จากนั้นฮ่องเต้หวู่ก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ: “ในเมื่อคนมาครบแล้ว! เจ้ากรมอาญา เจ้าจงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อีกครั้ง!” เจ้ากรมอาญาก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “กราบทูลฝ่าบาท! เมื่อคืนนี้มีกลุ่มคนชุดดำบุกเข้าไปในคุกหลวง และลงมือฆ่าผู้คุมหลายสิบนาย นักโทษอีกกว่าร้อยคน พร้อมทั้งชิงตัวองค์ชายหกไป!” “จากนั้น พวกเขาก็จุดไฟเผาคุกหลวง!” “มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ความเสียหายประเมินค่าไม่ได้!” “ความเสียหายที่เฉพาะเจาะจง กำลังคำนวณอยู่...” เมื่อหลี่หลงหลินได้ยินอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เขารู้ว่าไฟไหม้ที่คุกหลวงต้องเป็นการจงใจ แต่เข
ถ้าประกาศออกไปว่าเป็นคนขององค์ชายหกที่บุกเข้าไปในคุก ฆ่าคนและวางเพลิง ชาวบ้านจะต้องโกรธแค้นอย่างแน่นอน ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต! ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้หวู่จึงต้องการคนมาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน เหล่าขุนนางทั้งหมดก้มหน้าไม่พูดอะไร การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นเรื่องของแม่ทัพ พวกเขาเป็นข้าราชการ จะช่วยอะไรได้ล่ะ? สายตาของฮ่องเต้หวู่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” หลี่หลงหลินเข้าใจทันที ฮ่องเต้หวู่กำลังคิดถึงทหารพ่ายศึกของตระกูลซูอีกแล้ว! พระองค์ต้องการยืมกองกำลังทหารชั้นยอดนี้มาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองหลวง สำหรับฮ่องเต้หวู่ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หลี่หลงหลินย่อมไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้! ทหารพ่ายศึกหนึ่งพันนายนี้ เป็นเหมือนประกายไฟสุดท้ายของกองทัพตระกูลซู! ประกายไฟเล็ก ๆ สามารถลุกลามเป็นไฟใหญ่ได้ ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ จิตวิญญาณของกองทัพตระกูลซูก็ยังอยู่! ถ้าพวกเขาถูกฮ่องเต้หวู่ยืมตัวไป กองทัพตระกูลซูที่หลี่หลงหลินสร้างขึ้นใหม่ จะยังเป็นกองทัพตระกูลซูอยู่อีกหรือ?
ฮ่องเต้หวู่มองทอดสายตาไปยังเว่ยซวิน ถามว่า: “เว่ยกงกง เจ้าเก้าเสนอให้จัดตั้งองครักษ์เสื้อแพร และเสนอให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เว่ยซวินสมองอื้ออึง ยังไม่ทันได้ตอบสนอง อำนาจของขันทียิ่งใหญ่หรือไม่? แน่นอนว่าใหญ่! แต่อำนาจของขันที แม้จะใหญ่ ก็จำกัดอยู่แค่ในราชสำนัก! พูดตรง ๆ ขันทีก็แค่สามารถโต้เถียงกับข้าราชการและเล่นเกมการเมืองได้เท่านั้น ถ้าเจอคนที่ไม่ฟังเหตุผล เช่น หลีเฟิงอวิ๋น ท่านอ๋องที่มีอำนาจทหารแบบนี้ ขันทีก็ไร้ประโยชน์! เว่ยซวินยังจำได้ว่า หลีเฟิงอวิ๋นถือดาบบุกเข้ามาในตำหนักหยั่งซิน หมายมาดจะทำร้ายฮ่องเต้หวู่ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนขวางหลีเฟิงอวิ๋น พยายามปกป้องฮ่องเต้หวู่ สุดท้ายก็ถูกเตะกระเด็นออกไป ความรู้สึกอับอายและไร้ทางสู้แบบนั้น เว่ยซวินไม่อยากลิ้มรสอีกเป็นครั้งที่สองในชีวิตนี้! ถ้าตอนนั้น เว่ยซวินมีองครักษ์เสื้อแพรที่รู้เรื่องวรยุทธ์อยู่ข้าง ๆ สักสองสามคน หลีเฟิงอวิ๋นจะกล้าทำตัวอวดดีแบบนั้นหรือ? เว่ยซวินกระหายอำนาจทางทหารมานานแล้ว นี่คือเหตุผลที่เว่ยซวินส่งลูกบุญธรรมไปอยู่ในกองทัพ! แต่สุดท้าย ก็เพราะไปทำให้จางเฉวียนหรงกั๋
จิ้งจอกเฒ่าอย่างตู้เหวินยวน ก็มองออกว่าฮ่องเต้หวู่กำลังคิดถึงทหารพ่ายศึกของตระกูลซู การปลดเจ้าเมืองเมืองหลวงก็เป็นสัญญาณเตือนแล้ว! ถ้าหลี่หลงหลินตกลงมอบทหารพ่ายศึกของตระกูลซูให้ฮ่องเต้หวู่ ฮ่องเต้หวู่จะต้องแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นเจ้าเมืองเมืองหลวงอย่างแน่นอน! เพราะท้ายที่สุดแล้ว นอกจากหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถบัญชาการทหารพ่ายศึกของตระกูลซูได้! และถ้าหลี่หลงหลินเป็นเจ้าเมืองเมืองหลวง อำนาจในมือของเขาก็จะใหญ่เกินไป คุกคามผลประโยชน์ของกลุ่มข้าราชการ นี่คือสิ่งที่ตู้เหวินยวนและคนอื่น ๆ ไม่อยากเห็น ดังนั้น เมื่อฮ่องเต้ต้องการจัดตั้งองครักษ์เสื้อแพร พวกเขาจึงทำได้แค่ยอมรับ! แต่ไม่คาดคิดเลยว่า หลี่หลงหลินกลับให้เว่ยซวินเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และให้จางอี้บุตรชายของหรงกั๋วกงเป็นรองผู้บัญชาการ ด้วยวิธีนี้ ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างอำนาจของขันทีและชนชั้นสูง และใช้องครักษ์เสื้อแพรทำให้ขันทีและชนชั้นสูงร่วมมือกัน จากนี้ไป กลุ่มข้าราชการจะมีที่ยืนอีกหรือ? ตู้เหวินยวนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระโดดตัวออกมาคัดค้าน: “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่เห็นด้วย...” ข
พบองค์ชายหกแล้วหรือ? ทุกคนต่างตกตะลึง ฮ่องเต้หวู่เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา: “เจ้าสาม จริงหรือ? เจ้าพบเจ้าหกแล้วหรือ? คนอยู่ไหน? รีบพามาเขามาเร็ว!” หลีเฟิงอวิ๋นโค้งคำนับ: “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! คนข้างนอกนำเขาขึ้นมา!” ทันใดนั้นก็มีองครักษ์หลายคนเข็นรถเข้ามา บนรถมีโลงศพวางอยู่! ฮ่องเต้หวู่ตะลึง: “นี่...นี่มันอะไรกัน?” หลีเฟิงอวิ๋นพูดอย่างเย็นชา: “กราบทูลเสด็จพ่อ ศพของเจ้าหกอยู่ในโลงศพนี่” ข้าราชการทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างตกตะลึง องค์ชายหกสิ้นพระชนม์แล้วหรือ? สิ่งที่หลีเฟิงอวิ๋นนำกลับมาคือศพของพระองค์หรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่! หลี่หลงหลินก็มีสีหน้าตกใจ เขาจ้องมองไปที่โลงศพ ชีวิตของเจ้าหก เขาเป็นคนช่วยไว้ เพื่อล่อให้งูออกจากรู หาตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง! ตอนนี้ เจ้าหกตายแล้ว! ในหัวของหลี่หลงหลินมีเพียงคำสี่คำผุดขึ้นมา - การฆ่าปิดปาก! คนที่พบศพเป็นคนแรก มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฆาตกร! กล่าวคือ ถ้าเจ้าหกตายแล้วจริง ฆาตกรก็น่าจะเป็นหลีเฟิงอวิ๋น! ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของกองทัพตระกูลซู ก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน! ร่างกายของซูเฟิ่งหลิงสั่นเทา ดวงตาจ้องมอ
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดเผ่าหมานจึงบุกเข้าคุกหลวงและจับตัวองค์ชายหกไป?ภายในนี้มีจุดน่าสงสัยมากเกินไปแล้ว!ฮ่องเต้หวู่ไม่มีวันหลงเชื่ออย่างง่ายดาย!หลี่เฟิงอวิ๋นเอ่ยปาก “เสด็จพ่อ ลูกนำศพของเผ่าหมานกลับมาด้วย! บัดนี้อยู่ที่ภายนอกพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วแน่น “ไป! ตามเราออกไปดู!”เหล่าขุนนางเองก็แปลกใจมากภายในใจ เดินตามหลังฮ่องเต้หวู่ มาที่นอกตำหนักกลิ่นคาวเลือดชำแรกจมูกศพมากมายวางเกลื่อนลาน ใบหน้าบิดเบี้ยว เปียผม ก็คือคนเผ่าหมานอย่างแท้จริง!ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงพรึงเพริด “พวกเขา พวกเขาก็คือนักฆ่าที่ฆ่าเจ้าหกกระนั้นรึ?”หลี่เฟิงอวิ๋นพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! ลูกสงสัยว่ามีคนสอดแนมเผ่าหมานจำนวนมากลอบเข้ามาถึงเมืองหลวง วางแผนชั่วร้าย! ลูกขอพระราชทานอนุญาตให้ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งซีเหลียงสามพันคนเข้าเมืองหลวง ตามล่าคนสอดแนม ปกป้องความสงบ!”ตู้เหวินยวนคุกเข่าในทันใด “ฝ่าบาท คิดไม่ถึงมีคนเผ่าหมานมากเพียงนี้ลอบเข้าเมืองหลวง! ไม่ปลอดภัยเกินไปแล้ว! ซีเหลียงอ๋องซื่อสัตย์ภักดี ทำเพื่อปกป้องราษฎร์! ฝ่าบาทได้โปรดรับข้อเสนอของเขา ให้ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งซีเหลียงเข้าเมืองหลวงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”