ซูเฟิ่งหลิงมองไปที่หลี่หลงหลินเงียบๆ ก่อนจะพบว่าเขาผิดปกติอย่างยิ่งโดยปกติแล้ว หลี่หลงหลินที่อยู่ยืนตรงต่อหน้าซูเฟิ่งหลิง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบหาเรื่องนางตลอด คอยล้อเลียนนางอยู่เสมอ เหมือนเด็กไม่มีผิดวันนี้หลี่หลงหลินกลับดูจริงจังมา ไร้ท่าทางล้อเล่น แม้แต่ตอนเดินใบหน้าก็เรียบตรง เขาก็ยังสง่างามมาก!“บุรุษที่องอาจ หล่อเหลานัก!” ซูเฟิ่งหลิงน้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้ชุมนุมบทกวีกำลังดำเนินไปอย่างคึกคักหนิงชิงโหวสมแล้วที่เป็นคนบ้าแห่งใต้หล้า มากความสามารถ สร้างกลอนงดงามออกมาได้ไม่เพียงแต่ดวงตางามของหลิ่วหรูเยียนที่ไหวระริก แม้แต่มือก็ยังปรบไม่หยุดแม้แต่ลั่วอวี้จู๋ก็พยักหน้าซ้ำๆนามของคน เงาของพฤกษ์หนิงชิงโหวเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ดีกว่าขุนนางในราชสำนักที่ดีแต่เอาหน้าประดับบารมี ไม่มีประโยชน์เท่าใดนักในเวลาเดียวกัน ลั่วอวี้จู๋ก็รู้สึกเศร้าในใจชายหนุ่มผู้มีความสามารถเช่นนี้ กลับไม่สามารถนำมาใช้งานได้ ทำได้เพียงดื่มด่ำกับฉากหน้าที่แสดง ละทิ้งเจตจำนง ยอมทำลายตนเองไม่ใช่เพียงแค่ความเศร้าของหนิงชิงโหวแต่เป็นความเศร้าของทั้งยุคสมัย!แคว้นต้าเซี่ยที่ยิ่งใหญ่สูญเสียดวงอาทิต
หลี่หลงหลินค่อนขอดอยู่ในใจข้าไม่มาพวกเจ้าก็จะให้ข้ามา!ข้ามาพวกเจ้าก็จะไล่ข้ากลับ!นี่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการทำให้ข้าขายหน้าต่อหน้าพี่สะใภ้สี่ เพิ่มราศีของตนเองขึ้นมา!แต่ช่างน่าเสียดายผู้สุดขีดก็ยังเป็นผู้สุดขีด แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความรู้ แต่ก็ไม่เคยรับราชการอาศัยเพียงคำวิจารณ์พวกนี้ เทียบกับการยื่นถอนยศองค์ชายในราชสำนักแล้ว ก็นับเป็นเพียงการละเล่นของเด็กสามขวบเท่านั้น!หลี่หลงหลินพูดอย่างใจเย็น “ทักษะการดีดฉินของพี่สะใภ้สี่นั้นยอดเยี่ยมมาก! แต่พวกข้าอยู่ใต้หลังคนเดียวกัน ได้ยินมานานจนหน่ายแล้ว! แต่ว่า การฝึกซ้อมรอบที่สามเมื่อวานนี้ พี่สะใภ้สี่ยังเล่นให้ข้าฟังอยู่คนเดียว...”เขาพูดไม่จบประโยค เหลือเอาไว้ให้จินตนาการทันใดนั้น หนิงชิงโหวก็เริ่มกังวล จ้องมองไปที่หลิ่วหรูเยียน “แม่นานหรูเยียน เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”ตกดึกย่ำค่ำ ชายหญิงคู่หนึ่งดีดฉินด้วยกันตามลำพัง จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยหรือ?ใครจะไปเชื่อกัน?!ใบหน้าของหลิ่วหรูเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย นางพยักหน้าเล็กน้อยและยอมรับว่า “จริงเจ้าค่ะ...”ว้าว!ผู้สุดขีดทุกคนปั่นป่วนขึ้นมาทันทีมองไปที่หลี่หลงหลินอย
จากนี้จะมาขอให้นางช่วยเหลืออะไรอีกเช่นนั้นหรือ?ฝันไปเถอะ!ซูเฟิ่งหลิงโกรธจนทนไม่ไหว หยิกแขนของหลี่หลงหลินแล้วกระซิบ “ท่านมัวแต่นั่งบื้ออะไรอยู่เล่า?! ทำไมยังไม่รีบไปขอโทษสหายหนิงอีก?...”หลี่หลงหลินลุกขึ้นยืน เดินมาหาหนิงชิงโหวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่กล้าโต้กวีกับข้า หนีไปกลางศึก พวกเราสองคน ใครกันแน่ที่ขี้ขลาด?”หนิงชิงโหวหยุดชะงัก หันกลับมามองหลี่หลงหลินด้วยความประหลาดใจ และหัวเราะเยาะ “ท่านตกลงจะโต้กวีกับข้า? แค่ท่านหรือ?”ฮ่าๆๆๆ!เหล่าผู้สุดขีดหยุดฝีเท้า เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะร่าหนิงชิงโหวมากความสามารถ ในด้านกวีไร้ผู้ใดเทียบเทียม หากไม่ใช่เพราะมีพวกคนทรามมาตีกรอบ เขาคงกลายเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งด้านกวีไปนานแล้ว!องค์ชายเก้าเช่นเจ้านับเป็นอะไรได้?คนไร้ประโยชน์ โง่งมไม่รู้จักสุนทรีย์ มีผู้ใดไม่รู้ มีผู้ใดไม่เห็น!เจ้าขึ้นเหนือไปดูแลกองทัพ แต่กลับทูลความเท็จทางทหาร หนีไปกลางศึก ทำให้กองทัพตระกูลซูถูกกวาดล้าง ชายแดนเหนือพังทลาย!เจ้าร่ำเรียนอยู่ในสำนักศึกษาแห่งแคว้น แต่กลับไม่เคยตั้งใจเรียนเลยสักครั้ง เข้าห้องเรียนยามใดก็เอาแต่คอยเล่นจิ้งหรีดจนถูกอาจารย์ท่านไล่ตะเพิดออกน
แต่ว่าหลิ่วหรูเยียนไม่คิดว่าหลี่หลงหลินจะมีพรสวรรค์ในการเขียนบทกวีชายแดนเขาต้องเตรียมบทกวีสามบทเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อมาอวดบารมี!ใบหน้าของหนิงชิงโหวมืดมนลงเล็กน้อยบทกวีชายแดน?สิ่งที่เขาชำนาญน้อยที่สุดก็คือบทกวีชายแดนอย่างไรเสียบัณฑิตนักกวีที่อ่อนแอไม่อาจอยู่ในสนามรบ ยากจะอธิบายการต่อสู้ในสนามรบที่โหดร้าย!ทว่าหนิงชิงโหวเองก็มากพรสวรรค์คุ้นเคยกับบทกวีสามร้อยบท ไม่ได้แต่งมาก่อนก็ชนะได้ไม่ว่าบทกวีชายแดนของเขาจะย่ำแย่ แต่ก็ยังดีพอที่จะเอาชนะหลี่หลงหลินหนิงชิงโหวพยักหน้าตกลง “ได้! มาโต้บทกวีชายแดนกัน!”หลี่หลงลินยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อเป็นการโต้กวี เช่นนั้นรางวัลเล่า?”หนิงชิงโหวหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเป็นบทกวีชายแดน ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือโจร! ผู้แพ้ต้องตกเป็นของผู้ชนะ ท่านกล้าหรือไม่?”องค์ชายเก้าผู้นี้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!หนิงชิงโหวได้ตัดสินใจแล้ว หากหลี่หลงหลินพ่ายแพ้ เขาจะให้อีกฝ่ายระบำเปลือยก้น ทำตัวโง่เขลาต่อหน้าธารกำนัล อับอายตายไปเสีย!อยู่ที่ว่าเขากล้าหรือไม่แล้ว!หลี่หลงหลินพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดว่า “ตกลง!”ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน หลี่หลงหลินหันไปมองซูเฟิ
“ศีรษะของชายหนุ่มขาวหม่น ความโศกเศร้าล่องลอยว่างเปล่า...”เสียงของหลี่หลงหลินดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูกซูเฟิ่งหลิงคิดร่างของท่านปู่ในใจ แล้วค่อยๆ รำหอกเงินตามความรู้สึก!ความรู้สึกที่จินตภาพนี้สื่อออกมา ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้บทกวีได้อย่างยิ่ง!“แดนเหนือจนใจ ยังโปรยหิมะ!”“แค้นชังของประชา เมื่อใดม้วย!”“นั่งรถม้าไกล ทะลวงเขาเหอหลาน!”“ยามฝันลิ้มรสเนื้อศัตรู!”“ยามสรรค์ดื่มเลือดคนเถื่อน!”“เริ่มต้นใหม่ ปัดกวาดภูเขาลำน้ำเก่าแก่ สร้างวังแห่งสวรรค์!”กวีอีกสองสามบรรทัดถัดมา เสียงของหลี่หลงหลิน เริ่มน่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ!ดวงตาของซูเฟิ่งหลิงฉายแววเกลียดชังไม่รู้จบ หอกสีเงินราวกับสายลม รัศมีสังหารแสนดุร้าย ราวกับว่านางกำลังต่อสู้กับคนป่าเถื่อนในสนามรบ!จบบทแล้ว!ทั้งสถานที่เงียบกริบ!หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็รู้สึกตัว โห่ร้องออกมาเสียงดัง“เยี่ยม!”“ช่างไพเราะนัก!”โดยเฉพาะญาติสตรีของตระกูลซูที่ต่างปรบมือชื่นชมด้วยกวีเพียงไม่กี่บรรทัด กลับแสดงถึงความโกรธที่ทหารของต้าเซี่ยมีต่อพวกหม่านอี๋ออกมาได้จนหมดในขณะเดียวกันก็พ
หนิงชิงโหวทั้งเสียใจและมึนงงบทกวีบทแรกของหลี่หลงหลินนั้นยอดเยี่ยม บรรยายถึงท่วงท่าที่กล้าหาญของแม่ทัพผู้เฒ่าซู และยังแสดงถึงความใฝ่ฝันของบัณฑิตทั่วหล้า!ใครบ้างไม่อยากฟื้นฟูแม่น้ำภูเขาที่เก่าแก่เหล่านั้นของต้าเซี่ยกลับคืนมา?บทกวีบทที่สอง แม้เทียบกันแล้วจะหยาบคาย แต่ก็เหมือนกับการรู้แจ้ง ปลุกหนิงชิงโหวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เขายังเป็นสุภาพชนยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์!บัดนี้ ภูเขาลำน้ำพังทลาย หม่านอี๋ข่มเหงพวกเขาอย่างไร้ความปรานี ตนยังยอมทำตนเสื่อมทราม หลงระเริงอยู่ในหมูคณิกาตลอดทั้งวันได้อีกหรือ?ข้าเองก็อยากรับใช้ชาติ!ข้ายังต้องการทำอะไรเพื่อแว่นแคว้นและประชาชนแต่ว่า...ทำอันใดเล่า?หนิงชิงโหว ไร้ความรู้ด้านนี้แม้ว่าเขาจะเป็นพวกสุดโต่งและหยิ่งผยอง มักชี้ฟ้าด่าดิน กล่าวตำหนิราชสำนักแต่พูดให้ชัดแล้ว เขาเป็นนักรบชำระแค้นของคนรุ่นหลังเต็มไปด้วยมีความหลงใหล มีความทะเยอทะยานมากมาย แต่ไม่มีทางให้ได้รับใช้ชาติ วีรบุรุษไร้ที่ให้ได้เป็น!นี่คือความเศร้าที่แท้จริง!ผู้สุดขีดคนอื่นๆ ก็เหมือนกันกับหนิงชิงโหว หัวใจเจ็บปวด น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิมในเวลานี้ กวีบทที่สามของหลี่หลงหลินก็ด
คนไม่มีพื้นฐานเข้าร่วมกองทัพ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็จะถูกกลบฝัง ส่งไปแนวหน้าเป็นอาหารปืนใหญ่ ตายอย่างคนไร้ค่านี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหนิงชิงโหวจึงไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกองทัพรับราชการก็ไม่ได้ เข้ากองทัพก็ไม่ได้!ไม่มีทางอื่นที่จะไปในโลกนี้เหรอ?ข้าเพียงแค่อยากรับใช้ชาติเท่านั้นเอง!เหตุใดถึงได้ยากขนาดนี้?ดวงตาของหนิงชิงโหวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง!หลี่หลงหลินมองไปที่หนิงชิงโหวอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ทางข้ามีอยู่หนึ่งเส้นทาง ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมเดินหรือไม่?”หนิงชิงโหวตกใจ “เส้นทางใด?”หลี่หลงหลินพูดเสียงทุ้ม “ข้าต้องการสร้างกองทัพใหม่ ต้องการแม่ทัพที่มีความสามารถ! จากนี้ไป หากพวกเจ้าติดตาม! ข้าจะไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความมั่งคั่งกับพวกเจ้า เพราะนั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว! แต่สัญญาว่าสักวันหนึ่ง พวกเจ้าจะเอาชนะพวกหม่านอี๋ด้วยน้ำมือของตนเอง ดื่มร่วมอาชาทะเลเหนือ ผนึกหล่างจูซวี[footnoteRef:1]!” [1: เป็นภูเขาซึ่งก็คือภูเขาเคนต์ทางตะวันออกของอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย ในเวลานั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับจัดพิธีบูชาฟ้าดินของซยงหนู] ทุกคนถึงกับตกใจ!พวกเขาว่าบ้าแล้ว แต่หลี่หล
หนิงชิงโหวเดินออกมาจากจวนตระกูลซูด้วยสีหน้างุนงง ฝีเท้าโซเซไปมา ราวกับว่าสูญเสียสติไปสิ้นแล้ว“สหายหนิง ยังเช้าอยู่ ไม่สู้พวกเราไปที่สำนักการสังคีต ไม่เมาไม่กลับ…” ผู้สุดขีดคนหนึ่งเสนอขึ้นมาคนอื่นๆ ต่างตอบรับอย่างเป็นเอกฉันท์อารมณ์ของพวกเขาถูกหลิ่วหรูเยียนผู้มากเสน่ห์ปลุกเร้า ต้องการไประบายอารมณ์กลับเหล่าคณิกาที่สำนักการสังคีต“พวกเข้าไปเถอะ ฉันไม่ไป...”หนิงชิงโหวพูดด้วยเสียงต่ำ“เอ๊ะ?”ผู้สุดขีดทั้งหมดตกใจ “แล้วเจ้าจะไปไหน?”หนิงชิงโหวตอบตรงๆ “กลับบ้าน ร่ำเรียน”ทุกคนละอายใจในหมู่พวกเขา สหายหนิงเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุด แต่เขากลับต้องกลับบ้านไปอ่านหนังสือความขยันหมั่นเพียรนี้ ช่างน่าจดจำเป็นประวัติการณ์ดูเหมือนว่า ผลกระทบจากบทกวีทั้งสามของหลี่หลงหลิน จะส่งผลต่อหนิงชิงโหวอย่างใหญ่หลวง ปลุกกระตุ้นเขาอย่างรุนแรง!“ถ้าเช่นนั้น... ข้าก็จะกลับบ้านไปร่ำเรียนด้วย!”“แยกย้ายกันไปเถอะๆ!”ผู้สุดขีดทั้งหลายพบว่ามันน่าเบื่อ จึงแยกย้ายกันกลับบ้านทีละคนทว่า ยังมีคนไม่กี่คนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แอบมาเล่นสนุกที่สำนักการสังคีตในขณะที่ดื่มด่ำกับคณิกา ก็อดไม่ได้ที่จะท่องกวีส
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค