“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเพคะ!”ลั่วอวี้จู๋ส่ายหัวเล็กน้อย ท่าทางดูอ่อนแรง แต่กลับเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ถ้าทำตามที่พระองค์พูด สิบตระกูลซูก็มีไม่พอให้เสีย!”หลี่หลงหลินเลิกคิ้วเล็กน้อย “ช่วงนี้ พวกเราเสียเงินไปเท่าไหร่แล้ว?"ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้ว “ยังไม่ได้คำนวณจำนวนที่แน่นอนเพคะ แต่อย่างน้อยก็พันตำลึง”หลี่หลงหลินหัวเราะอย่างโง่เขลา “แต่ข้าทำเงินจากองค์ชายสี่ได้ถึงเจ็ดแสนตำลึงในคืนเดียว! ต่อให้จะใช้วันละพันตำลึง ก็ยังพอให้เสียไปอีกสองปี...”ลั่วอวี้จู๋แย้งว่า “แต่เงินในมือพระองค์ ไม่เอาไปซื้อผ้าก็เอาไปซื้อร้าน ไร้เม็ดเงินให้เห็นเป็นก้อนตำลึง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าท่านจะร่ำรวย แต่หากยังขาดทุนต่อไปเช่นนี้ แม้แต่สมบัติเก่าก็ไม่เหลือให้ขายกิน!”“ยกตัวอย่างเช่นราชสำนักในตอนนี้ ที่ไม่อาจหาเงินมาเติมเข้าคลังหลวงได้ ขาดดุลอย่างร้ายแรง”หลี่หลงหลินดูเคร่งขรึม “ราชสำนักไม่มีเงินจริงหรือ?”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้า “ไม่มีแน่นอนเพคะ ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ไหนเลยจะต้องมากลุ้มใจเรื่องเงินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...”หลี่หลงหลินพูดอย่างเย็นชา “นับตั้งแต่ต้าเซี่ยก่อตั้งมาก็สามร้อยปีแล้ว ทั้งยังเจริญรุ่งเรืองถึงขีด
หลี่หลงหลินสรุปความ “ทำการค้ากับประชาชน ไม่มีทางเกิดกำไร! หากอยากมีกำไร ก็ต้องทำการค้ากับคนรวย! และสิ่งที่ข้าทำตอนนี้ คือการปล้นคนรวยแจกคนจน...”ดวงตาของซูเฟิ่งหลิงเป็นประกาย “ปล้นคนรวยแจกคนจน เป็นสิ่งที่ผู้กล้าพึงกระทำ! ข้าชอบ...”ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฝ่าบาท ทุกสิ่งที่ท่านพูดข้าเข้าใจดี! อุดมคติของท่านเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน! แต่ข้าไม่เข้าใจว่าที่ท่านทำในตอนนี้ เกี่ยวกับปล้นคนรวยแจกคนจนอย่างไร?!”หลี่หลงหลินยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าจะเข้าใจเอง”ลั่วอวี้จู๋พูดไม่ออกหวังว่าก่อนที่นางจะเข้าใจ ตระกูลซูจะไม่ถูกหลี่หลงหลินถลุงเงินจนล้มละลายไปเสียก่อนแต่หลังจากที่นางกลับมาคิดดูอีกที ก็ไม่กังวลอีกต่อไปดังที่หลี่หลงหลินพูดมา ถ้ามัวแต่คิดคำนวณทุกอย่าง เช่นนั้นหนึ่งวันจะเสียเงินไปสักเท่าใด?อย่างมากที่สุดก็หนึ่งร้อยตำลึงไม่นับทรัพย์สินของตระกูลซู นับเพียงที่หลี่หลงหลินยอมให้ตัวเองเช่าซื้อร้านค้า ที่เกือบจะกว้านซื้อมาทั้งตลาดทักษิณมาด้วยราคาแสนถูกแม้แต่ราคาต้นทุนก็ยังเป็นเพียงเงินห้าแสนตำลึงตราบใดที่พวกคนป่าเถื่อนยังไม่โจมตีเมืองหลวง อาศัยเพียงร้านค้าและอสังหาริมทรัพย์เหล่าน
ลูกค้าร้านขายผ้าตระกูลเจียมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านและเหล่าลูกจ้าที่เพิ่งได้รับจ้างเข้ามาใหม่เริ่มงานล้นมือ ลั่วอวี้จู๋จึงรีบไปช่วย เหลือไว้เพียงหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิง คนว่างงานทั้งสองใบหน้างามของซูเฟิ่งหลิงแดงก่ำ นางเข้ามาใกล้หลี่หลงหลินและกระซิบ “ถึงตอนนั้นที่ท่านทำตัวองอาจ ปล้นคนรวยแจกคนจน นับข้าไปด้วยนะเจ้าคะ! มิฉะนั้น ข้าไม่จบสิ้นกับท่านแน่!”หลี่หลงหลินหัวเราะร่า “เจ้าอยากเป็นวีรสตรีหรือ?”ซูเฟิ่งหลิงเขินอายเป็นที่สุด แต่ก็ยังพยักหน้าหลี่หลงหลินสืบเท้าเข้ามาใกล้ กอดเอวของซูเฟิ่งหลิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของเจ้าแล้ว!”ก่อนที่ซูเฟิ่งหลิงจะทันได้โต้ตอบ หลี่หลงหลินก็ฉกลงมาหอมแก้มนางไปเสียก่อนซูเฟิงหลิงตกตะลึง ราวกับสายฟ้าผ่าใส่หัว ในสมองว่างเปล่า!หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฟิ่งหลิงก็กลับมามีสติอีกครั้ง กำหมัดแน่นและกัดฟัน “เจ้ากล้าเอาเปรียบมารดา หาเรื่องตายแล้ว!”หลี่หลงหลินสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่า วิ่งหนีไปนานแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมา “ตอนนี้ พวกเราก็หายกันแล้ว!”“เจ้าคนสารเลว...” ซูเฟิ่งหลิงกระทืบเท้าด้วยความโกรธวีรส
อย่างไรเสีย ยังมีองค์ชายองค์อื่นๆ อีกหลายคน ตนเองจะตระหนกไปไย?ตู้เหวินยวนขมวดคิ้ว “แต่ว่าฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็เป็นพวกเราจริงๆ! ทว่าภัยคุกคามหาได้มาจากฮ่องเต้ แต่มาจากหลี่หลงหลิน!”หลี่จื้อตกใจ “เจ้าเก้า? เหตุใดถึงเป็นมันอีกแล้ว?! หรือว่าเจ้าเก้าจะเป็นคนที่ยื่นฎีกาใส่ร้ายข้าให้เสด็จพ่อ หลอกให้พระองค์สั่งปิดแปดหอการค้าใหญ่?”ดวงตาของตู้เหวินยวนแลดูน่ากลัว “สถานการณ์โดยละเอียด ข้ายังไม่ทราบชัด แต่ฮ่องเต้สั่งปิดแปดหอการค้าใหญ่ เป็นเพราะเจ้าของร้านแพร่ข่าวลือ! และข่าวลือนี้ มุ่งเป้าไปที่หลี่หลงหลิน!”“สรุปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่หลงหลินอย่างแยกไม่ออก!”“อีกอย่าง...”“เมื่อคืนก่อน ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่ตำหนักฉางเล่อ ทั้งยังมอบไข่มุกทางใต้อันล้ำค่ามากราคาแก่หลินกุ้ยเฟย!”“เกรงว่าทั้งสอง จะมีความเชื่อมโยงกัน!”หลี่จื้อโกรธอย่างยิ่ง กัดฟันกรอด “ต้องเป็นหลินกุ้ยเฟยปีศาจนั่นแน่ ที่ปรุงน้ำแกงยาเสน่ห์ป้อนเข้าปากเสด็จพ่อ! ท่านพ่อถึงได้ลำเอียงระหว่างข้ากับเจ้าเก้านัก! พ่อตา ท่านรีบคิดหาวิธี กำจัดหลินกุ้ยเฟย…”ใบหน้าของตู้เหวินยวนมืดมน “องค์ชาย ระวังวาจา! สนมปีศาจเพิ่งได้เลื่
ท้องพระโรงฮ่องเต้หวู่สวมเสื้อคลุมมังกร ประทับสูงสง่าอยู่บนบัลลังก์มังกรขุนนางร้อยคนเคารพนบนอบ สรรเสริญให้พระชนมายุยืนยาว“ขุนนางทั้งหลาย ตามสบายเถิด!”ฮ่องเต้หวู่แย้มยิ้ม ดูเหมือนจะอารมณ์ดี ไม่เศร้าหมองเหมือนเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วมีเงินอยู่ในมือ ทำให้จิตใจสงบลงได้ฮ่องเต้หวู่ส่งคนไปปิดหอการค้าใหญ่ทั้งแปด ยึดเงินมาได้จำนวนมาก นำใช้ในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยนอกเมือง นี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เหล่าขุนนางรู้ดีว่า เงินทั้งหมดที่ฮ่องเต้หวู่ใช้ในการตั้งสร้างรกร้างให้ผู้ลี้ภัยใหม่นั้น แท้จริงคือเงินของพวกเขา ทุกคนต่างก็มีหลั่งเลือดอยู่ในใจแต่ภายนอก เหล่าขุนนางแสร้งทำเป็นยินดี กล่าววาจาเทิดทูนและยกย่องความหลักแหลมของฮ่องเต้หวู่พันหมื่นมีให้สวมใส่ เว้นไว้เพียงคำเยินยอ[footnoteRef:1] [1: แปลว่า เสื้อผ้ามีให้สวมมากมาย แต่คำพูดเยินยอไม่อาจเอามาสวมใส่ได้ หรือก็คือ ไม่อาจใส่ใจเกินไปได้] แน่นอนว่า ฮ่องเต้หวู่เองก็รู้ดีว่าเหล่าขุนนางหน้าไหว้หลังหลอก และคำชมที่ไม่ได้มาจากใจจริงนี้ คือกำลังตบตูดม้า[footnoteRef:2]ตนอยู่ [2: ประจบประเจง] แต่เขายังสุขใจอยู่ ดวงตาหรี่ลง ดูเกินงามไปเล็กน
เยว่ซานพูดอย่างเคร่งขรึม “ไม่ผิด! กระหม่อมต้องการฟ้องโทษองค์ชายเก้าที่กดขี่หญิงม่ายและเด็กกำพร้าของกองทัพตระกูลซู! หวังว่าฝ่าบาทจะสอบสวนคดีนี้อย่างละเอียด ลงโทษผู้กระทำผิด กำจัดความชั่วร้าย ช่วยชาวหลี่จากไฟร้อนเผาใจ!”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงเจ้าเก้าทำตัวไร้สาระจริง แต่เขาจะไปรังแกเด็กกำพร้าของกองทัพตระกูลซูได้อย่างไร?แต่หากมีควัน ย่อมไม่ไร้ไฟ[footnoteRef:1] [1: ข่าวลือย่อมมีมูลเหตุ] เยว่ซานในฐานะผู้ตรวจการ คงไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาจากลมหรอกกระมัง?ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ดำเป็นถ่าน “นายพลทหารของกองทัพตระกูลซู เสียสละชีวิตเพื่อแว่นแคว้น เป็นวีรบุรุษของต้าเซี่ย! แม่ม่ายและเด็กกำพร้าของพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติอย่างมีเหมาะสมที่สุด! ผู้ใดกล้ารังแกพวกเขา ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ปล่อยปละ แต่คนทั้งใต้หล้าก็จะไม่รามือ!”“ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เช่นนั้นต่อให้จะเป็นองค์ชายเก้า ข้าก็จะเอาความให้ถึงที่สุด!”“แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เจ้ามีหลักฐานจริงๆ ใช่หรือไม่?”เยว่ซานหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดว่า “แม้ว่ากระหม่อมจะไร้หลักฐานที่เป็นรูปธรรมอยู่ในมือ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้!
ผู้ตรวจการเยว่ซานกล่าวหาหลี่หลงหลิน โดยบอกว่าเขากดขี่หญิงม่ายและเด็กกำพร้าของกองทัพตระกูลซูฮ่องเต้หวู่เดิมทีไม่เชื่อลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นไม่ว่าเจ้าเก้าจะเสเพลเพียงใด แต่เขาจะไม่ทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้แน่!ทว่า คำพูดของเยว่ซานพุ่งตรงทะลุเป้า กล้าถึงขนาดขอให้เจ้าเก้าเข้าวังมาฉะกับตนฮ่องเต้หวู่อดแสดงความลังเลไม่ได้ ไม่อาจตัดสินใจได้ในทันทีไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวเพียงหนึ่งหาก!หากสิ่งที่เยว่ซานพูดเป็นความจริง หลี่หลงหลินรังแกแม่ม่ายและเด็กกำพร้าพวกนั้นจริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เหลือจะกล่าว เวลาสั้นๆ นี้ ไม่แน่ว่าจะจบเรื่องลงได้!หรือว่า ต้องใช้กฎหมายมาจัดการจริงๆ ต้องส่งเจ้าเก้าเข้าคุก ให้เขาไปอยู่กับเจ้าหกจริงๆ หรือ?ฮ่องเต้หวู่ทนไม่ได้จริงๆอัครมหาเสนาบดีตู้เหวินยวนเห็นฮ่องเต้หวู่ลังเลก็ก้าวไปข้างหน้า “ฝ่าบาท! เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง ขอพระองค์รับสั่งเรียกองค์ชายเก้าเข้าวัง ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางทุกคนคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกันพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท ขอพระองค์รับสั่งเรียกองค์ชายเก้าเข้าวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำขู่!
หลี่หลงหลินพยักหน้า “ใช่”เยว่ซานพูดต่อ “เช่นนั้นผ้าฝ้ายของท่าน ใช่หรือไม่ว่าหนึ่งพับขายเพียงแปดสิบอีแปะ ราคาถูกกว่าตลาดถึงยี่สิบอีแปะ”หลี่หลงหลินตอบ “ใช่”เยว่ซานมีสีหน้าลำพองใจ “เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่าท่านจ้างแม่ม่ายเด็กกำพร้า ทอผ้าให้ท่าน?”หลี่หลงหลินไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบว่า “ไม่ผิด!”เสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นภายในราชสำนักในทันทีทันใดเดิมทีขุนนางใหญ่คิดว่าหลี่หลงหลินจะปฏิเสธอย่างดื้อรั้น หาข้ออ้างไม่ยอมรับคิดไม่ถึงเขายอมรับทั้งหมดโดยไม่โต้แย้ง!นี่จะต่างอันใดจากการยอมรับผิดโดยตรง?ใบหน้าเยว่ซานเผยรอยยิ้ม หมุนตัวเอ่ยกับฮ่องเต้หวู่ “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายเก้ายอมรับผิดแล้ว กระหม่อมก็ไม่มีอันใดพูดอีก! ฝ่าบาทโปรดพระราชทานพระราชโองการ ลงโทษองค์ชายเก้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรลูกชายไม่ได้เรื่องคล้ายเกลียดเหล็กที่ไม่เป็นเหล็กกล้าอย่างขึ้งโกรธ “เจ้าเก้า! เจ้าถึงขั้นทำเรื่องชั่วเพียงนี้! เราผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก!”หลี่หลงหลินงุนงง “เสด็จพ่อ ลูกทำผิดตั้งแต่ยามใด? ลูกเพียงพูดว่าลูกว่าจ้างแม่ม่ายเด็กกำพร้าทำงาน มิเคยพูดว่ารังแกพวกนางมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้หวู่ตรัสอย่างพิ
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค