ได้ยินอย่างนั้น มหาเสนาบดีฉู่จึงได้หันมามอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ย ก็เห็นฉู่เนี่ยนซียืนชะงักอยู่อย่างนั้น ด้วยท่าทางที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความรีบเร่ง สีหน้าของนางดูแตกต่างออกไปจากปกติมหาเสนาบดีฉู่เองก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อยกระทั่งหนังสือในมือหล่นลงบนโต๊ะ ชายชราก็เริ่มรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เขารีบยกเสื้อคลุมขึ้นและลุกยืนด้านหลังโต๊ะ รีบก้าวเข้าไปจับมือฉู่เนี่ยนซีอย่างเร็ว“ทำไมเจ้าถึงไม่บอกคนรับใช้ว่ามาถึงแล้ว? รีบเข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วให้พ่อมองเจ้าชัด ๆ” น้ำเสียงของมหาเสนาบดีฉู่สั่นเครือเล็กน้อย ไม่อาจฝืนแสดงความน่าเกรงขามได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นลูกสาวเขาจับมือฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจฉู่เนี่ยนซีตามผู้เป็นพ่อไปด้วยแววตาที่ว่างเปล่ามึนงง ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขานั่งลง แล้วเอ่ยถามเขาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อแกล้งป่วยเพื่อที่จะทำให้ลูกได้ออกมาจากวังของท่านอ๋องหลีใช่หรือไม่?”เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฮูหยินเดินออกมาจากห้องด้านข้างด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลย แม่ได้ยินมาว่าท่านอ๋องหลีได้พาคุณหนูซ่างกวานคนนั้นมาเป็นนางสนม พ่อของเจ้าก็นอนไม่ห
ทุกคนถึงกับตกตะลึง แต่เมื่อหันกลับมาก็เจอกับหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลืองคนหนึ่ง ข้างกันเป็นชายชราผมขาวที่รีบเข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยเด็กหนุ่มที่ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้ามาในบริเวณไม่ทันการณ์เสียแล้ว ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล“ท่านมหาเสนาบดี ท่านมหาเสนาบดี ข้าหยุดพวกเขาเอาไว้ไม่ได้...”เด็กหนุ่มที่เฝ้าประตูคุกเข่าลงกับพื้น ด้วยรู้ว่ามหาเสนาบดีฉู่เป็นคนที่เคร่งในกฎระเบียบมาก หากมาตะโกนในจวนมหาเสนาบดีแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริง ๆมหาเสนาบดีฉู่ที่กังวลเรื่องขาของลูกชายได้แต่ขมวดคิ้ว ไม่ได้อยากจะต่อว่าคนรับใช้เหล่านั้น จึงโบกมือปล่อยให้เด็กหนุ่มจากไปหญิงสาวที่เข้ามานั้นเป็นลูกสาวของน้องชายมหาเสนาบดีฉู่ ชื่อว่าฉู่หว่านเอ๋อ แม่ของหญิงสาวเสียชีวิตไปตั้งแต่ที่นางยังเล็ก ส่วนน้องชายก็แต่งงานสืบสกุลต่อ ทำให้นางต้องมาใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของยายเมื่อโตขึ้น ยายของนางก็แก่ตัวลงมาก จึงส่งตัวนางมาอยู่กับลูกชายเสนาบดีในเมืองกัวเฉิง โดยหวังว่าฉู่หว่านเอ๋อจะหาสามีที่ดีได้ และอยู่ในฐานะบุตรสาวตระกูลผู้สูงศักดิ์ฉู่เนี่ยนซีมองผู้หญิงตรงหน้า แล้วก็สังเกตเห็น
ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะอีกครั้ง “ที่ข้าสามารถบอกได้ก็คือ เกรงว่าบุคคลผู้นี้จะอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจวนมหาเสนาบดีอยู่ก่อนแล้วพักหนึ่ง”หว่านเอ๋อตกใจเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เมื่อกำลังจะอธิบาย นางก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีอีกครั้ง “ไม่จำเป็นจะต้องรีบปฏิเสธหรอก ของแบบนี้ตรวจสอบเพียงเล็กน้อยก็รู้แล้ว แต่สิ่งที่ข้าสงสัยก็คือ เจ้าจะสามารถเตรียมการรักษาท่านพี่ของข้าได้อย่างไร ในเมื่อเพิ่งพาบุคคลนี้เข้ามาอย่างกะทันหัน เจ้าทำแบบนี้เพื่อท่านพี่จริง ๆ ใช่หรือไม่?”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา แม้แต่คนที่โง่เขลาก็น่าจะพอเข้าใจแม้แต่หมอเฮ่อหลานเองก็รับรู้ได้ถึงความละเอียดอ่อนของเรื่องนี้ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่สายตาที่มีต่อฉู่หว่านเอ๋อนั้นได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว“แม้ว่าหว่านเอ๋อร์จะมีปากเป็นพัน ก็คงอธิบายเรื่องความบังเอิญนี้ไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่หม่อมฉันติดต่อท่านหมอเมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้”จู่ ๆ หว่านเอ๋อก็เงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “พระชายา มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจอย่างเย็นชา และไม่ได้พูดอะไรต่อ สิ่งเดียวที่ถูกพูดคือ สิ่งที่ทุก
เมื่อมาถึงจุดนี้ นางก็จงใจมองไปที่ฉู่หว่านเอ๋อ “ถ้าหากว่าข้าชนะ เจ้าจะต้องคุกเข่าลงคำนับข้าสามครั้งที่ลานหน้าจวนมหาเสนาบดี ส่วนท่านหมอก็จะต้องรับปากกับข้าอยู่สามเรื่อง กล้าหรือไม่เล่า?”ใบหน้าของฉู่หว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เหตุใดพระชายาจึงทำเช่นนี้?”“ช่างเถอะ มันไม่สำคัญอะไร หากพระชายาพูดอย่างนั้นข้าก็มิอาจไปขัดใจ แต่สนับสนุนความคิดของท่าน หากญาติผู้พี่ของข้ามีอาการดีขึ้นได้จริง มันก็เป็นการดีที่ครอบครัวเราจะได้มาเฉลิงฉลองร่วมกัน ท่านหมอ ได้โปรดปล่อยให้พระชายาลงมือด้วยตัวเองเถิด”เหลืออีกขั้นตอนสุดท้ายในการทำลายคนคนนี้แล้วหมอมหัศจรรย์ผู้นี้มีฝีมือดีที่สุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงดูอีกฝ่ายทำให้ตัวเองต้องขายหน้าก็เท่านั้นฉู่เนี่ยนซีผู้ซึ่งมีใบหน้าน่าเกลียดและใจร้ายผู้นี้ จะได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในจวนมหาเสนาบดีได้อย่างไร?วันนี้นางกำลังรนหาที่ตาย และจะโทษใครก็ไม่ได้ด้วยฉู่เจี้ยนอี้ซึ่งเงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็ยิ้มบาง ๆ จนทุกคนต้องหันมาสนใจเขาเขาตบไหล่ภรรยาของตัวเองเบา ๆ “น้องสาวของข้ายอมสาบานว่าจะสามารถรักษาอาการข้าให้ได้ ในฐานะพี่ชายคนโต ข้าก็จะขอเป็นคนแรกที่จะสนั
ในเวลานี้ ฉู่เนี่ยนซีบังเอิญเดินมาพร้อมกับชามยา เมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพี่ชาย จึงรีบเข้าไปตรวจดูขาของเขาทันที“เหยียนเอ๋อร์ เนี่ยนซี เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่า...ขาของข้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาครู่หนึ่ง...”อาจเป็นเพราะขาของเขาไม่มีความรู้สึกมานานหลายปีแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ฉู่เจี้ยนอี้จะคิดว่าเขาคิดไปเอง แต่เมื่อฉู่เนี่ยนซีเอื้อมมือออกไปกดจุดฝังเข็มของเขาโดยไม่พูดอะไรขาของฉู่เจี้ยนอี้ก็หดตัวย่างกะทันหันการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ นี้ทำให้ทั้งสามคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ทันทีจ้าวม่อเหยียนอ้าปากค้าง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา น้ำตาของนางก็ไหลลงมาอาบแก้มแล้ว!ฉู่เจี้ยนอี้มองขาตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ และพยายามขยับมันอีกครั้ง เขารู้สึกได้แล้วจริง ๆ!ฉู่เนี่ยนซีเขย่าจ้าวม่อเหยียนที่กำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ อย่างตื่นเต้น และให้กำลังใจนาง "พี่สะใภ้ รีบพยุงท่านพี่สิ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเดินไม่ได้ แต่น่าจะยืนขึ้นได้นะ! เร็วสิ!"ไม่รู้ว่าคนใช้ขาเร็วคนไหนนำเรื่องนี้ไปรายงาน มหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินฉู่จึงรีบวิ่งเข้ามาจากประตูใบหน้าของมหาเสนาบดีฉู่เบี้ยวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินข่าวหลังจากตื่นนอน และวิ่
เมื่อมหาเสนาบดีฉู่เห็นว่านางเดินตามมา สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพราะเขาผ่านอะไรมามากมายแล้วในชีวิตนี้ เขาเพียงแค่มองนางเงียบ ๆ ด้วยอารมณ์ที่หลากหลายในดวงตา“ท่านพ่อ เรื่องนี้เกี่ยวกับลูกหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซียังคงถามอย่างระมัดระวัง ในด้านหนึ่ง นางไม่ต้องการให้พ่อของนางต้องแบกรับภาระทั้งหมดให้นาง แต่ในทางกลับกัน นางก็กังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของจวนมหาเสนาบดีเพราะคนเหล่านี้คือพ่อแม่และพี่ชายของนาง และก็นี่คือบ้านของนางหลังจากลังเลอยู่นาน มหาเสนาบดีฉู่ก็มอบกระดาษที่องครักษ์มอบให้เขาเมื่อครู่กับฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดออก ด้านในมีหนังสือเพียงบรรทัดเดียวเท่านั้นท่านอ๋องหลีถูกลูกธนูอาบยาพิษโจมตี และมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ฉู่เนี่ยนซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง“จวนของท่านอ๋องหลีถูกปิดแล้ว แม้ว่าท่านอ๋องหลีจะไม่ได้เป็นที่โปรดปราน แต่พระองค์ก็ไม่ใช่องค์ชายที่จะถูกคนทำร้ายได้ง่าย ๆ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นอันตรายมาก แต่พ่อคิดว่ามันคงไม่ได้ร้ายแรงมากนัก”คำพูดนี้พูดอย่างมีไหวพริบมากแล้วตอนนี้ทั่วทั้งอาณาจักรแห่งรัตติกาลดูเหมือนจะสงบลง แต่พรรคพวกขอ
อวี่ซีกระโดดลงจากรถม้าและยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลังฉู่เนี่ยนซี ส่วนอวี่ตง อวี่หนาน และอวี่เป่ยถือดาบคุ้มกันอยู่ด้านหน้าของนาง ฉู่เนี่ยนซีเริ่มหมดความอดทน นางกวาดสายมององครักษ์รอบตัวด้วยสีหน้าเย็นชา และพูดเสียงต่ำแต่หนักแน่น "หลบไป!"อวี่หนานเลิกคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะมองเจ้านายคนใหม่จากหางตาใคร ๆ ก็บอกว่าพระชายาหลีเป็นหนึ่งในคนที่ยอมคนมากที่สุดในเมืองหลวง นางถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก จนมีนิสัยอ่อนแอเหมือนลูกคุณหนูไม่ว่านายหญิงจะมีแผนการอะไร นางก็คงไม่กล้าแม้แต่จะเมินทหารองครักษ์ของท่านอ๋องหลีแน่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ยอมให้ซ่างกวานเยียนแต่งเข้ามาในจวนท่านอ๋องเช่นนี้ด้วยเพียงแต่วันนี้เมื่อมองดูแล้ว...เหมือนเรื่องนี้จะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นทันทีที่สิ้นสุดคำพูด เหล่าทหารก็มองหน้ากันก่อนจะมองไปที่หัวหน้าองครักษ์องครักษ์มีสายตาดูถูกเหยียดหยาม และทำราวกับว่าตนเองกำลังปฏิบัติตามหน้าที่อยู่ "ในช่วงเวลาพิเศษของจวนเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็มิได้รับอนุญาตให้เข้าไปทั้งนั้น"ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะที่มุมปากก่อนจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว "ไม่ว่าใครอย่างนั้นรึ? แม้แต่พระชายาอย่างข้าจะกลับบ้านต
ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีกำลังจะก้าวเข้าไปในเรือนของเย่เฟยหลี ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน กับมวยผมทรงสวยงามก็เดินนวยนาดออกมา นางคือซ่างกวานเยียนและเหลียงหยวนที่หยุดนางเอาไว้เมื่อครู่ ก็ยืนอยู่ในจวนและจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา มือของเขาจับอยู่ที่ด้ามดาบ ราวกับว่าพร้อมจะชักดาบออกมาทันทีหากนางมีการเคลื่อนไหวที่เกินเลยฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนว่าคงต้องออกแรงกันหน่อยเสียแล้วเมื่อซ่างกวานเยียนเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของสี่พี่น้องตระกูลอวี่ที่อยู่ด้านหลังฉู่เนี่ยนซี ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตา แต่แล้วมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว นางพูดขึ้นช้า ๆ "ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา น้องคิดว่าพี่หญิงไม่ต้องการองค์ชายแล้วเสียอีก”“เจ้าอ้างตำแหน่งสนมควบคุมกองกำลังทั้งหมดในจวนของท่านอ๋องหลี แถมยังขวางข้าผู้ซึ่งเป็นพระชายาเอกที่หน้าประตู สนมอย่างเจ้าควบคุมทหารในจวนของท่านอ๋อง คิดจะกระทำอันใดกันแน่?”ซ่างกวานเยียนหรี่ตาที่สวยงามลงแล้วพูดว่า "พี่หญิงโปรดระวังคำพูดด้วยนะเพคะ"“ข้าไม่มีน้องสาวเช่นเจ้า” ฉู่เนี่ยนจัดผมที่ยุ่งเหยิงจาการเดินเร็วของตนเองเมื่อครู่นี้เล็กน้อย และท่าทางของนางก็ค่อนข้า