“เสด็จพ่อ ซ่างกวานเยียนอาศัยอยู่ในจวนของซ่างกวานมาหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางไม่ได้นำของอะไรมาที่จวนของกระหม่อมเลย ได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมค้นจวนของซ่างกวานด้วยเถิด” เย่เฟยหลีทำความเคารพจักรพรรดิโกรธมากจนกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ขันทีเฉินที่อยู่ข้าง ๆ เขา คุกเข่าลงและคำนับทันที“ซ่างกวานเยียนเป็นชายารองของเจ้า เจ้าหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความสงสัยจะดีกว่า ข้าจะส่งคนจากกองอารักขาไปกับเจ้าเอง”ทันใดนั้น จวนของซ่างกวานก็แตกตื่นกันอีกครั้งทหารพลิกโต๊ะและตู้ทั้งหมดให้คว่ำลง และทุกมุมก็เต็มไปด้วยเศษซากเย่เฟยหลียืนอยู่ในเรือนของซ่างกวานเยียน และตรวจสอบทุกซอกทุกมุมที่สามารถซุกซ่อนของได้อย่างละเอียดกองอารักขาวิ่งเข้ามาหาเย่เฟยหลีและกล่าวว่า “ทูลท่านอ๋องหลี พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้นและมองหาต่อ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็หยุดมองม่านตรงมุมห้องโถงด้านใน และสั่งขึ้นว่า “ตรงนั้น” ผู้บังคับบัญชาทั้งหมดมองตามสายตาของเย่เฟยหลีก่อนจะรีบทยานเข้าไปตรงนั้น หลังจากค้นหาที่นั่นสักพัก พวกเขาก็พบจดหมายสองสามฉบับ“ทูลท่านอ๋องหลี มีอยู่จริง ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ มันถูกซ่อ
“ฝ่าบาท นี่มันอะไรกันหรือเพคะ?”“นี่เป็นหลักฐานว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับมณฑลตะวันตก! ฮองเฮา เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”ใบหน้าอันสง่างามของจักรพรรดิเต็มไปด้วยความโกรธ เขามองดูฮองเฮาด้วยดวงตาคมราวกับใบมีด“หม่อมฉันเปล่านะเพคะ! เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจปลอมแปลงจดหมายแล้วส่งให้กับองค์จักรพรรดิเพื่อใส่ร้ายหม่อมฉันกับอ๋องเหลียนนะเพคะ!”ฮองเฮาหรี่ตาลง แม้ว่านางจะไม่ได้เอ่ยเจาะจง แต่ก็ชัดเจนมากว่านางกำลังหมายถึงใครเย่เฟยหลีโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างชอบธรรมว่า “เสด็จพ่อทรงทราบดี”เมื่อเย่เฟยหลีเห็นว่าจักรพรรดิพยักหน้าให้ตน จึง หันไปหาฮองเฮาและพูดอย่างเคร่งครึมว่า “เราได้จดหมายนี้มาจากซ่างกวานเยียน หลังจากถูกทรมาน นางจึงเปิดเผยว่าฮองเฮาสมรู้ร่วมคิดมณฑลตะวันตกมานานแล้ว”“ขั้นแรก วางแผนที่จะใส่ร้ายฉู่เนี่ยนซีเพื่อทำให้กระหม่อมแตกแยกกับเสด็จพ่อ และเมื่อเห็นว่าอำนาจทางทหารตกไปอยู่ในมือของอ๋องเหลียน แล้วจึงวางแผนที่จะรอโอกาสในการดำเนินการ เพียงแต่ไม่คิดว่าอำนาจทหารจะกลับมาสู่มือของกระหม่อมอีกครั้งเร็วเช่นนี้ ดังนั่นแผนการจึงได้ล่าช้าออกไป”เย่เฟยหลีแค่แต่งเรื่องขึ้นมา เขาต้องการดูว่าฮองเฮาจะมีปฏ
ฮองเฮาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป นางจึงคุกเข่าแทบพระบาทจักรพรรดิทันที พลางกำเสื้อคลุมมังกรไว้แน่นแล้วกล่าวทั้งน้ำตา“ฝ่าบาท หม่อมฉันยอมรับว่าได้ติดต่อกับซ่างกวานเยียนจริง แต่เพียงเพื่อติดตามข่าวของอ๋องหลีเท่านั้นเพคะ หม่อมฉันไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับมณฑลตะวันตกนะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันยอมรับว่านี่เป็นลายมือของหม่อมฉันเอง แต่จดหมายอีกสองฉบับ หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ และหม่อมฉันก็ไม่ได้เป็นคนเขียนให้นางนะเพคะ”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ ว่าซ่างกวานเยียนเป็นสายลับของมณฑลตะวันตก หากหม่อมฉันทราบ หม่อมฉันจะต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิโดยตรงแน่นอนเพคะ!”“ฝ่าบาท ตระกูลไป๋จงรักภักดีต่อพระองค์ หม่อมฉันกล้าสาบานด้วยชีวิตว่าหม่อมฉันไม่มีวันมีเจตนาไม่ดีแน่นอนเพคะ!”“หากเหล่าเทพเซียนสามารถได้ยินคำสาบานอันเป็นเท็จทั้งหมดของมนุษย์ได้ บนโลกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีการตัดสินคดี แค่ต้องดูว่าผู้คนเหล่านั้นจะทำตามคำสาบานของตนเองได้หรือไม่” เย่เฟยหลีขวางขัดทางหนีทีไล่ของฮองเฮา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “และหากท่านไม่มีเจตนาไม่ดีจริง เหตุใดต้องสืบสถานการณ์ของจวนกระหม่อมด้วย?”
เย่ฉงเฉิงสถบและตบโต๊ะอย่างแรง ราวกับว่าซ่างกวานเยียนอยู่ตรงหน้าเขา“เช่นนั้นท่านจะบอกว่าท่านอ๋องไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือเพคะ ถึงได้ดูคนไม่ออก จนวันนี้เพิ่งมาเปิดเผยแต่โฉมหน้าที่แท้จริงของซ่างกวานเยียนได้?”ฉู่เนี่ยนซีมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ที่มุมปาก รู้สึกตลกที่เห็นเย่ฉงเฉิงอ้าปากพูดไม่ออกและรู้สึกอึดอัดใจ“เจ้า… ข้า… ก็ได้ จะดีจะร้ายก็แล้วแต่เจ้าเลย ข้าจะพูดอะไรได้อีก หากเจ้าทะเลาะกับพี่สาม ด้วยนิสัยของเขาที่เอาแต่นิ่งเงียบ เจ้าคงได้โกรธจนอกแตกตายแน่!”เย่ฉงเฉิงนั่งลงข้าง ๆ ด้วยความโกรธโดยไม่ปลายตามองนางฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงสิบห้าวันที่เย่เฟยหลีมาคอยพล่ามอยู่ข้าง ๆ ไม่หยุด แม้แต่เย่ฉงเฉิงก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นเล็กน้อยไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงรองเท้าดังเข้ามาใกล้ ฉู่เนี่ยนซีและเย่ฉงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและรอเย่เฟยหลีเข้ามาทันทีที่เย่เฟยหลีเปิดประตู เขาก็เห็นตาสองคู่จับจ้องมาที่เขา และยังเห็นว่าเย่ฉงเฉิงดูเหมือนจะหงุดหงิดจากการทะเลาะกับฉู่เนี่ยนซีอีกแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกเล็กน้อย“เหตุใดยังไม่นอนกันอีก?” เย่เฟยหลี
เพียงชั่วพริบตา ก็ถึงช่วงกลางปีใหม่ ฉู่เนี่ยนซีกำลังศึกษายาตัวใหม่อยู่ในลานจวน และกำลังบันทึกคุณสมบัติของยาทีละรายการ ในขณะที่หันไปดูตำราแพทย์ไปด้วยเสี่ยวเถารีบเข้ามาและกล่าวขึ้นพร้อมกับทำความเคารพ “พระชายาเพคะ ขันทีในวังได้ส่งข่าวมาบอกว่าไทเฮาเชิญขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ไปร่วมชมดอกบ๊วยในวันพรุ่งนี้เพคะ”“บอกไปว่าข้าไม่สบาย เกรงว่าจะแพร่เชื้อให้กับไทเฮา จึงขอไม่ไปดีกว่า”ฉู่เนี่ยนซียังคงจดสูตรยาโดยคำนวณถึงปริมาณที่เหมาะสมที่สุดในใจอย่างรอบคอบ“บ่าวก็ตอบรับไปเช่นนั้นแล้วเพคะ แต่ขันทีบอกว่าเขาจะส่งรถม้าของพระราชวังมารับพระชายาเข้าวัง และจะให้แพทย์หลวงมาทำการรักษาพระชายา หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะพักหยุดหายใจเลยเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีหยุดพู่กันในมือแล้วมองไปที่เสี่ยวเถา นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเขียนใบสั่งยาต่อ“งั้นก็ไปดูกันว่าฝ่ายนั้นจะแสดงละครเช่นไรอีก”เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่เตียงเรียบร้อยอีกเตียงหนึ่ง แล้วรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยฉู่เนี่ยนซีเลือกชุดลายต้นดาดตะกั่วสีน้ำเงินแล้วม้วนผมด้วยปิ่นหยก หลังจากได้ยินว่าเสี่ยวเถาบอกว่ามันธรรมดาเกินไป นางจึง
“นั่นสิ ข้าว่าซีเอ๋อร์ถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว ไม่ใช่เอาแต่อยู่กับคนแก่ ๆ เช่นช้าทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าข้าจะเอ็นดูนางเพียงใด ข้าก็ต้องปล่อยนางไป”ไทเฮามองซุนจื่อซีด้วยความเปี่ยมเมตตา แม้แต่หางตาของนางก็แสดงให้เห็นความรักที่มีต่อซุนจื่อซี“เสด็จย่า ซีเอ๋อร์ยังต้องอยู่ดูแลท่าน ซีเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานเพคะ”ซุนจื่อซีวางมือบนไหล่ของไทเฮาพลางนวดแขนของนางอย่างน้อยใจ“เด็กน้อยพูดอะไรไร้สาระ” ไทเฮาแสร้งทำเป็นโกรธซุนจื่อซี ทันใดนั้นดวงตาของนางก็จ้องมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีอีกครั้ง“ข้าได้ยินมาว่าชายาหลีไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือไม่?”“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หลายวันมานี้หม่อมฉันได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีตอบอย่างมีไหวพริบด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาเช่นเดียวกับดอกบ๊วยที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ทั้งดูสวยงามและน่าทึ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่เสมอฉู่เนี่ยนซีรู้สึกเพียงว่าสายตาที่ไทเฮาทรงมองมายังนางนั้นช่างดูคุ้นเคย พาลให้นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่ไทเฮาทรงตรัสถึงการแต่งงานของซุนจื่อซีกับนาง นางจึงแอบรู้สึกไม่ดี นี่ไม่ใช่งานชมดอกบ๊วยแล้ว คงมาชมนางเสียมากกว่ากระม
“เพคะ”ทุกคนยืนขึ้นและติดตามไทเฮาออกจากพระตำหนักอันชิ่งไปฮูหยินไห่และฮูหยินในชุดสีน้ำเงินมองหน้ากัน รู้ดีว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป และดีใจที่ไทเฮาไม่ได้กล่าวโทษพวกนางณ พระตำหนักเจาฮุยที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ร่างของหญิงนักร่ายรำในชุดกระโปรงผ้าไหมที่ตัวอ่อนราวกับงูน้ำ และแขนเสื้อที่โบกเป็นวงกลมช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าหลงใหลขึ้นที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งขวานำโดยเย่เหลียนตามด้วยเย่เฟยหลีและองค์ชายคนอื่น ๆ บุตรชายของตระกูลต่าง ๆ ปิดท้ายด้วยขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ทางด้านซ้ายนำโดยเจี่ยงจาวอวิ๋นตามด้วย ฉู่เนี่ยนซี บรรดาชายาขององค์ชายและฮูหยินของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ รวมไปถึงบุตรีของตระกูลต่าง ๆ“ลูกขออวยพรให้เสด็จแม่ทรงมีพลานามัยแข็งแรงและมีพระชนม์มายุยืนยาว”องค์จักรพรรดิทรงยกจอกสุราขึ้นพลางมองไปยังฮองเฮาที่อยู่ข้าง ๆ ส่วนบรรดาอ๋อง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ชายาเอกของอ๋อง และฮูหยินคนอื่น ๆ ก็ยกจอกสุราขึ้นและกล่าวตามว่า “กระหม่อม/หม่อมฉันขออวยพรให้ไทเฮาทรงมีพลานามัยแข็งแรงและมีพระชนม์มายุยืนยาวพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”หลังจากที่ทุกคนดื่มสุราอย่างมีความสุข ก็พาให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากไปสักพักหนึ่งหลังจ
“เจ้าเป็นโอรสของข้า ดังนั้นแน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่มีอันใดบกพร่อง เมื่อพูดถึงการสร้างตัว หากข้าให้เจ้าแต่งงานก่อน เจ้าก็จะให้ความสำคัญกับการสร้างตัวมากขึ้น”องค์จักรพรรดิมองเย่ฉงเฉิงด้วยความกังวล และคิดว่าควรมีใครสักคนมาดูแลเขาจริง ๆ“เสด็จพ่อ ลูกปวดท้อง คงไม่ได้แล้ว ลูกต้องขอออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”เย่ฉงเฉิงจับท้องของเขาพลางทำหน้าแหย และรีบหนีไปก่อนที่องค์จักรพรรดิจะพูดอะไรต่อ“เจ้าเฉิงเอ๋อร์นี่เอาแต่ทำตัวเป็นเด็กจริง ๆ”องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรไปยังที่นั่งที่บัดนี้ว่างเปล่าของเย่ฉงเฉิงอย่างจนใจพลางส่ายหน้าฉู่เนี่ยนซีรู้สึกสับสนเล็กน้อย เย่ฉงเฉิงรักสิ่งสวย ๆ งาม ๆ มาตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใดหญิงงามเช่นนี้มาอยู่ตรงหน้าเขา เขากลับดูเหมือนตกใจกลัวแต่การเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ตลกนิดหน่อยจริง ๆ“หม่อมฉันไม่ได้พูดถึงเฉิงเอ๋อร์”ไทเฮาทรงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมององค์จักรพรรดิด้วยความไม่พอใจ“ดูเหมือนว่าเสด็จแม่ทรงมีคนในใจแล้ว”“หม่อมฉันว่าเป็นหลีเอ๋อร์ก็ไม่เลว เขามีความสามารถและฉลาด ซีเอ๋อร์ของหม่อมฉันเป็นคนว่านอนสอนง่าย นางได้รับการเลี้ยงดูในพระตำหนักอันชิ่งมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาทหรื