“ข้ารับรองว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายจริง ๆ”หลังจากที่ได้ยินคำยืนยัน ซ่างกวานเยียนก็พยักหน้าแล้วพูดต่อ “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”หมอของราชสำนักโค้งคำนับและคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซ่างกวานเยียนไม่คิดที่จะเรียกคืนกล่องทองคำที่นางมอบให้เขาก่อนหน้านี้ เขาก็รีบจากไปอย่างสุขุม โดยได้รับความช่วยเหลือจากกัวเซียวซ่างกวานเยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หมอจากราชสำนักมอบธูปให้กับนาง กลิ่นนี้อาจจะไปทำปฏิกิริยากับยาพิษในตัวของเย่เฟยหลี ทำให้เกิดความผิดปกติของชีพจรนางใช้ความพยายามอย่างมากในการสวมใส่เสื้อผ้าด้วยกลิ่นหอมนี้ โดยเป้าหมายมุ่งไปยังฉู่เนี่ยนซี และไม่ทำร้ายเย่เฟยหลี แต่ไม่คิดว่าฉู่เนี่ยนซีจะน่ากลัวขนาดนี้!ภายในห้องฉู่เนี่ยนซียังคงนิ่งเงียบจนกระทั่งทุกคนถอยออกไป ก่อนจะหยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “ทำไมท่านถึงเชื่อใจข้า?”เย่เฟยหลีมองไปทางอื่นแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “เพราะถ้าข้าตาย หนังสือหย่าร้างจะทำให้เจ้าต้องกลายเป็นคนทรยศและนอกใจไปตลอดชีวิต มหาเสนาบดีฉู่เองก็คงไม่สามารถทนต่อคำพูดเช่นนี้ได้เช่นกัน”อารมณ์ที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของฉู่เนี่ยนซีหายไปทันทีนางคิดจริง ๆ เย่เฟยหลีเริ่ม
ฉู่เนี่ยนซีเหลือบไปมองเขาวูบหนึ่ง “มิใช่ว่าข้าหวาดระแวงสงสัย เพียงแต่ที่นี่ต่างที่แลดูน่าสงสัย”เย่เฟยหลีตะลึงไปเล็กน้อยจากที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้พบฉู่เนี่ยนซีอีกนางกำลังนำกิ่งไม้ที่หักมาก้านนั้นออกไปจากเรือนของตน ทั้งยังเรียกให้เหลียงหยวนคอยเฝ้าที่นี่ให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปได้และจนเมื่อกระทั่งตะวันคล้อยลับฟ้าทางทิศตะวันตก ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่ได้กลับมาอีก เพียงแต่ส่งคนมารายงานให้ทราบเท่านั้น ทั้งยังบอกว่าเขานั้นมีไข้เล็กน้อย วันนี้จึงไม่เหมาะที่จะฝังเข็มเย่เฟยหลีมองหญ้าบนริมหน้าต่างด้วยอาการขบคิดไม่เข้าใจ แล้วมองไปทางเหลียงหยวน “นางไปทำอะไรแล้ว?”เหลียงหยวนนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงค่อยได้สติถึงสิ่งที่ท่านอ๋องบ่งชี้สมควรเป็นฉู่เนี่ยนซี“เรียนนายท่าน พระชายาเก็บตัวอยู่ในเรือนของตนมาหนึ่งวัน โดยไม่พบกับผู้ใด”ความจริงแล้วเหลียงหยวนก็รู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย เมื่อสามวันก่อนพระชายายังสาบานว่าจะเชื่อมั่นต่อเขา และจะรักษาท่านอ๋องให้หายดี เหตุใดวันนี้ถึงได้...ทิ้งสิ่งที่จะทำไปเสียแล้ว?เย่เฟยหลียิ้มจาง ๆ จนเหมือนกับอ่านความคิดอ่านของเขาได้ “เจ้ามิต้องกังวลไป คาดว่านางคงจะสังเกตเห็นอันใดเ
“ข้าวปลาอาจสามารถกินวุ่นวายได้ แต่วาจานั้นกลับไม่สามารถกล่าววุ่นวายได้” ฉู่เนี่ยนซีหรี่ตาลงเล็กน้อย ถึงแม้น้ำเสียงจะสงบ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแฝงไว้ด้วยแรงกดดันซ่างกวานเยียนที่เมื่อเห็นแววตาของนาง ก็อดที่จะประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น อีกทั้งนางยังเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ภายใน ยืดอกหลังตรง “นี่พี่หญิงคิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ?”เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ เย่เฟยหลีก็กวาดตามองไปยังซุปยาสีดำทมิฬโดยเร็ว แววตาถึงกลับแปรเปลี่ยนเป็นลึกลับสุดคาดเดาซ่างกวานเยียนไม่รอให้ฉู่เนี่ยนซีกล่าววาจา ก็หันไปตะโกนเรียกกับทางด้านนอกที่นั้นถึงกับก็มีผู้คุมสองนายคุมตัวคนผู้หนึ่งเข้ามา และคุกเข่าลงตรงหน้าเย่เฟยหลี“ท่านพี่หลี วันนี้สาวใช้ของข้าบังเอิญได้ยินคนผู้นี้สนทนากับคนผู้หนึ่ง ว่าจะวางยาพิษไว้ในยาของท่านอ๋อง แล้วจะหนีไปด้วยกัน เยียนเอ๋อร์จึงได้ให้คนไปคุมขังเขาไว้”คนผู้นั้นนับว่าได้รับความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ถึงกับเนื้อตัวสั่นเทิมไม่พูดไม่จาอยู่นานซ่างกวานเยียนได้ลดเสียง และเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “ขอเพียงเจ้าพูดความจริงออกมา ท่านอ๋องย่อมใคร่ครวญด้วยตัวเอง!”ผู้ที่ตัวสั่นคุกเข่านั้น ถึงกับ
ฉู่เนี่ยนซีเหลือบไปมองซ่างกวานเยียนที่หน้าซีด ลึก ๆ รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งก็แค่นี้ จะจัดการกับเจ้าแทบไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลยต่างคนต่างมีความคิดที่แตกต่าง ฉู่เนี่ยนซีจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในยานี้ย่อมถูกโรยไว้ด้วยผงพิษไว้เป็นแน่ แต่ทว่ากลับไม่ใช่ยาพิษอันใด เพียงแต่จะแสดงอาการทางผิวหนังเท่านั้น พวกเจ้าดู”ในระหว่างที่พูด นางก็ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเองสุดท้ายบนใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่แผล และลำคอก็เริ่มแดงเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีเริ่มพับแขนเสื้อ จนเผยให้เห็นแขนที่ขาวผ่องนั้นเริ่มค่อย ๆ กลายเป็นสีแดง“นี่มัน...”เย่เฟยหลีเข้าใจความตั้งใจของนางได้ทันที จึงได้เลิกชายเสื้อของตนขึ้น ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแดง แต่ว่าตรงแขนกลับมีสีผิวที่ปกติ“ยาชนิดนี้สามารถทำให้ดูเหมือนมีไข้อ่อนอย่างแน่นอน แต่กลับมีไข้อ่อนที่ต่างไปจากท่าน” ฉู่เนี่ยนซีใช้ท่าทางที่ไม่รีบร้อนไม่ช้าเกิน เพื่อให้ซ่างกวานเยียนแสดงท่าทีออกมา “คาดว่าคงมีคนจงใจหาสมุนไพรที่ทำให้มีไข้คล้ายกับท่าน เพื่อจะโยนความผิดมาที่ข้า”แม้นางจะพูดอย่างมีเลศนัย แต่ในที่นี่ต่างก็ทราบกันดีว่าบุคคลที่นางกล่าวนั้นหมายถึงผู้ใด“วาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ไ
ทันใดนั้นนางก็ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ และมองไปที่อวี่ตงนังชั่วผู้นี้ยังพาองครักษ์ใหม่ถึงสี่นายมาด้วย หรือที่แท้แล้วจะมีขุมอำนาจในยุทธภพคอยหนุนหลัง?จนเมื่อเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นอีกรอบ เย่เฟยหลีจึงยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ข่มกลั้นความไม่พอใจไว้ แล้วถามไปว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นเป็นครั้งสุดท้าย จงพูดความจริงออกมา!”เมื่อเขามีโทสะ ชายผู้วางยาถึงกับรีบคลานมาจนถึงตรงหน้า อีกทั้งยังคลานมาจับชายอาภรณ์ของเย่เฟยหลีเพื่อวิงวอนร้องขอ โดยที่ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ท่านอ๋องโปรดให้ความกระจ่างด้วย! ท่านอ๋องโปรดให้ความกระจ่างด้วย!”“คุมตัวเขาไว้! อย่าได้ให้เขาแตะต้องฝ่าบาท!” ซ่างกวานเยียนที่กลัวเกิดเหตุกลับตาลปัตร จึงรีบใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้ขยิบตาให้กัวเซียวกัวเซียวรีบพุ่งออกไปทันที พร้อมกับองครักษ์หลายนายคุมตัวเขาไป และตวาดขึ้นว่า “ช่างบังอาจนัก!”“ครอบครัวผู้น้อยถูกจับไว้เป็นตัวประกัน ผู้น้อยทำไปเพราะหมดหนทางจริง ๆ”ในขณะที่ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดด้วยความสับสนวุ่นวาย นิ้วของกัวเซียวก็กดเข้าไปที่จุดชีพจรของชายคนนั้นอย่างแรงดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้าง น้ำลายฟูมปาก ล้มลงพับลงกลางกลุ่มอ
เย่เฟยหลีมองนางที่เงียบเชียบไม่เคลื่อนไหว พยายามขบคิดในใจต่อเรื่องราวมากมายผ่านไปอยู่นาน เขาจึงชี้ไปถึงอาการบาดเจ็บตรงหัวไหล่อย่างเฉยชา แล้วถามว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะหายดี?”“สิบวัน” ฉู่เนี่ยนซีตอบไปอย่างรวบรัดเย่เฟยหลีพยักหน้าและกล่าวว่า “เพียงพอแล้ว หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน ฮองเฮาจะจัดพิธีเฉลิมฉลอง เจ้าก็ไปพร้อมกับข้า จำไว้ด้วยว่าต้องรักษามารยาทไว้ให้ดี”ฉู่เนี่ยนซีจึงค่อยนึกขึ้นได้ ครั้งก่อนเขาทั้งสองที่เพิ่งเข้าพิธีสมรสได้ไม่นานก็ถูกเชิญให้เข้าวัง ใบหน้าของนางยังถูกคนกลุ่มหนึ่งคิดหัวเราะเยาะในใจ ยิ่งมีคนถึงกับมุ่งเป้าเย้ยหยันเย่เฟยหลีไปด้วยผลสุดท้ายแล้ว เมื่อชาติที่แล้วสิ่งที่นางทำไปโดยไม่ยั้งคิด เพื่อปกป้องเย่เฟยหลี จึงได้ตอบโต้ผู้อื่นไปหลายประโยค แต่ประจวบกับถูกฮองเฮาพบเห็นเข้าพอดีจากนั้นพระชายาหลีอย่างนางที่ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงจากรอยแผลเป็นนี้ แต่ยิ่งกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จากการ “เอะอะโวยวาย” ในวังหลวงเมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้นึกถึงเลยฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจ สีหน้ากลับเศร้าหมองจนยากที่จะปราฏให้เห็น “ไม่ไปไม่ได้หรือ?”เย่เฟยหล
และในช่วงเวลานี้ เหลียงหยวนที่กำลังก้าวเข้าไปในเรือนของเย่เฟยหลี จึงให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป แล้วค่อยๆเดินมาถึงตรงหน้าเย่เฟยหลี“สอบสวนได้เรื่องอะไรมาบ้าง?” “เกี่ยวกับวิชาธนูที่นายท่านได้รับบาดเจ็บดอกนั้น ข้าได้ส่งคนไปเยี่ยมกองทัพต้องห้ามเป็นการลับแล้ว ทหารหน้าใหม่ภายในห้าปีต่างก็ไม่ทราบเรื่องราว สุดท้ายจึงได้ทราบจากทหารผ่านศึกที่กลับบ้านเพื่อพักฟื้นทราบว่าการสร้างลูกธนูชนิดนี้ ครั้งหนึ่งในช่วงที่เขาคอยรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อนพิชิตแคว้นตะวันตก เคยเห็นผ่านทหารม้าทางตะวันตกมาก่อน” เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้น “จากนั้นเล่า?” เหลียงหยวนถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างอึดอัด แล้วจึงค่อยกล่าวต่อ “นายหญิง ทหารชราผู้นั้นบอกไว้ว่า วิชาการใช้ธนูที่ไปมาไร้ร่องรอยชนิดนี้ กลับไม่ได้ปรากฏในสงครามมานานหลายปีแล้ว แม้แต่ในยุทธภพก็หลงเหลือแต่เพียงข่าวลือ ดังนั้นร่องรอยทั้งหมดจึงหยุดแต่เพียงเท่านี้ เกี่ยวกับคนผู้นี้ คาดว่าพระสนมซ่างกวานเองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ เกรงว่าสิ่งที่ยับยั้งท่านในวันนั้น จะมีก็แต่เพียงความบังเอิญแล้วเท่านั้น” “สมควรที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ กระนั้นการที่สามารถชักนำผู้ใช้วิชาธนูเช่นนี้จาก
“พี่สามช่างปราดเปรื่องนัก!” เย่ฉงเฉิงคล้ายกับมีสติแจ่มชัดขึ้นทันตา ทั้งยังมองไปโดยรอบก็เห็นแต่เพียงเหลียงหยวนคนเดียวที่คอยรับใช้ทั้งซ้ายขวา จึงได้ลดเสียงลงเอ่ยถามขึ้นทันที “ในจวนท่านพี่ มีสาวงามปานนางฟ้าด้วยตั้งแต่เมื่อใดกัน?”เย่เฟยหลีตอบไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เจ้าพูดถึงซ่างกวานเยียนงั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพบนางมาก่อนแล้วงั้นหรือ มีอันใด”“ไม่ใช่ซ่างกวานเยียน!” เย่ฉงเฉิงถึงกับหุบยิ้ม ทั้งยกมือแสดงตัวอย่างและกล่าวอธิบายไปพลางต่อ “น่าจะสูงประมาณนี้ ค่อนข้างผอม สวมชุดกระโปรงสีขาว”เย่เฟยหลีเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนขบคิดอย่างละเอียดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าเย่ฉงเฉิงนิ่งเงียบ และตบเข่าดังฉาดทันที “เช่นนั้นก็ต้องเป็นสาวรับใช้แล้วแน่นอน! แต่สาวใช้จวนพวกท่าน...มิใช่ว่าล้วนแต่มีเพียงหยิบมือมิใช่หรือ? ข้างกายท่านไม่มีแม้กระทั่งสาวรับใช้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นพระชายา และแม่นางซ่างกวานทางนั้นแล้ว? แต่จะเป็นเยี่ยงนั้นก็ไม่ถูกสิ หากว่าสาวใช้ผู้หนึ่งโดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วล่ะก็ มีหรือที่พวกเจ้าจะไม่สังเกตเห็นได้?”เย่ฉงเฉิงกล่าวไปกล่าวมา ก็พาแม้กระทั่งตัวเองสับสนตา