ขณะที่เจียเหยากำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หยุนเจิงกำลังพอใจและผ่อนคลายอยู่กับตัวเองเมื่อได้รับข่าวจากคนที่ฮั่วกู้ส่งกลับมารายงาย หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยโจมตีหยั่งเชิงหรือ?เวลานี้ยังเล่นโจมตีหยั่งเชิง?ไม่กลัวขวัญทหารของพวกเขาโดนสูบจนเกลี้ยงเลย!“ข้าว่า เจ้ามีเจตนาใดกันแน่?”เมี่ยวอินยื่นหน้ามาข้างกายหยุนเจิง ถามหยุนเจิงด้วยความสงสัยนางคิดว่า เป้าหมายของหยุนเจิงไม่ธรรมดาเช่นนั้น“พวกเจ้าคิดว่าเป้าหมายของข้าคือสิ่งใด?”หยุนเจิงช้อนลูกตามองเกาเหอและโจวมี่เกาเหอยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบ “สิ่งที่ข้าคิดได้คือ องค์ชายอยากทดสอบตำแหน่งของกับดักม้าที่อยู่ด้านหน้าขบวนศัตรู ดูจากเส้นทางการเคลื่อนทัพของศัตรูเมื่อครู่ ทัพศัตรูย่าจะกำลังขุดกับดักม้าไว้แล้วสองข้าง”“อื้ม ไม่เลว!”หยุนเจิงมองเกาเหออย่างชื่นชม “มีพัฒนาแล้ว!”เขามีความคิดเช่นนี้จริงแนวเส้นทางการเคลื่อทัพของศัตรูเมื่อครู่ ก็คือแนวการบุกโจมตีของพวกเขาพวกเขาย่อมต้องหลีกเลี่ยงกับดักม้าของทัพศัตรู“เช่นนี้หรือ?”โจวมี่แววตาฉายความตระหนักรู้ จากนั้นก็ถาม “เหตุใดศัตรูขุดกับดักม้าไว้เพียงสองข้างเท่านั้น? ทัพศัตรูเฝ้า
“พวกชวีจื้อไม่ใช่กลยุทธทะลวงศัตรูหรือ?”หยุนเจิงหัวเราะ “เจียเหยาทำเช่นนี้ มีข้อดี แล้วก็มีข้อเสีย...”หากพวกเขาไม่ได้ส่งทหารออกไปสร้างความประหลาดใจ บุกปะทะด้านหน้า ต้องเสียเปรียบอย่างหนักแน่นอนแต่ขอแค่พวกชวีจื้อทางนั้นไม่เกิดปัญหา ต่อให้พวกเขาบุกปะทะด้านหน้า ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วเมื่อพวกชวีจื้อโผล่ออกมากะทันหัน ทัพศัตรูก็ย่อมตกอยู่ในความโกลาหลคนเหล่านี้ของเหมิงกู่และเจินเกอ ยังหวังจะให้พวกเขาม้าสู้ตายถวายชีวิตกับต้าเฉียนหรือ!สำหรับคนของสองกองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอแล้ว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของพวกเขาขอแค่สถานการณ์ไม่ถูกต้อง คนเหล่านี้ส่วนมากก็เลือกที่จะยอมจำนนเมื่อสองกำลังนี้ยอมจำนนตามทิศทางลม กองทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็จะบุกเข้าไปทันทีถึงเวลานั้น นักรบที่เป่ยหวนรับสมัครมาชั่วคราว ยิ่งไม่มีใจอยากทำสงครามไม่หนี ก็ต้องจำนน!“องค์ชายฉลาดปราดเปรื่อง!”โจวมี่ประจบประแจง จากนั้นก็ถามต่อ “องค์ชายยังมีเป้าหมายอื่นอีกกระมัง? หากแค่ยืนยันตำแหน่งของกับดักม้า องค์ชายสั่งคนไปสำรวจสักรอบก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปหยั่งเชิง!”หยุนเจิงพยักหน้ายิ้ม กล่าวอย่างจริงใจ “หนึ่งตัดสินใจลงม
เวลาสองก้านธูปผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวหยุนเจิงสั่งเกาเหอ “ถ่ายทอดคำสั่งหวังชี่ นำกองกำลังไปรวมตัวกับกองกำลังฮั่วกู้ บุกโจมตีศัตรู! บอกพวกเขา ขอแค่ทัพศัตรูมีความเคลื่อนไหวใหญ่ ให้หันหัวถอยกลับทันที! ห้ามรับศึกศัตรู! ผู้ขัดคำสั่ง ประหาร!”“ขอรับ!”เกาเหอไปถ่ายทอดคำสั่งทันทีเมื่อหันกลับมา หยุนเจิงสั่งโจวที่ “สั่งกองทัพด้านหลัง รีบเข้าประชิดหวังชี่และฮั่วกู้!”โจวมี่ไปทำตามคำสั่งทันทีหยุนเจิงพลิกตัวขึ้นหลังม้าไม่นาน หยุนเขิงนำกองทัพด้านหลังเริ่มเข้าประชิดกับทัพหน้าขณะเดียวกัน ฮั่วกู้และหวังชี่ได้รวบตัวกันแล้ว จากนั้นก็ทำตามคำสั่งหยุนเจิง เริ่มเปิดฉากบุกโจมตีทัพศัตรูเมื่อเห็นทัพศัตรูเป็นฝ่ายบุก นัยน์ตาของเจียเหยาฉายแววสงสัยทัพศัตรูกำลังทำสิ่งใด?หรือว่า ก่อนหน้านี้เป็นนางที่คิดมากเกินไป?ศัตรูกำลังให้อาหารม้าอยู่จริง?เจียเหยาไม่สามารถเข้าใจเจตนาของศัตรูได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังสั่งให้ทหารม้าเป่ยหวนหนึ่งหมื่นห้าพันคนเตรียมรับศึกจากนั้น พวกเขาก็บุกออกยังไม่ถึงหนึ่งลี้ กองทัพศัตรูกลับหันหัวกลับ พากันล่าถอยเวลานี้ ด้านหลังกลับมีเสียงสัญญาณถอยทัพดังขึ้นแม่ทัพใหญ่ของ
“กล้า!”ทุกคนพากันร้องคำราม ทุกคนราวกับมีกองไฟถูกจุดขึ้นภายในใจต่อให้คนที่อยู่ห่างไกลไม่ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ก็ตะโกนร้องออกมาเช่นหยุนเจิงยกมือหยุดเสียงร้องคำรามของทุกคน จากนั้นก็ชักดาบออกมาชี้ไปทางทัพศัตรู ร้องคำรามด้วยเจตนาฆ่าเข้มข้น “ความฝันของคนหลายรุ่นของต้าเฉียนเรา วันนี้ พวกเราจะทำให้เป็นจริง! บุกเข้าไป ย่ำม้าสู่ราชสำนัก!”“บุกเข้าไป!”“ย่ำม้าสู่ราชสำนัก!”“ย่ำม้าสู่ราชสำนัก!”“ฆ่า!”“ฆ่า!”เวลานี้ เหล่าทหารส่งเสียงร้องสะเทือนก้องภูเขาเสียงที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากลายเป็นเหมือนกระแสน้ำ จู่โจมจิตใจของทัพศัตรูอย่างต่อเนื่อง“ฆ่า!”สิ้นเสียงคำสั่งของหยุนเจิง ทันใดนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน“ฆ่า!”“ฆ่า!”“ฆ่า...”เสียงเกือกเท้ามาไม่อาจกลบเสียงร้องฆ่าของทหารต้าเฉียนได้เสียงร้องตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้าลอยก้องไปทั่วบรรยากาศการสังหาร!ดูเหมือนไร้รูปร่าง ทว่ามันมีอยู่จริงเผชิญหน้ากับทหารม้าต้าเฉียนที่บุกตรงเข้ามา กลางกองทัพเป่ยหวนเกินความวุ่นวายม้าศึกของคนมากมายเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุข สะบัดหัวส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุดภาพเงาการรบพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง ปราก
หยุนเจิงเห็นทหารม้ากองนั้นที่ทัพศัตรูส่งมาจากด้านข้าง ในใจอดรู้สึกกังวลไม่ได้ทัพศัตรูราวกับเดาได้ว่าพวกชวีจื้อหันหัววกกลับมา!หากชวีจื้อสามารถพุ่งทะลวงทัพศัตรูกองนั้นได้โดยเร็ว การรบครั้งนี้คงสู้กันไม่ยากแต่พวกชวี้จื้อถูกพัวพัน ความเสียหายของการรบครั้งนี้เกรงว่าจะมีมากกว่าเดิมทว่า ทหารม้าเป่ยหวนกองนี้เป็นนักรบที่รับสมัครมาชั่วคราว คงไม่มีศักยภาพพอที่จะพัวพันพวกชวีจื้อบนสนามรบ ทหารม้าต้าเฉียนคนหนึ่งถูกธนูยิง แต่ก็ไม่ได้เกิดอันตรายแต่อย่างใดทหารต้าเฉียนผู้นี้ไม่สนใจว่าลูกธนูจะแทงทะลุร่างกายหรือไม่ ยังคงถือทวนโจมตีทัพศัตรูต่อไปยาวขึ้นหนึ่งนิ้ว แข่งแกร่งขึ้นหนึ่งนิ้วทหารราบต้าเฉียนขี่ม้าถือทวนแทงทะลุร่างการทหารม้าเหมิงกู่ที่สวมชุดเกราะผุพังบนร่างกายทหารราบต้าเฉียนไม่หยุดแม้แต่น้อย ดึงทวนกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แทงทหารม้าเหมิงกู่อีกคนแล้วทำให้ทหารม้าเหมิงกู่คนหนึ่งตกจากหลังม้า ทหารม้าเหมิงกู่อีกคนพุ่งผ่านร่างกายเขาไป ดาบสันโค้งในมือฟันฉับอย่างแรง“แกร๊ง...”ดาบสันโค้งฟันใส่เกราะของทหารราบต้าเฉียน ไม่เพียงไม่ทำให้ทหารราบผู้นั้นบาดเจ็บ ในทางกลับกันดาบสันโค้งของทหารม้าเห
อีกหลายสิบคนที่เหลือ ก็ถูกทหารราบกองกำกับดูแลคนอื่นยิง“ผู้หลบหนี ฆ่า!”ทหารกองกำกับดูแลนำโดยปู้ตู ร้องตะโกนเผชิญหน้ากับการควบคุมของปู้ตู คนสองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอที่คิดจะหลบหนีทำได้เพียงหันหัวม้ากลับไปบุกฆ่าอีกครั้งทว่า ช่องว่างได้ถูกเปิดออกแล้วจากนั้นทหารต้าเฉียนจำนวนมากบุกเข้ามา คนสองกองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอยิ่งเกิดความหวาดกลัว“ฆ่า!”“ฆ่า!”“บุกเข้าไป!”ตอนที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือน ด้านหลังของทหารราบเป่ยหวนก็มีเสียงร้องตะโกนฆ่าดังสนั่นลั่นท้องฟ้าเสียงร้องตะโกนฆ่าที่มาอย่างกะทันหันทำให้ทหารราบทุกกองตกใจกลัวแม้จะอยู่ในสนามรบอันดุเดือด คนไม่น้อยหันหลังกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัวด้านหลังของสนามรบ มีทหารติดอาวุธต้าเฉียนที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่เมื่อใดทหารม้าต้าเฉียนพุ่งเข้ามาทางด้านหลังด้วยเจตนาฆ่าไม่มีสิ้นสุดกองทหารชั้นยอดที่นำโดยชวีจื้อได้ตั้งขบวนโจมตี บุกมาจากทางด้านหลังของทัพศัตรูทหารม้าปีกข้างของเป่ยหวนแตกตื่นในชั่วพริบตาไม่รอคำสั่งของเจียเหยา คนเหล่านี้เริ่มล่าถอยทันทีระหว่างทางที่พวกเขาล่าถอย กลับต้องเผชิญกับทหารม้าต้าเฉียนที่นำโดยชวีจื้อเผชิ
หลังจากการบุกของกองกำลังชวี้จื้อ หยุนเจิงรู้ การต่อสู้สนามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้วบนสนามรบ มีต่างศพทุกหนทุกแห่งแต่ว่า ศพของคนสองกองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอมีมากหน่อยเวลาเช่นนี้ ความแตกต่างระหว่างชุดเกราะที่สมบูรณ์และชุดเกราะที่ไม่สมบูรณ์นั้นแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่หลายครั้งมากมายที่ร่างกายทหารต้าเฉียนถูกดาบฟัน แต่ด้วยการป้องกันจากชุดเกราะ จึงไม่ได้เป็นสิ่งใดร้ายแรงทว่าทัพศัตรูที่ไม่มีการป้องกันจากชุดเกราะเหล่านั้น ขอแค่สัมผัสกับอาวุธของทหารต้าเฉียน โดยพื้นฐานแล้วล้วนลงเอยด้วยจุดจบที่ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส มีเพียงคนโชคดีจำนวนน้อยที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเดิมขวัญทหารของเหมิงกู่และเจินเกอก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว การบุกมากะทันหันของกองกำลังชวีจื้อ นับว่าเป็นการทำลายการป้องกันด้านจิตใจสุดท้ายของพวกเขาไม่นาน คนสองกองกำลังเหมิงกู่และเกินเจอเริ่มยอมจำนนถึงเช่นไร ต่อให้ทหารม้าต้าเฉียนบุกทะลวงแนวป้องกันของพวกเขาไป ที่บุกรุกเข้าไปก็คือด้านหลังของต้าเฉียน ไม่ใช่ด้านหลังของพวกเขารักษาชีวิตไว้สำคัญที่สุด!มองดูสองกองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอทยอยยอมจำนน ทหารม้าเป่ยหวนที่ถูกโจมต
บนสนามรบ ไม่ใช่มีคนจำนวนมากแล้วจะต้องได้เปรียบเสมอไป!ตอนนี้พวกเขาเป็นเหมือนทรายหนึ่งชามที่แตกความสามัคคี!อีกทั้ง ยังเป็นทรายแตกความสามัคคีที่ชุดเกราะไม่สมบูรณ์กองทัพเช่นนี้ ทำได้เพียงสู้ไปตามทิศทางลม โดยพื้นฐานไม่มีทางต่อต้านทิศทางลมได้!ต่อให้คนของพวกเขามีจำนวนเป็นสองเท่าของทัพศัตรู ต่อสู้กับทัพศัตรูที่กำลังใจล้นเปี่ยม โดยพื้นฐานแล้วมีจุดจบเดียวคือพังทลายแม้ปู้ตูอยากจะสู้ตายไปพร้อมกับทัพศัตรูเช่นกัน แต่เขาก็รู้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสู้แล้ว“ข้ารู้!”เจียเหยากำหมัดแน่น กัดฟันกล่าว “แต่พวกเราหนีไปตลอดเช่นนี้ ทัพศัตรูไล่ตามมาตลอด ความเสียหายของพวกเราเองก็ไม่น้อยเช่นกัน! ทว่าทัพศัตรู สามารถทำให้ความเสียหายแทบเป็นศูนย์...”หนีไปตลอดเช่นนี้ เดิมก็ไม่ใช่วิธีพวกเขาคนมาก ต้องมีคนข้างหลังทีรั้งทายถูกศัตรูไล่ตามที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาต้องรวมตัวกับกองกำลังราชสำนักทางนั้น!พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ทัพศัตรูติดสอยห้อยตามพวกเขาจนถึงราชสำนัก!พวกเขาจะต้องชะลอการไล่ล่าของศัตรู ให้คนทางราชสำนักมีเวลาอพยพราชสำนักเมื่อได้ฟังคำของเจียเหยา ปู้ตูหมดคำพูดโดยทันทีเขารู้สิ่งที่เจียเหยาพูดเป็น
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ