เมื่อได้ฟังคำของโม่ยื่อเกิน เจียเหยาพลันใจกระตุกแม้แต่หัวหน้าผู้บัญชาการทหารคนสนิทของนางก็ยังถามคำถามเช่นนี้ออกมาแล้ว!อย่างที่เห็น ขวัญทหารของพวกเขาตกต่ำถึงเพียงนี้เกรงว่า ต้องมีคนจำนวนมากไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้กระมัง?แม้ว่า กุ่ยฟางตกลงส่งทหารแล้วหยุนเจิง!ชื่อนี้ ราวกับกลายเป็นปีศาจร้ายในใจคนเป่ยหวนแล้วเจียเหยานิ่งอยู่นาน จึงตั้งสติได้ กล่าวอย่างขาดความมั่นใจ “มีกองหนุนของกุ่ยฟาง พวกเราต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน!”“ขอรับ!”โม่ยื่อเกินตอบรับ ทว่าภายในใจก็ยังไม่มีความมั่นใจเจียเหยาถอนหายใจหนักๆ เปลี่ยนมาเป็นสั่งโม่ยื่อเกิน “ถ่ายทอดคำสั่งกู่เก๋อ สามารถส่งกองย่อยไปก่อกวนทัพศตรูได้ แต่ห้ามเผชิญหน้าทำศึกกับศัตรู! ส่งรายงานกลยุทธรับมือกับทัพศัตรูให้ข้าตลอดเวลา!”“อีกอย่าง ส่งคนไปดูทางเหมิงกู่และเจินเกอ ข้าต้องการรู้สถานการณ์ของปู้ตูทางนั้น!”“ส่งคนไปบอกเกออาซู ส่งคนไปติดต่อกับกุ่ยฟางทางนั้นมากหน่อย ตอนยืนยันว่ากุ่ยฟางส่งทหารมาช่วยเหลือได้หรือไม่!”หากกองทัพของกุ่ยฟางไม่มา ความเป็นไปได้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้วนางจำเป็นต้องยืนยันว่ากุ่ยฟางจะส่งทหารมาจริง“ข
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงชนเผ่าแห่งนั้นของเจียเหยาตอนนี้ สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่าแต่ว่า ก็ยังเห็นเศษซาก ปรักหักพังที่ชนเผ่ารีบร้อนอพยพออกไปได้ไม่น้อยมองดูสักพัก หยุนเจิงพาคนมาถึงยังสถานที่ที่พวกเขาขุดมันเทศดินออกมามันเทศดินถูกขุดออกไปแล้ว สถานที่แห่งนี้น่าจะมีคนเพาะปลูกทำการเกษตรใหม่แต่ว่า อาจเพราะได้รับคำสั่งอพยพกะทันหัน จึงเพาะปลูกได้ไม่มากตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในพื้นดินโตได้ประมาณคืบนึงแล้ว“เจ้ารู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?”หยุนเจิงถามอวี๋ซื่อจง“รู้จัก!”อวี๋ซื่อจงตอบ “นี่เรียกว่าข้าวสาลีหยุน ไม่เหมือนกับข้าวสาลีของพวกเรา เหมาะกับการปลูกในเป่ยหวน เพียงแต่ผลผลิตไม่สูง”“น้อยเท่าใด?”หยุนเจิงถามอวี๋ซื่อจงพึมพำ “ถึงเช่นไรผลผลิตหนึ่งหมู่เกินหนึ่งร้อยชั่งก็นับว่าได้ผลผลิตสูงแล้วกระมัง!”“นี่...”หยุนเจิงอึ้ง “น้อยจริงๆ”“นี่ยังไม่นับ”อวี๋ซื่อจงหัวเราะ “ในเป่ยหวนยังมีวิธีปลูกที่ขึ้นอยู่กับท้องฟ้าด้วย ผลผลิตยิ่งน้อยจนน่าสงสาร”“วิธีใด?”หยุนเจิงถามด้วยความสงสัยอวี๋ซื่อจงยิ้มเล็กน้อย “ตอนที่ให้อาหารสัตว์ในทุกหญ้านำเมล็ดพืชไปด้วย เล็มหญ้าพร้อมโปรยเมล็ดไปตามทาง รอให้กลับมาหลั
หากเผ่นแนบหนีกลับไปเช่นนี้ ต้องเสียเปรียบไปถึงบ้านป้าแน่นอนขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ทหารม้าก็ควบม้าเข้ามากะทันหัน“ท่านอ๋อง หลู่ซิงรายงานด่วน!”ทหารม้าวิ่งมาอยู่ตรงหน้าหยุนเจิง พลิกตัวลงหลังม้า มอบจดมายฉบับหนึ่งให้หยุนเจิงหยุนเจิงรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี รีบเปิดจดหมายเมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของหยุนเจิงเคร่งขรึม“องค์ชาย เป็นเช่นไร?”อวี๋ซื่อจงถามทันที“ดูเอาเถอะ!”หยุนเจิงนำจดหมายในมือมอบให้อวี๋ซื่องจง สมองหมุนแล่นอย่างรวดเร็วกุ่ยฟางได้ฉวนหรงแล้ว ทั้งยังส่งทหารห้าหมื่น กองกำลังฉวนหรงช่วยคุ้มกันขนส่งเสบียง ระดมกองทัพหนึ่งแสน กำลังเคลื่อนทัพไปยังทางเดินทะเลทรายตะวันตก ปรารถนาช่วยเป่ยหวนต้านทานต้าเฉียน!ทูตที่หลู่ซิ่งส่งไปกุ่ยฟาง ถูกขับไล่ออกมาแม้แต่หน้าประมุขกุ่ยฟางก็ยังไม่ได้พบอวี๋ซื่อจงได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย ใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นดูยากทันทีกุ่ยฟางเจ้าพวกคนสารเลว!ลืมเรื่องเมื่อหกปีก่อนที่ถูกเป่ยหวนตีจนร้องไห้หาบิดาเรียกหามารดาแล้วหรือ?ตอนนี้ไม่ตุบตีสุนัขจมน้ำด้วยกันกับต้าเฉียน นึกไม่ถึงยังจะส่งทหารช่วยเป่ยหวนด้วย?“องค์ชาย พวกเราตอนนี้ต้องเปลี่ยนทิศทางหรือไม
“ดี ดีมากเลย!”เมื่อยืนยันแล้วว่ากุ่ยฟางส่งทหาร เจียเหยาร้องออกมาด้วยความดีใจข่าวดี!เป็นเวลานานมาแล้ว นับว่ามีข่าวดีแล้วกุ่ยฟางบวกกับกองกำลังของเกออาซู กองทัพเกือบเจ็ดหมื่นคน!แม้ทหารห้าหมื่นของกุ่ยฟางจะมีทหารราบสามหมื่นคน ทว่าก็ยังมีคนและม้าห้าหมื่นคน!ส่วนศัตรูมีเพียงประมาณสองหมื่นคนเท่านั้นพวกเขาครอบครองกำลังเป็นสามเท่าของศัตรู หากไม่ตกหลุมพรางแผนร้ายศัตรู โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางรบแพ้ตั้งแต่สมัยโบราณ มีตัวอย่างไม่น้อยที่คนหมู่น้อยเอาชนะคนหมู่มากได้แต่การที่คนหมู่น้อยเอาชนะคนหมู่มากได้ มันง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ใด?ทางเดินทะเลทรายตะวันตก น่าจะไม่จำเป็นต้องกังวลมากแล้วสถานการณ์ตรงหน้าก็ต้องดูทางเดินทะเลทรายตะวันออกแล้วตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเอาชนะทัพศัตรูเส้นทางทะเลทรายตะวันออกแล้ว แค่ถ่วงทัพศัตรูไว้ก็พอแล้ว!ทันทีที่ทัพศัตรูทางเดินทะเลทรายตะวันตกแพ้ กองทัพที่เส้นทางเดินทะเลทรายตะวันออกแปดเก้าในสิบส่วนย่อมเลือกที่จะล่าถอยหากทัพศัตรูไม่ล่าถอย พวกเขาก็สามารถย้ายกำลังคนจากทางเดินทะเลทรายตะวันตกกลับมาช่วยเหลือได้“ฟู่...”เจียเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าเผยรอ
พวกเขาช้าไปก้าวหนึ่ง ก่อนหน้าพวกเขาสองวันก่อน ปู้ตูได้นำกำลังทหารม้าเป่ยหวนหนึ่งพันคนไปถึงเหมิงกู่และเจินเกอแล้วคนของเหมิงกู่และเจินเกอเมื่อได้ฟังว่าถึงต้าเฉียนก็จะได้กินเนื้อก้อนใหญ่ ก็ราวกับฉีดเลือดไก่เวลานี้ ปู้ตูได้นำกองกำลังสองหมื่นคนจากสองฝั่งนั้นเดินทางกลับมาแล้วเมื่อได้รู้ผลลัพธ์นี้ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมารดาเขาสิ!เจียเหยาผู้หญิงคนนี้ปฏิกิริยาตอบโต้เร็วนัก!เขายังคิดจะให้นักรบภูตสิบแปดทำให้สองชนเผ่ากับเป่ยหวนขัดแย้งกัน รอพวกเขาส่งทหารไปตีเป่ยหวน สองเผ่าจะได้แทงข้างหลังเป่ยหวนได้สะดวกสุดท้าย นึกไม่ถึงว่าจะถูกเจียเหยาตัดหน้าไปก่อนแล้ว!เดิมทีสถาการณ์ดีเช่นนี้ ถูกเจียเหยาสร้างเรื่องเช่นนี้ กลับกลายเป็นพวกเขาค่อนข้างเสียเปรียบหยุนเจิงกำลังก่นด่าในใจ จากนั้นก็ถามอีกครั้ง “อาวุธของคนของทั้งสองเผ่าเป็นเช่นไร?”“ไม่ค่อยเท่าไหร่ คนเกินกว่าครึ่งไม่มีเกราะที่สมบูรณ์”นักรบภูตเก้าตอบ “ระหว่างทางที่พวกเรากลับมา ยังจับสายลับเป่ยหวนได้ด้วยความบังเอิญ...”พวกเขาแยกสายลับสองคนออกจากกันแล้วดำเนินการไต่สวน ได้รู้ข้อมูลของทัพศัตรูที่ประจำการอยู่ทางเดินทะเลทรายตะวันตก
ราชสำนักเป่ยหวนสองวันนี้ รายงานจากสายสืบเส้นทางต่างๆ ทยอยส่งข้อมูลมาให้เจียเหยาไม่หยุด รวมถึงข่าวการรุกคืบของกองทัพเส้นทางขวาของศัตรูอย่างกะทันหันตอนนี้เจียเหยาสับสนอย่างมากนางตัดสินใจไม่ได้ว่าหยุนเจิงอยู่ในกองทัพเส้นทางใดกันแน่นางอยากโจมตีเส้นทางเสบียงของทัพศัตรู ทว่านางไม่กล้าเสี่ยงลงมือตอนนี้นางหดหัวหดหาง สิ่งที่ต้องคิดพิจารณามีมากเกินไปนางกลัวว่าตัวนางไม่ระวังจะติดกับดัก ขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารเวลานี้ เจียเหยาเริ่มเข้าใจเว่ยเหวินจงที่นางเคยดูถูกเมื่อก่อนแล้วยาก!ระแวงระวัง แต่ละก้าวไม่กล้าเดินพลาด!แม้จะมีกองหนุนของกุ่ยฟาง นางก็ยังคงต้องระวังสุดชีวิตการต่อสู้ครั้งนี้สำหรับเป่ยหวนแล้วสำคัญมาก นางไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาหากพ่ายแพ้ขณะที่เจียเหยากำลังครุ่นคิดแผนการอย่างหนัก ก็มีสายลับนำข่าวสารกลับมาแล้วกองทัพเส้นทางขวาของทัพศัตรูอยู่ห่างจากทางเดินทะเลทรายตะวันออกไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบลี้แล้วต่อให้เข้ามาในอาณาเขตการโจมตีของทหารม้าแล้วทัพศัตรูก็ดูเหมือนเตรียมพร้อมจู่โจมแล้วเช่นกันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเสบ
ตอนนี้ สถานที่ตั้งค่ายของพวกเขากับกองทหารมณฑลทางเหนืออยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลี้ระยะห่างนี้ ทหารม้าหนึ่งวันก็สามารถบุกมาถึงได้กู่เก๋อยังบอกข่าวร้ายกับเจียเหยาสายลับหลายคนที่พวกเขาส่งออกไปตอนนี้ยังไม่กลับมากู่เก๋อคาดเดาว่า สายลับพวกนี้น่าจะถูกทัพศัตรูจัดการทิ้งแล้ว บางทีอาจจะถูกจับทั้งเป็นก็ได้!หากถูกจัดการทิ้งไปยังดีหน่อยแต่หากถูกจับเป็น ทัพศัตรูน่าจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขาแล้วด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าทัพศัตรูจะเริ่มบุกโจมตีกล่าวเรื่องพวกนี้ กู่เก๋อถอนหายใจไม่หยุดเช่นกันหากเป็นเมื่อก่อน ให้ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นคนกับเขา เขากล้าปะทะกับทหารม้าสองสามหมื่นของต้าเฉียนอย่างแน่นอนทว่าตอนนี้ ความเชื่อมั่นของเป่ยหวนตีไม่เหลือแล้ว คนมากมายหวาดกลัวทหารม้าต้าเฉียนความหวาดกลัวเช่นนี้ บนสนามรบจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของกู่เก๋อ สีหน้าของเจียเหยายิ่งเคร่งขรึมหนักแน่นความมั่นใจของกู่เก๋อถูกตีไม่เหลือ ความมั่นใจของนางก็ถูกตีไม่เหลือเช่นกัน!หากเป็นก่อนหน้านี้ ทัพศัตรูกล้ากดดันมาข้างหน้าเช่นนี้ พวกเขาคงออกไปสู้นานแล้วไหนเลยจะเอาแต่เฝ
เช้าวันที่สอง กองทัพหยุนเจิงเคลื่อนไหวอีกครั้งครั้งนี้ หยุนเจิงเปลี่ยนวิธีการเดินทัพชวีจื้อนำทหารม้าเก้าพันคนเป็นแนวหน้า เข้าประชิดหุบเขาทะเลทรายตะวันออกเขานำทัพทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคนเป็นทัพกลางหวังชี่นำทหารม้าสามพันที่เหลือคุ้มกันเสบียงและทหารราบที่แบกสัมภาระหนักพวกเขาทำท่าทางต้องการโจมตีทางเดินทะเลทรายตะวันออกเวลาตอนบ่าย หยุนเจิงได้รับข่าวที่ชวีจื้อส่งกลับมาเป่ยหวนส่งทหารออกไปประมาณสองพันคน ก่อกวนและจู่โจมอย่างต่อเนื่อง เจตนาถ่วงเวลาความเร็วในการโจมตีของพวกเขาทั้งสองผ่ายเปิดศึกปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บแต่ว่า ความเสียหายเล็กน้อยเป้าหมายของทัพศัตรูก็แค่ก่อกวน โดยพื้นฐานแล้วก็คือตีแล้วหนีไม่นาน ชวีจื้อก็ส่งคนกลับมารายงานอีกพวกเขาพบกับการก่อกวนของทัพศัตรูอีกครั้งระยะเวลาการก่อกวนสองครั้ง ไม่เกินครึ่งชั่วยามผลการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ต่างกับครั้งก่อนหน้าการก่อกวนของศัตรู ถ่วงเวลาความเร็วในการเคลื่อนทัพของพวกชวีจื้ออย่างรุนแรงภูมิประเทศที่นี่ไม่เปิดกว้างเหมือนบริเวณสามเมืองชายแดนที่นี่ล้วนเป็นเนินเขาทุกหนทุกแห่ง ทัพศัตรูซ่อนตัวได้ง่ายเพื่อป้องกันการโจมต
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ