ฮูหยินเสิ่นขยี้ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นหันไปส่งรอยยิ้มให้กับหลานสาวทีหนึ่ง “ต่อไปห้ามเรียกอาสะใภ้รองว่าอาสะใภ้รองแล้วนะ ต้องเรียกว่าป้าใหญ่แล้ว”“หา?”ใบหน้าอ่อนโยนของเสิ่นเนี่ยนฉือเต็มไปด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดกัน?”“เดี๋ยวเนี่ยนฉือโตแล้วก็จะเข้าใจเอง”ฮูหยินเสิ่นลูบศีรษะของเสี่ยวเนี่ยนฉือเบาๆ“เจ้าค่ะ”เสิ่นเนี่ยนฉือเบะปากเล็กน้อย ทว่ายังคงทำหน้าสงสัยอาสะใภ้รองก็อาสะใภ้รองไม่ใช่หรือ?เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นป้าใหญ่ได้ล่ะ?ฮูหยินเสิ่นเคาะศีรษะของเนี่ยนฉือเบาๆ จากนั้นเดินไปหาเยี่ยจื่อที่น้ำตาไหลจนตาพร่ามัว แสร้งทำเป็นเย็นชาพลางกล่าวว่า “นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลเสิ่นอีกต่อไป! ข้าจะเขียนหนังสือหย่าแทนหลินเอ๋อร์ให้เจ้า!”เยี่ยจื่อตัวสะท้าน จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินเสิ่นเสียงดัง ‘ตุบ’……“บัดนี้ เท่ากับว่าได้เผาเจ้าและพี่สะใภ้เจ้าไว้บนเตาไฟแล้วนะ!”ระหว่างทางไปชายแดนกู้ เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหยุนเจิงด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าตายไม่ออกถึงแม้พวกเขาจะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อแล้ว ซ้ำยังดีใจที่ได้เห็นหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อเป็นเช่นนี้ แต่ทว
ณ เมืองจักรพรรดิฉินลิ่วก่านเร่งม้ากลับไปยังเมืองจักรพรรดิ แล้วเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินทันที“กลับมาก็ดี! มาดื่มกับข้าสักสองสามจอกเร็วเข้า!”จักรพรรดิเหวินโบกมือเรียกฉินลิ่วก่านด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม แล้วสั่งให้มู่ซุ่นและคนอื่นๆ ถอยออกไป“…”ฉินลิ่วก่านเดินไปถึง มองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้ามึนงงก่อนจะโค้งคำนับให้จักรพรรดิเหวิน“พอเถอะๆ”จักรพรรดิเหวินโบกมือ “ที่นี่ไม่มีคนนอกคนไกล ไม่ต้องมากพิธีปานนั้นก็ได้”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินลิ่วก่านนั่งลง แล้วมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ฝ่าบาท พระองค์…ทรงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?ตนคิดว่าเขาจะกระอักเลือดอยู่ในเมืองจักรพรรดิเสียอีก จึงได้เร่งม้ากลับมาโดยเร็วคิดจะมาปลอบใจเขาอีก!แต่ปรากฏว่า เขากลับทำเหมือนไม่เป็นอะไรเสียอย่างนั้น?มิหนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย?“ข้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าดูไม่ออกหรือ?”จักรพรรดิเหวินมองฉินลิ่วก่านทีหนึ่ง “รินสุราเอง จะให้ข้ารินให้หรือไง?”ฉินลิ่วก่านหน้ากระตุกเล็กน้อย ในใจยิ่งสับสนเขาเข้าใจจักรพรรดิเหวินมากจริงๆท่าทีผ่อนคลายไร้กังวลของจักรพรรดิเหวินตอนนี้ไม่เหมือนเสแสร้งออกมา
จักรพรรดิเหวินต้องการใช้หยุนเจิงในการกระตุ้นและควบคุมรัชทายาท!“ให้พวกเขาสู้กันเช่นนี้ต่อไป พระองค์ไม่รำคาญพระทัยหรือ?”ฉินลิ่วก่านมองจักรพรรดิเหวินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ”จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปเถอะ ข้าจะถือซะว่าดูสุนัขสองตัวสู้กันแล้วกัน!”“…”ใบหน้าของฉินลิ่วก่านกระตุก แล้วมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกเขามองบุตรชายทั้งสองคนเป็นสุนัขที่กัดกันจริงๆ นั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินไม่แยแส แล้วดื่มสุราขึ้นอย่างเฉยเมย “สิ่งที่ข้าต้องทำในตอนนี้คือสร้างสถานการณ์ให้สุนัขสองตัวนี้สู้กันเอง อย่าออกไปกัดคนอื่นมั่วซั่ว แล้วไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์…”“…”ฉินลิ่วก่านไม่รู้จะพูดอะไรดีเขาเข้าใจพระประสงค์ของจักรพรรดิเหวินจักรพรรดิเหวินต้องการจะสร้างกฎให้กับเจ้าหกและรัชทายาทพวกเขาจะสู้กันอย่างไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์จักรพรรดิเหวินยิ้ม แล้วยกสุราขึ้นจิบมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกฉินลิ่วก่านตนไม่อยากสนใจเจ้าหกไอ้ลูกไม่รักดีนั่นอีกแล้ว!ดังนั้นให้เจ้าสามกับพรรคพวกของเขาไปต่อกรกับเจ้าหกแล้วกัน!เช่นน
วันต่อมา หยุนเจิงและคนอื่นมาถึงโขดเป่ยหยวนสภาพอากาศของซั่วเป่ยค่อยๆ อุ่นขึ้นชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยเองก็ละลายไปไม่น้อย บัดนี้ไม่สามารถขี่ม้าข้ามแม่น้ำได้แล้วอีกประมาณยี่สิบวัน แม่น้ำไป๋สุ่ยก็น่าจะละลายหมดแล้วด้วยคำสั่งของหยุนเจิง สะพานหินจำลองที่ข้ามผ่านไปฝั่งตรงข้ามก็เริ่มก่อสร้างขึ้นแล้วเช่นกันความจริง ก่อนที่จะสูญเสียเมืองสามชายแดนไป ที่นี่เป็นสะพานหินที่ทอดยาวราวสองร้อยจั้ง กว้างสองจั้งอยู่หนึ่งแห่งสะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยจักรพรรดิองค์ก่อนตอนนั้น เพื่อสร้างสะพานหินแห่งนี้ ต้องใช้ทหารชาวนากว่าหลายหมื่นนาย ใช้เวลาไปทั้งหมดสามปีเต็มถึงจะสร้างเสร็จแต่หลังจากที่เสียเมืองสามชายแดนให้กับเป่ยหวนไป จักรพรรดิเหวินก็สั่งให้คนทำลายสะพานหินทิ้งทว่าจักรพรรดิเหวินก็ยังมีใจคิดอยากสู้กลับไปสักวัน ดังนั้นจึงสั่งให้ทำลายพื้นผิวของสะพานเท่านั้น แล้วเหลือตอม่อสะพานเอาไว้เป่ยหวนเองก็คิดว่าจะโจมตีซั่วเป่ยสักวัน เพื่อจะได้ขนส่งเสบียงและสัมภาระได้สะดวกจึงไม่ได้ทำลายตอม่อสะพานด้วยเช่นกันเพราะเช่นนั้น การจะสร้างสะพานขึ้นใหม่บนตอม่อสะพานที่มีอยู่เดิมแล้วจึงได้ง่ายขึ้นอย่างมากหากต
ตอนนี้ เขาต้องทราบเสียก่อนว่าคนพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ค่อยตัดสินใจดำเนินแผนการต่อไปหากเจียเหยาฝ่าฝืนกฎระหว่างพวกเขา เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาเหี้ยมโหดแล้วกัน!การกวาดล้างครัวเรือนต่างๆ ใช่ว่าเขาจะไม่กล้าทำ!“ขอรับ!”ตู๋กูเช่อรับคำ แล้วรีบปฏิบัติตามคำสั่งของหยุนเจิงทันที“จริงสิ พวกเจ้าได้ข่าวสถานการณ์ภายในเป่ยหวนบ้างหรือไม่?”ขณะนั้นเอง หยุนเจิงก็ถามขึ้นอีกครั้งเรื่องนี้สำคัญมากหากเป่ยหวนเกิดโกลากลกันภายใน เช่นนั้นก็จะเป็นผลดีต่อพวกเขามาก!“ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็มีบ้างจริงๆ ขอรับ”ตู๋กูเช่อตอบ “ก่อนหน้านี้เราจับตัวทหารสอดแนมของเป่ยหวนมาได้หนึ่งนาย แล้วได้ทราบเรื่องจากเขาโดยบังเอิญว่า อาหลู่ไถจั่วเสียนอ๋องแห่งเป่ยหวนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อครั้นฝ่าวงล้อมที่ชายแดนกู้ครั้งก่อน ทนได้เดือนกว่าก็ตายอย่างสิ้นหวังแล้ว! แล้วก็ดูเหมือนว่าปานปู้จะตายแล้วด้วย…”“ปานปู้ตายแล้ว?”หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึงงันพร้อมกันอาหลู่ไถตายเพราะบาดเจ็บสาหัสก็พอเข้าใจได้แต่ปานปู้ตายได้อย่างไรกัน?พวกเขาไม่ได้สู้ซึ่งหน้ากับปานปู้และเจียเหยาด้วยซ้ำ!“ไม่แน่ใจเหมือนกันขอรับ”ตู๋กูเช่อส่ายศ
สองวันถัดมา หยุนเจิงและฉินชีหู่ได้นำทัพทหารม้าสามพันนายเคลื่อนส่งเชลยศึกเป่ยหวนสามสิบคนไปยังทะเลสาบไป๋หลางทะเลสายไป๋หลางไม่ใหญ่มากนัก พื้นผิวน้ำในช่วงฤดูฝนก็มีเพียงยี่สิบไร่เท่านั้นช่วงนี้ พื้นผิวน้ำของทะเลสาบไป๋หลางอย่างมากก็มีไม่ถึงสิบไร่ถึงจะเป็นทะเลสาบ แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงสระที่ขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้นทะเลสายไป๋หลางห่างจากชายแดนกู้ราวหกสิบลี้ เป็นสถานที่นัดหมายระหว่างหยุนเจิงกับเจียเหยาในการแลกเปลี่ยนคนกล่าวตามตรง เพียงแค่แลกเปลี่ยนคนเท่านี้ถึงกับต้องใช้ทหารม้าสามพันนาย ถือว่าสิ้นเปลืองอยู่บ้างแต่ทว่า เจียเหยาเองก็เป็นคนมากกลยุทธ์เช่นกัน หยุนเจิงจึงต้องป้องกันเอาไว้ระหว่างทาง หยุนเจิงและฉินชีหู่ก็ส่งคนไปสอดส่องทั่วทุกที่อย่างไม่ขาดสาย เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารม้าเป่ยหวนล้อมรอบพวกเขาเพราะหิมะที่ค่อยๆ ละลาย ทำให้ต้นหญ้าค่อยๆ เจริญขึ้นเส้นทางที่เดินผ่าน สามารถเห็นต้นอ่อนเขียวขจีงอกขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อถึงกลางฤดูร้อน ผืนหญ้าแห่งนี้ต้องสวยงามมากแน่ๆ!ขณะที่ใกล้ถึงทะเลสาบไป๋หลางแล้ว ทหารสอดแนมก็มารายงานว่า พวกเขาพบปะกับทหารสอดแนมของเป่ยหวนแล้วแต่ทว่าทั้งสองฝ่ายเพียงแ
ฉลาดหรือ?เจียเหยายิ้มขมขื่นความฉลาดหลังเกิดเรื่อง จะนับว่าฉลาดได้อย่างไร?เขาคงหัวเราะเยาะนางอยู่น่ะสิไม่ว่า?“เป็นแผนการที่เยี่ยมจริงๆ เจียเหยานับถือ!”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วโดดลงจากหลังม้าภายใต้สายตาของฝูงชน เจียเหยายกมือขวาวางบริเวณหัวใจ แล้วโค้งคำนับต่อหยุนเจิง“เจ้า…ทำอะไรน่ะ?”หยุนเจิงมองเจียเหยาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าจะยอมแพ้นั้นหรือ?”“เจ้าคิดมากไปแล้ว!”เจียเหยาตอบเสียงเย็นชา แล้วกระโดดขึ้นหลังม้า “ถึงแม้เราจะเป็นศัตรูกัน แต่ต้องขอบใจเจ้าที่รักษากฎที่คุยกันไว้! นี่ถือเป็นการให้เกียรติจากข้า!”“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง!”หยุนเจิงหัวเราะลั่น “ข้ารักษากฎ และหวังว่าพวกเจ้าจะรักษากฎด้วยเช่นกัน!”“แน่นอน!”เจียเหยายกมือขึ้น “ข้าขอสาบานต่อหน้าเทพหมาป่า หากวันใดข้าโจมตีซั่วเป่ย ข้าก็จะรักษากฎที่วางไว้ว่าจะไม่เข่นฆ่าคนชราและเด็กน้อยของต้าเฉียน!”“แค่คำพูดนี้ของเจ้า ข้าจะรักษากฏที่วางไว้ต่อไปแน่นอน!”หยุนเจิงพยักหน้า แล้วเปลี่ยนหัวข้อทันที “ได้ยินว่าปานปู้และอาหลู่ไถตายแล้วนั้นหรือ?”เมื่อได้ยินหยุนเจิงเอ่ยถึงปานปู้ ในตาของเจียเหยาก็แฝงด้วยความเย็นชา
ค่อยเปิดศึกกันหลังจากสิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า?เจียเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วมองหยุนเจิงด้วยแววตาแปลกประหลาดใจยุติสงครามนั้นหรือ?นางเองก็อยากยุติสงครามเช่นกัน!ตอนนี้ ทั้งเป่ยหวนต่างก็อยากยุติสงครามทั้งนั้น!ขอแค่หยุนเจิงเห็นด้วยกับการยุติสงคราม และทำตามสัญญา แม้จะให้พวกเขามอบม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวให้ พวกเขาก็ยอม!แต่หยุนเจิงจะยอมยุติสงครามได้อย่างไร?สิ่งที่กลัวคือ กลัวว่าพวกเขาจะมอบทุกอย่างออกไปแล้ว แต่หยุนเจิงเพิ่งรับผลดีนั้นไป ก็คิดแทงข้างหลังขึ้นมาหยุนเจิงที่เจียเหยารู้จักสามารถทำเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้แน่นอน!ถึงขนาดพูดได้ว่าหยุนเจิงจะทำเช่นนั้นแน่ๆ!ตนมอบความดีความชอบให้กับเขาถึงที่ แต่เขากลับใช้จางหลิวมาหลอกตน นับประสาอะไรกับอย่างอื่น?เป่ยหวนในตอนนี้คิดจะยุติสงคราม จะง่ายปานนั้นได้อย่างไร?หากนางเป็นหยุนเจิง นางก็ไม่มีทางยุติสงครามตอนนี้เป็นแน่!เพราะตอนนี้เป็นช่วงที่เป่ยหวนอ่อนแอที่สุดหยุนเจิงจะยุติสงครามตอนนี้ก็บ้าแล้ว!ไอ้สารเลวนี่ต้องคิดจะหลอกตนแน่ๆ!แสร้งทำเหมือนยุติสงครามก่อน แล้วค่อยลอบโจมตีนั้นหรือ?เจียเหยาแค่นเสียงเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ได้