หยุนเจิงกอดเยี่ยจื่อ นานๆ ทีจะมีความคิดรักทะนุถนอมนางสักครั้ง เพียงแค่บอกนางเรื่องจางซูจะให้สถานะกับหมิงเย่ว์ จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าว่า ข้าควรให้สถานะกับเจ้าและเมี่ยวอิน”“ข้าไม่ต้องการสถานะ”เยี่ยจื่อส่ายหน้าเบาๆ “ข้าอยู่กับเจ้าเช่นนี้ก็พอแล้ว”“พูดอะไรน่ะ?”หยุนเจิงเชยใบหน้าเยี่ยจื่อขึ้นมา “ให้เจ้าติดตามข้าโดยไร้สถานะได้เช่นไร?”“ข้าไม่ต้องการสถานะจริงๆ” เยี่ยจื่อส่ายหน้าอีกครั้ง กล่าวอย่างจริงใจ “ฐานะของข้าค่อนข้างพิเศษ เจ้าให้สถานะกับข้า คนทั้งใต้หล้าจะมองเจ้าเช่นไร? ข้าไม่อาจทำเพื่อสถานะจอมปลอมมาทำลายชื่อเสียงเจ้า”ความสัมพันธ์ของนางและหยุนเจิง ทำเช่นไรก็ขัดกับกฎเกณฑ์ในเมื่อนางตัดสินใจอยู่กับหยุนเจิงแล้ว ย่อมไม่สนใจสายตาคนภายนอกอีกต่อไปแต่หยุนเจิงไม่ได้!หยุนเจิงคือจิ้งเป่ยอ๋อง เป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว แล้วยังเป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ!นางไม่อาจปล่อยให้หยุนเจิงขึ้นชื่อว่าเป็นคนรังแกภรรยาดูหมิ่นสะใภ้“ชื่อเสียงผายลมสิ”หยุนเจิงหัวเราะไม่ใส่ใจ “แม้แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นโจรชั่วสร้างความแตกแยกข้าล้วนไม่สนใจ ยังจะสนใจชื่อเสียงเช่นนี้ด้วยหรือ? ใครกล้าพูดจาเหลวไหล ข้าจะตัดล
คืนนี้ แม้หยุนเจิงและเยี่ยจื่อไม่ได้ทำกันจนไปถึงขั้นนั้น แต่พวกเขาทั้งสองก็ทำกันจนพอใจมากตอนเช้า เยี่ยจื่อลุกขึ้นจากเตียงมองหยุนเจิงที่ลุกขึ้นนั่งตาม เยี่ยจื่ออดรู้สึกเขินอายในใจไม่ได้เจ้าตัวร้ายนี่ คงดูตำราเรื่องพรรค์นั้นมาไม่น้อย!ในใจเต็มไปด้วยความเขินอาย เยี่ยจื่อช่วยหยุนเจิงสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปตักน้ำร้อนมาช่วยหยุนเจิงชำระล้างร่างกายเหมือนกับภรรยาผู้อบอุ่นอ่อนโยนทั่วไประหว่างการชำระล้างร่างกาย ทั้งสองคนก็อิงแอบแนบชิดกันอีกรอบเยี่ยจื่อรู้ว่าหยุนเจิงครั้งนี้ต้องไปนานนางอยากติดตามอยู่ข้างกายหยุนเจิงมาก แต่นางรู้ตัวว่าไม่สามารถติดตามหยุนเจิงได้ประโยชน์ในการอยู่ที่ติ้งเป่ยของนาง มีมากมายกว่าการติดตามหยุนเจิงไปนางเพียงหวังว่าหยุนเจิงกลับมาครั้งหน้า นางจะสามารถเป็นผู้หญิงของเขาได้อย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่คลอดลูกให้เขาหลังอาหารเช้า หยุนเจิงพาทุกคนออกเดินทางฮูหยินเสิ่นและพวกเยี่ยจื่อตามพวกเขา จนกระทั่งส่งพวกหยุนเจิงออกไปนอกประตูทิศเหนือ“องค์ชาย ครั้งนี้ต้องระวัง พวกเราจะรอชัยชนะของพวกเจ้าอยู่ที่ติ้งเป่ย!”ก่อนออกเดินทาง ฮูหยินเสิ่นอดไม่ได้ที่จะกำชับหยุนเจิง“
ฮูหยินเสิ่นขยี้ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นหันไปส่งรอยยิ้มให้กับหลานสาวทีหนึ่ง “ต่อไปห้ามเรียกอาสะใภ้รองว่าอาสะใภ้รองแล้วนะ ต้องเรียกว่าป้าใหญ่แล้ว”“หา?”ใบหน้าอ่อนโยนของเสิ่นเนี่ยนฉือเต็มไปด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดกัน?”“เดี๋ยวเนี่ยนฉือโตแล้วก็จะเข้าใจเอง”ฮูหยินเสิ่นลูบศีรษะของเสี่ยวเนี่ยนฉือเบาๆ“เจ้าค่ะ”เสิ่นเนี่ยนฉือเบะปากเล็กน้อย ทว่ายังคงทำหน้าสงสัยอาสะใภ้รองก็อาสะใภ้รองไม่ใช่หรือ?เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นป้าใหญ่ได้ล่ะ?ฮูหยินเสิ่นเคาะศีรษะของเนี่ยนฉือเบาๆ จากนั้นเดินไปหาเยี่ยจื่อที่น้ำตาไหลจนตาพร่ามัว แสร้งทำเป็นเย็นชาพลางกล่าวว่า “นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลเสิ่นอีกต่อไป! ข้าจะเขียนหนังสือหย่าแทนหลินเอ๋อร์ให้เจ้า!”เยี่ยจื่อตัวสะท้าน จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินเสิ่นเสียงดัง ‘ตุบ’……“บัดนี้ เท่ากับว่าได้เผาเจ้าและพี่สะใภ้เจ้าไว้บนเตาไฟแล้วนะ!”ระหว่างทางไปชายแดนกู้ เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหยุนเจิงด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าตายไม่ออกถึงแม้พวกเขาจะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อแล้ว ซ้ำยังดีใจที่ได้เห็นหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อเป็นเช่นนี้ แต่ทว
ณ เมืองจักรพรรดิฉินลิ่วก่านเร่งม้ากลับไปยังเมืองจักรพรรดิ แล้วเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินทันที“กลับมาก็ดี! มาดื่มกับข้าสักสองสามจอกเร็วเข้า!”จักรพรรดิเหวินโบกมือเรียกฉินลิ่วก่านด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม แล้วสั่งให้มู่ซุ่นและคนอื่นๆ ถอยออกไป“…”ฉินลิ่วก่านเดินไปถึง มองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้ามึนงงก่อนจะโค้งคำนับให้จักรพรรดิเหวิน“พอเถอะๆ”จักรพรรดิเหวินโบกมือ “ที่นี่ไม่มีคนนอกคนไกล ไม่ต้องมากพิธีปานนั้นก็ได้”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินลิ่วก่านนั่งลง แล้วมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ฝ่าบาท พระองค์…ทรงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?ตนคิดว่าเขาจะกระอักเลือดอยู่ในเมืองจักรพรรดิเสียอีก จึงได้เร่งม้ากลับมาโดยเร็วคิดจะมาปลอบใจเขาอีก!แต่ปรากฏว่า เขากลับทำเหมือนไม่เป็นอะไรเสียอย่างนั้น?มิหนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย?“ข้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าดูไม่ออกหรือ?”จักรพรรดิเหวินมองฉินลิ่วก่านทีหนึ่ง “รินสุราเอง จะให้ข้ารินให้หรือไง?”ฉินลิ่วก่านหน้ากระตุกเล็กน้อย ในใจยิ่งสับสนเขาเข้าใจจักรพรรดิเหวินมากจริงๆท่าทีผ่อนคลายไร้กังวลของจักรพรรดิเหวินตอนนี้ไม่เหมือนเสแสร้งออกมา
จักรพรรดิเหวินต้องการใช้หยุนเจิงในการกระตุ้นและควบคุมรัชทายาท!“ให้พวกเขาสู้กันเช่นนี้ต่อไป พระองค์ไม่รำคาญพระทัยหรือ?”ฉินลิ่วก่านมองจักรพรรดิเหวินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ”จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปเถอะ ข้าจะถือซะว่าดูสุนัขสองตัวสู้กันแล้วกัน!”“…”ใบหน้าของฉินลิ่วก่านกระตุก แล้วมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกเขามองบุตรชายทั้งสองคนเป็นสุนัขที่กัดกันจริงๆ นั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินไม่แยแส แล้วดื่มสุราขึ้นอย่างเฉยเมย “สิ่งที่ข้าต้องทำในตอนนี้คือสร้างสถานการณ์ให้สุนัขสองตัวนี้สู้กันเอง อย่าออกไปกัดคนอื่นมั่วซั่ว แล้วไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์…”“…”ฉินลิ่วก่านไม่รู้จะพูดอะไรดีเขาเข้าใจพระประสงค์ของจักรพรรดิเหวินจักรพรรดิเหวินต้องการจะสร้างกฎให้กับเจ้าหกและรัชทายาทพวกเขาจะสู้กันอย่างไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์จักรพรรดิเหวินยิ้ม แล้วยกสุราขึ้นจิบมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกฉินลิ่วก่านตนไม่อยากสนใจเจ้าหกไอ้ลูกไม่รักดีนั่นอีกแล้ว!ดังนั้นให้เจ้าสามกับพรรคพวกของเขาไปต่อกรกับเจ้าหกแล้วกัน!เช่นน
วันต่อมา หยุนเจิงและคนอื่นมาถึงโขดเป่ยหยวนสภาพอากาศของซั่วเป่ยค่อยๆ อุ่นขึ้นชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยเองก็ละลายไปไม่น้อย บัดนี้ไม่สามารถขี่ม้าข้ามแม่น้ำได้แล้วอีกประมาณยี่สิบวัน แม่น้ำไป๋สุ่ยก็น่าจะละลายหมดแล้วด้วยคำสั่งของหยุนเจิง สะพานหินจำลองที่ข้ามผ่านไปฝั่งตรงข้ามก็เริ่มก่อสร้างขึ้นแล้วเช่นกันความจริง ก่อนที่จะสูญเสียเมืองสามชายแดนไป ที่นี่เป็นสะพานหินที่ทอดยาวราวสองร้อยจั้ง กว้างสองจั้งอยู่หนึ่งแห่งสะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยจักรพรรดิองค์ก่อนตอนนั้น เพื่อสร้างสะพานหินแห่งนี้ ต้องใช้ทหารชาวนากว่าหลายหมื่นนาย ใช้เวลาไปทั้งหมดสามปีเต็มถึงจะสร้างเสร็จแต่หลังจากที่เสียเมืองสามชายแดนให้กับเป่ยหวนไป จักรพรรดิเหวินก็สั่งให้คนทำลายสะพานหินทิ้งทว่าจักรพรรดิเหวินก็ยังมีใจคิดอยากสู้กลับไปสักวัน ดังนั้นจึงสั่งให้ทำลายพื้นผิวของสะพานเท่านั้น แล้วเหลือตอม่อสะพานเอาไว้เป่ยหวนเองก็คิดว่าจะโจมตีซั่วเป่ยสักวัน เพื่อจะได้ขนส่งเสบียงและสัมภาระได้สะดวกจึงไม่ได้ทำลายตอม่อสะพานด้วยเช่นกันเพราะเช่นนั้น การจะสร้างสะพานขึ้นใหม่บนตอม่อสะพานที่มีอยู่เดิมแล้วจึงได้ง่ายขึ้นอย่างมากหากต
ตอนนี้ เขาต้องทราบเสียก่อนว่าคนพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ค่อยตัดสินใจดำเนินแผนการต่อไปหากเจียเหยาฝ่าฝืนกฎระหว่างพวกเขา เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาเหี้ยมโหดแล้วกัน!การกวาดล้างครัวเรือนต่างๆ ใช่ว่าเขาจะไม่กล้าทำ!“ขอรับ!”ตู๋กูเช่อรับคำ แล้วรีบปฏิบัติตามคำสั่งของหยุนเจิงทันที“จริงสิ พวกเจ้าได้ข่าวสถานการณ์ภายในเป่ยหวนบ้างหรือไม่?”ขณะนั้นเอง หยุนเจิงก็ถามขึ้นอีกครั้งเรื่องนี้สำคัญมากหากเป่ยหวนเกิดโกลากลกันภายใน เช่นนั้นก็จะเป็นผลดีต่อพวกเขามาก!“ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็มีบ้างจริงๆ ขอรับ”ตู๋กูเช่อตอบ “ก่อนหน้านี้เราจับตัวทหารสอดแนมของเป่ยหวนมาได้หนึ่งนาย แล้วได้ทราบเรื่องจากเขาโดยบังเอิญว่า อาหลู่ไถจั่วเสียนอ๋องแห่งเป่ยหวนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อครั้นฝ่าวงล้อมที่ชายแดนกู้ครั้งก่อน ทนได้เดือนกว่าก็ตายอย่างสิ้นหวังแล้ว! แล้วก็ดูเหมือนว่าปานปู้จะตายแล้วด้วย…”“ปานปู้ตายแล้ว?”หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึงงันพร้อมกันอาหลู่ไถตายเพราะบาดเจ็บสาหัสก็พอเข้าใจได้แต่ปานปู้ตายได้อย่างไรกัน?พวกเขาไม่ได้สู้ซึ่งหน้ากับปานปู้และเจียเหยาด้วยซ้ำ!“ไม่แน่ใจเหมือนกันขอรับ”ตู๋กูเช่อส่ายศ
สองวันถัดมา หยุนเจิงและฉินชีหู่ได้นำทัพทหารม้าสามพันนายเคลื่อนส่งเชลยศึกเป่ยหวนสามสิบคนไปยังทะเลสาบไป๋หลางทะเลสายไป๋หลางไม่ใหญ่มากนัก พื้นผิวน้ำในช่วงฤดูฝนก็มีเพียงยี่สิบไร่เท่านั้นช่วงนี้ พื้นผิวน้ำของทะเลสาบไป๋หลางอย่างมากก็มีไม่ถึงสิบไร่ถึงจะเป็นทะเลสาบ แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงสระที่ขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้นทะเลสายไป๋หลางห่างจากชายแดนกู้ราวหกสิบลี้ เป็นสถานที่นัดหมายระหว่างหยุนเจิงกับเจียเหยาในการแลกเปลี่ยนคนกล่าวตามตรง เพียงแค่แลกเปลี่ยนคนเท่านี้ถึงกับต้องใช้ทหารม้าสามพันนาย ถือว่าสิ้นเปลืองอยู่บ้างแต่ทว่า เจียเหยาเองก็เป็นคนมากกลยุทธ์เช่นกัน หยุนเจิงจึงต้องป้องกันเอาไว้ระหว่างทาง หยุนเจิงและฉินชีหู่ก็ส่งคนไปสอดส่องทั่วทุกที่อย่างไม่ขาดสาย เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารม้าเป่ยหวนล้อมรอบพวกเขาเพราะหิมะที่ค่อยๆ ละลาย ทำให้ต้นหญ้าค่อยๆ เจริญขึ้นเส้นทางที่เดินผ่าน สามารถเห็นต้นอ่อนเขียวขจีงอกขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อถึงกลางฤดูร้อน ผืนหญ้าแห่งนี้ต้องสวยงามมากแน่ๆ!ขณะที่ใกล้ถึงทะเลสาบไป๋หลางแล้ว ทหารสอดแนมก็มารายงานว่า พวกเขาพบปะกับทหารสอดแนมของเป่ยหวนแล้วแต่ทว่าทั้งสองฝ่ายเพียงแ