ยังดีที่ด้านหลังพวกเขายังมีทัพทหารราบสามหมื่นนาย ด้านหลังทหารราบสามหมื่นนายก็ยังมีทัพใหญ่สามหมื่นกว่านาย!กองทัพแปดหมื่นคนรอบถูกเมืองซัวฟางกินกำลังหลักไป นางไม่เชื่อจะโจมตีไม่ได้!เจียเหยาไม่ลังเลสักนิด ออกคำสั่งโจมตีเต็มกำลังอีกครั้งอีกด้านหนึ่ง อวี๋ซื่อจงนำกำลังล่าถอยไปสี่สิบลี้ ในที่สุดก็กลับถึงสถานที่ตั้งค่ายพักแรมก่อนหน้านี้ของพวกเขาที่ไกลไกล ทหารที่ได้รับคำสั่งพุ่งเข้ามา“อวี๋กั๋วกงมีคำสั่ง ทหารม้าของท่าน ล่าถอยไปยังป่าทางตอนใต้ทันที!”อวี๋ซื่อจงรับคำสั่ง พาคนล่าถอยไปยังป่าไม้ทางนั้นทันทีต่อให้ไม่มีสั่งนี้ เขาเองก็ไม่โง่เขามุ่งไปข้างหน้าหรอก!ด้านหน้ามีหลุมม้าอยู่สามเส้นทาง!พุ่งเข้าไป พวกเขาสามพันคน เกรงว่าคงต้องเสียหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว!อวี๋ซื่อจงนำกองกำลังล่าถอยกลับไปยังป่า พวกหยุนเจิงล้อมไว้ทันที“เหตุการณ์เป็นเช่นไร?”เซียวว่านโฉวไถ่ถามด้วยความกระวนกระวายอวี๋ซื่อจงกระหืดกระหอบ “ด้านหลังมีกองทหารม้าเป่ยหวนกองใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่าหมื่นคน!”“ดีมาก! พวกเขาบุกมาจริงด้วย!”เซียวว่านโฉวดีใจ ถามอีกครั้ง “ทัพศัตรูจัดขบวนแบบใด?”อวี๋ซื่อจงส่ายหน้า “ไม่มีรูปแบบขบว
มองไป ทหารม้าเป่ยหวนยาวไม่เห็นหางเจียเหยาอยู่ภายใต้การคุ้มกันของเหล่าองครักษ์ แทบอยากจะพุ่งไปข้างหน้าสุดด้านหน้าของทหารม้าต้าเฉียนมองไม่เห็นเงาแล้วบนหิมะ เหลือไว้เพียงรอยเท้าม้าศึกขนาดใหญ่สองเส้นทางรอยเท้ามุ่งตรงไปยังฝั่งด้านหน้าทางซ้ายของกองทัพใหญ่ ดูจากที่ไกลๆ ยังคงเห็นยอดไม้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ มองไปแล้ว ทางนั้นคงมีป่าอยู่แห่งหนึ่งรอยเท้าม้าอีกรอย ยืดยาวไปข้างหน้าแบ่งกันหนี หรือจงใจสร้างค่ายกลลวง?ไม่นาน ในใจเจียเหยามีความกังวลน่าจะเป็นค่ายกลลวง!หากพวกเขาแบ่งทหารไล่ตามไปในป่า เกรงว่าคนถูกทหารม้าต้าเฉียนที่หนีเข้าป่าซุ่มโจมตีทหารม้าเหล่านั้นคิดจะให้พวกเขาแบ่งทหารไล่ตามไป เพื่อลดความกดดันให้กองทหารหลักซั่วฟางที่อยู่ด้านหลัง!ความคิดไม่เลวเลย!น่าเสียดาย นางไม่มีทางติดกับ!เจียเหยาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งให้กองทัพบุกไปข้างหน้าสามารถทำลายล้างทหารม้านับพันนั้นได้หรือไม่นั้น ไม่สำคัญเป้าหมายของพวกเขาคือกองกำลังหลักของทัพซั่วฟาง!ขอแค่ทำลายล้างกองกำลังหลักของทัพซั่วฟางได้ ต่อให้ปล่อยทหารม้านับพันเหล่านั้นไปแล้วจะเป็นเช่นไร?ด้วยคำสั่งของเจียเหยา กองทหารม้าเป่ยหว
องครักษ์ปัดป้องลูกธนูไปได้ไม่กี่ดอก ก็ถูกธนูสองดอกยิ่งใส่เมื่อเห็นองครักษ์ถูกยิง เจียเหยาบังคับให้ตัวเองสงบลง ดึงองครักษ์ที่ถูกยิงลากเขาไปในกับดักหลุมม้า ใช้มือปลดแส้ยาวที่ถูกไว้ที่เอวออกแส้ในมือเจียเหยาโบกสะบัด พันรัดคันธนูที่ตกอยู่ไม่ไกลอาศัพแรงจากแซ่ดึงคันธนูกลับมาในชั่วพริบตา เจียเหยาดึงลูกธนูสองลูกที่ปักอยู่บนหิมะออกมา โค้งงอคันธนูและวางลูกธนูทาบลงไปอย่างรวดเร็วฉวยโอกาสจากช่วงเวลาที่ฝนธนูขาดช่วง เจียเหยาผุดลุกขึ่นยืน ปล่อยคันธนูยิงลูกธนูออกไป“ฟิ้ว!”ลูกธนูสองดอกแผดเสียงกลางอากาศ พุ่งเข้าหาทหารม้าต้าเฉียนสองคนที่ถูกแถวด้านหน้าอย่างรวดเร็ว“ฉัวะ...”ลูกธนูพุ่งทะลุร่างทหารม้าต้าเฉียนสองคนทหารม้าต้าเฉียนสองคนร่างกายขดเกร็ง จากนั้นก็ร่วงหล่นจากหลังม้าช่วงเวลาที่ตอนที่เจียเหยาร่วงลงพื้น มือหยินลูกธนูขึ้นมาอีกสามดอก จากนั้นทะยานสู่ท้องฟ้าอีกครั้งลูกธนูสามดอกทะลวงไปกลางอากาศ พุ่งไปทางทหารสามคนระหว่างนั้น สองคนโดนธนูยิง คนหนึ่งรอดพ้นความตายได้อย่างหวุดหวิดโอ้โห!อย่างนี้ก็ได้หรือ?การแสดงที่ยอดเยี่ยมของเจียเหยาดึงดูดความสนใจหยุนเจิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน“กำจัดคนผ
ไม่นาน สถิติการรบก็ออกมาแล้วม้าศึกของพวกเขาเสียหายสามพันกว่าตัว เสียชีวิตพันกว่าคน บาดเจ็บสาหัสห้าร้อยกว่าคนทางด้านต้าเฉียน เสียหายเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นจำนวนเกือบครึ่งล้วนเป็นคนที่ถูกเจียเหยายิงธนูสังหารเมื่อรายงานจากลูกน้อง เจียเหยาขบฟันจนได้เสียงกระทบกันบาดเจ็บล้มตายพันกว่าคน ไม่นับว่าเป็นความเสียหายใหญ่ อยู่ในขอบเขตที่นางยอมรับได้แต่เทียบกับความเสียหายของต้าเฉียนแล้ว พวกเขานับว่าเสียหายอย่างอนาถแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แผนจู่โจมซั่วฟางกะทันให้ที่นางวางแผนอย่างรอบครอบนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!การรบก่อนหน้านี้พวกเขาตายไปสามหมื่นกว่าคน ยังสามารถฆ่าม้าศึกไปมากมาย!เทียบกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ การสูญเสียของพวกเขาหนักมาก!ช่วงเวลาฉับพลันนั้น เจียเหยารู้สึกเหมือนยกหินทุบเท้าตัวเองแล้ว“องค์หญิง ด้านหลังของพวกเรายังมีทัพใหญ่หกหมื่นคน! พวกเรายังสามารถบุกซั่วฟางได้!”เปาตี้ฮูหลัวตำแหน่งจั่วเสียนอ๋องมาตรงหน้าเจียเหยา กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“พวกเราจะเอาสิ่งใดไปบุกโจมตี?”เจียเหยาตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชา “แผนการของพวกเราถูกมองออกแล้ว! ทัพศัตรูรอซ้ำยามเปลี้ย กำลังรอให้พวกเราไปโ
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ การยอมแพ้การบุกโจมตีเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้วหลังจากก่นด่าหยุนเจิงสารเลวจอมเจ้าเล่ห์แล้ว ปานปู้ก็กล่าวต่อ “องค์หญิง พวกเราต้องส่งคนไปยึดหุบผาชันช่องลมหรือไม่ ป้องกัน...”“ไม่ต้อง!”เจียเหยาส่ายหน้า “พวกเรามาจากทางด้านหลัง หุบผาชันช่องลมไม่มีภัยต้องเฝ้าระวัง! หยุนเจิงไม่มีทางไม่รู้ ต่อให้เขาส่งกองทัพใหญ่ห้าหมื่นึนเฝ้าประจำการที่หุบผาชันช่องลม เจาก็ขวางพวกเราไม่อยู่! หยุนเจิงไม่มีทางเผชิญหน้าปะทะกับพวกเรา เขาไม่มีทางส่งทหารเฝ้าประจำการที่หุบผาชันช่องลม!”ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการยึดหุบผาชันช่องผม ก็เพื่อเปิดเส้นทางให้กองทัพใหญ่ที่อยู่ด้านหลังแต่ตอนนี้ กองทัพใหญ่ของพวกเขาได้เข้าสู่เขตพื้นที่ต้าเฉียนแล้ว พวกเขาโจมตีจากด้านหลัง กองทัพประจำการของหุบผาชันช่องลมไม่มีความได้เปรียบใดหากหยุนเจิงโง่เขลาส่งทหารไปรักษาการณ์ที่หุบผาชันช่องลมจริง เช่นนั้นนางก็ดีใจแล้วอีกทั้ง พวกเขายังต้องป้องกันกองทหารชั้นยอดของเว่ยเหวินจงที่อยู่ด้านหลังเวลานี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องแบ่งกองกำลังทหารแล้วรวมกองทัพเข้าด้วยกันก่อนค่อยเคลื่อนไหว หากเว่ยเหวินจงกล้าที่จะมาข่มขู่ พวกเขาก็กล้
กลับถึงซั่วฟาง ความเสียหายของพวกเขาหยุนเจิงทางนี้ก็รีบทำสถิติออกมาเช่นกันเมื่อรู้ว่าพวกเขาถูกสังหารในสนามรบสิบกว่าคน เซียวว่านโฉวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาแม้เขาเองจะไม่รู้ว่าเป่ยหวนเสียหายเท่าใด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด ความเสียหายของกองทัพใหญ่เป่ยหวนต้องมากกว่าพวกเขาสิบเท่า!ทว่า หยุนเจิงกลับหัวเราะไม่ออกสูญเสียสิบกว่าคน ความจริงแล้วสามารถนับว่าไม่เสียหายต่อให้เขามีนิสัยรักและถนุถนอมทหารเองก็รู้ สงครามไม่มีทางไม่มีคนตายบาดเจ็บล้มตายเป็นศูนย์เรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนคัดลอกแล้ววางเขาสามารถยอมรับผลการรยครั้งนี้ได้ แต่ในใจเขาก็ยังหงุดหงิด!จนถึงตอนนี้ ในสมองของเขาล้วนนึกถึงภาพการยิงธนูสามดอกในครั้งเดียวนั่นพวกเขาสูญเสียสิบกว่าคน แทบจะกล่าวได้ว่าครึ่งหนึ่งถูกสังหารด้วยน้ำมือคนผู้นั้นอยู่ห่างกันตั้งไกล เขาเองก็มองหน้าตาคนผู้นั้นไม่ชัดแต่สามารถตัดสินได้คร่าวๆ จากเสื้อผ้าและรูปร่าง ผู้นั้นเป็นผู้หญิงเมื่อนึกถึงทักษะการยิงธนูที่น่ากลัวของผู้หญิงคนนั้น ในใจหยุนเจิงหงุดหงิดถึงที่สุด“องค์ชาย พวกเราชนะรบแล้ว เหตุใดท่านดูเหมือนไม่ดีใจเลยสักนิด?”ในที่สุดโ
แต่เขาไม่รู้จักเหล่าลูกน้องของหยุนเจิง ควรส่งใครไป มีเพียงหยุนเจิงที่รู้“คนข้าเตรียมไว้แล้ว!”หยุนเจิงกล่าว เรียกสองคนที่ข้าจัดเตรียมไว้มาเมื่อเห็นสองคนนี้ เซียวว่านโฉวรู้ได้เลยว่าแผนการครั้งนี้สำเร็จไปครึ่งนึงแล้วสองคนนี้สวมเสื้อผ้าของทหารชาวเป่ยหวน มองไปแล้วเหมือนชาวเป่ยหวนไม่มีผิดเพี้ยน“พวกเขาสองคนนี้เลย!”เซียวว่านโฉวมองสองคนนี้ด้วยความพอใจ จากนั้นก็เริ่มกำชับเรื่องที่ต้องระวังให้กับทั้งสองคน หลังกำชับเสร็จจึงกล่าวว่า “หากพวกเจ้ามีชีวิตกลับมา ข้าต้องขอรางวัลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทแทนพวกเจ้า! หากพวกเจ้าตาย ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือองค์ชาย จะดูแลครอบครัวพวกเขาให้อยู่สุขสบายไร้กังวล!”“ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณอวี๋กั๋วกง!”ทั้งสองก้มโค้งกล่าวขอบคุณ“ไม่ ควรเป็นพวกข้าขอบคุณพวกเจ้าสองคน!”เซียวว่านโฉวส่ายหน้าเบาๆ ไม่สนใจฐานะของตนเอง คาราวะให้ทั้งสองคนอย่างจริงใจหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็พากันคาราวะทั้งสองคน“ไม่ได้ ไม่ได้...”ทั้งสองคนหวาดหวั่นยำเกรง รีบโบกมือทว่า พวกหยุนเจิงยังคงคาราวะทั้งสองคนด้วยความจริงใจสองคนนี้ไปครั้งนี้ อาจไม่ได้กลับมาทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นชายชาตร
สามวันผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวกองทัพใหญ่แปดหมื่นของเป่ยหวนมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้วด้านหลังของพวกเขา ยังมีกองทัพเจ็ดหมื่นคนทว่า ด้วยคำสั่งที่เคร่งคัดของเว่ยเหวินจง กองทัพเจ็ดหมื่นไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มจู่โจม เพียงต้องรักษาระยะห่างสี่สิบลี้จากพวกเขา ทันทีที่พวกเขาบุกโจมตีซั่วฟาง กองทัพใหญ่เจ็ดหมื่นก็เข้ามาร่วมโจมตีด้วยแต่เว่ยเหวินจงจัดเตรียมเช่นนี้ กลับทำให้คนมากมายไม่พอใจฉินชีหู่ที่หลุดพ้นจากเมืองสุยหนิงนั้นโวยวายรุนแรงที่สุดฉินชีหู่มาหาเว่ยเหวินจงเพื่อขอทำสงครามอีกครั้งก่อนหน้านี้ เขาไปหาเว่ยเหวินจงสองครั้งเพื่อขอทำสงครามทว่า เว่ยเหวินจงยังคงสั่งอย่างแด็ดขาดห้ามฉินชีหู่เป็นฝ่ายบุกเหตุผลของเว่ยเหวินจงครบถ้วนสมบูรณ์ตอนนี้ การติดต่อของพวกเขากับซั่วฟางตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงพวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ของซั่วฟางเป็นเช่นไรสิ่งที่เว่ยเหวินจงกลัวที่สุดคือซั่วฟางถูกยึดไปแล้ว ทันทีที่กองทัพพวกเขากดดัน กองทัพเป่ยหวนก็จะหันกลับมาโจมตีพวกเขาจำนวนคนกองทัพเป่ยหวนไม่น้อยไปกว่าของพวกเขาหากต่อสู้กันในป่า เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะถูกกองทัพเป่ยหวนจัดการถึงเวลานั้น กองทัพเป่ยหวนโจม
ข้าไม่กล้ามอบต้าเฉียนให้กับเจ้า และไม่อาจให้เจ้าด้วย! ด้านนอกห้องหยุนลี่แสดงความกังวลอย่างหนัก ถามไถ่หมอหลวงถึงอาการของจักรพรรดิเหวิน หมอหลวงสีหน้าลำบาก ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง "ฝ่าบาทชีพจรผิดปกติ มีไฟในหัวใจล้นหลาม กระหม่อมวินิจฉัยโรคของฝ่าบาทไม่ได้ และไม่กล้าจ่ายยาโดยสะเปะสะปะ..." หยุนลี่โกรธจัด แววตาเย็นชาเปล่งประกาย "เจ้าเป็นหมอหลวงประเภทไหนกัน? ถึงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยเป็นโรคอะไร?" "กระหม่อมไร้ความสามารถ..." เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหมอหลวง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง หยุนลี่ยิ่งโมโหจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งเป็นองค์รัชทายาท เขาหวังเพียงให้จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็วเพื่อเขาจะได้ครองราชย์โดยราบรื่น แต่ตอนนี้ เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินยังมีชีวิตอยู่! เพราะตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังอยู่ หยุนเจิงก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย! "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องรักษาเสด็จพ่อให้หาย!" หยุนลี่พยายามควบคุมสติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมมองไปที่หมอหลวง "หากรักษาเสด็จพ่อไม่ได้ เจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!"
เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนลี่ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ น้ำตาในดวงตาของเขาเอ่อล้นจนกลั้นไม่อยู่ ครั้งนี้ หยุนลี่ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจักรพรรดิเหวินจะช่วยรับเรื่องนี้แทนเขา เขารู้ว่าจักรพรรดิเหวินพูดความจริง ถ้าขุนนางอาวุโสในราชสำนักพร้อมใจกันต่อต้าน เขาก็แทบไม่มีทางรับมือได้ อย่างเช่นฉินลิ่วก่าน ขุนนางแก่ผู้นี้ต้องกล้าด่าเขาต่อหน้าที่ประชุมแน่ๆ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ขุนนางแก่นี่อาจกล้าลงไม้ลงมือกับเขาด้วยซ้ำ ยังมีเซวียเช่อ เซียวว่านโฉว ถังซู่ ซ่งปี้เซียน และคนอื่นๆ... ขุนนางอาวุโสเหล่านี้ ไม่มีใครที่รับมือได้ง่ายๆ "ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากพระทัยเพราะลูก..." หยุนลี่คุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า จักรพรรดิเหวินตบมือบนมือของหยุนลี่อย่างอ่อนแรง "นี่ก็โทษข้าด้วย ถ้าข้าห้ามเจ้าตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่บานปลายแบบนี้" "เสด็จพ่อ..." หยุนลี่รู้สึกจุกแน่นในลำคอ น้ำตาไหลไม่หยุด "เก็บน้ำตาของเจ้าไว้! จำไว้ว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาท!" จักรพรรดิเหวินเพิ่มเสียงเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบาๆ "จริงๆ ข้าคิดดูแล้ว การให้ฟู่โจวกับเจ้าต
"อืม ข้ารู้แล้ว" หยุนลี่โบกมือเบาๆ ให้ขันทีออกไป ดูเหมือนว่าเจ้าหกตัวแสบได้พูดคุยเรื่องต้องการฟู่โจวกับเสด็จพ่อที่ริมทะเลสาบชิงซานแล้ว เจ้าสุนัขตัวแสบนี้! ยื่นกรงเล็บมาที่ฟู่โจวจนได้! งานนี้ยุ่งยากจริงๆ แล้ว หยุนลี่รู้สึกทั้งโกรธและกังวลในใจ ทันใดนั้น เขาก็เริ่มอิจฉาพี่รองและพี่สี่ขึ้นมา ตั้งแต่เขามีสถานะมั่นคงขึ้น พี่รอง พี่สี่ และพี่ห้าก็มีบทบาทในราชสำนักลดน้อยลง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสามคนใช้ชีวิตได้สบายกว่าเขามาก ทั้งสามคนใช้ชีวิตเสเพลได้เต็มที่ แต่เขาทำไม่ได้ กลับไปที่ราชสำนัก ยังต้องชี้แจงเรื่องแต่งตั้งเจ้าหกเป็นผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจวให้ขุนนางทั้งหลายเข้าใจ หากขุนนางในราชสำนักรู้ว่าเรื่องนี้เกิดจากเขาส่งทหารไปจัดการเจ้าหก เหล่าขุนนางอาวุโสคงรวมตัวกันกราบทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษเขาอย่างหนัก หรือแม้กระทั่ง...ปลดองค์รัชทายาท! เขาไม่ได้กังวลว่าจะถูกปลด แต่กลับไปที่ราชสำนักคงเจอปัญหาอีกมากมาย หยุนลี่กลับมาที่จวนของตัวเอง พยายามระงับอารมณ์และคิดหาทางออก ไม่นาน มู่ซุ่นก็ส่งคนมาแจ้ง "กราบทูลองค์รัชทายาท ฝ่าบาทประชวรหนัก ขอให้องค์รัชทายาทเสด็จด่วน..." ขันท
หลังจากทิ้งปัญหาไว้ให้หยุนลี่จัดการ จักรพรรดิเหวินก็พาผู้คนออกไปทันที ดูเหมือนจะไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหกผู้เอาแต่รุกไล่บีบคั้นนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว แม้หยุนลี่จะจำใจ แต่ก็ยังพยายามต่อรองกับหยุนเจิง ทว่า หยุนเจิงจับจุดอ่อนของหยุนลี่ไว้ได้ จึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ในที่สุด หยุนลี่ก็ต้องจำใจยอม หลังจากนี้ ยังต้องทำสัญญาอย่างเป็นทางการ "เจ้าสาม ครั้งนี้ข้าให้เกียรติเสด็จพ่อ ยกชีวิตเจ้าไว้ก่อน!" หลังจากตกลงกันได้ หยุนเจิงมองหยุนลี่ด้วยสายตาเย็นชา พลางเตือน "เจ้าควรภาวนาให้เสด็จพ่ออายุยืนยาว!" ยังคงต้องกดดันเจ้าสามอีกหน่อย กันไว้เพื่อไม่ให้เจ้าสามดิ้นสู้จนสุดตัว เมื่อเผชิญคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ก็รู้สึกเกลียดชังอย่างถึงที่สุด ในสถานการณ์ที่เขาเสียเปรียบตอนนี้ มีเพียงอดทนเท่านั้น พอกลับถึงเมืองหลวงเมื่อไร เขาจะหาทางจัดการกับเจ้าสุนัขตัวนี้ให้ได้! ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าจะคืนให้เป็นสองเท่า! หยุนลี่คิดในใจอย่างเหี้ยมโหด หลังจากพยายามสูดหายใจลึกๆ หยุนลี่กัดฟันพูด "เจ้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ควรปล่อยพวกเฉียวเหยียนเซียนได้หรือยัง?" หยุนเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ "พวกเขาถู
จักรพรรดิเหวินจ้องเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบ "อะไร? เจ้ากลัวว่าข้าจะผิดคำพูด แล้วพาพี่สามของเจ้าหนีไปหรือ?" "เสด็จพ่อ ทรงล้อเล่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" หยุนเจิงส่ายหน้า "ลูกกลัวว่าจ้าวจี๋จะสมคบกับทหารรักษาเมืองก่อความวุ่นวาย! อย่างไรเสีย จ้าวจี๋เคยนำทัพใหญ่นับแสนมาอยู่ที่นี่..." "หุบปาก!" จักรพรรดิเหวินหยิบป้ายทองคำคำออกมาแล้วขว้างให้หยุนเจิง "เจ้าช่างเป็นลูกที่ดีของข้าเสียจริง!" "ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงเก็บป้ายทองคำคำขึ้นมา ทำเป็นเมินสายตาของจักรพรรดิเหวิน "ยังไม่ไปอีกหรือ?!" จักรพรรดิเหวินตวาดด้วยความโกรธ ราวกับไม่อยากมองหยุนเจิงอีก "เสด็จพ่อ ลูกยังมีเรื่องอีกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงยิ้ม "ลูกเพิ่งตกลงการซื้อขายกับพี่สาม เขายังต้องการถามความเห็นเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" "ซื้อขาย?" สายตาของจักรพรรดิเหวินหันไปจ้องหยุนลี่อีกครั้ง พร้อมแฝงคำถาม หยุนลี่ที่เสียศูนย์ไปแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันบอกเรื่องการตกลงระหว่างเขาและหยุนเจิง "พี่สาม แล้วม้าศึกของทหารรักษาการของเจ้าล่ะ!" พอหยุนลี่พูดจบ หยุนเจิงก็เสริมทันที หยุนลี่เต็มไปด้วยความแค้นใจ แต่จำต้องพยักหน้า
ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบเหมือนตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เขาไม่สงสัยเลยว่า หยุนเจิงสามารถทำเรื่องนี้ได้จริงๆ หยุนลี่เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือไปยังจักรพรรดิเหวิน "เจ้า..." จักรพรรดิเหวินโกรธคำพูดของหยุนเจิงจนตัวสั่น หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง น้ำเสียงจึงอ่อนลง "เจ้าหก เห็นแก่หน้าของข้า เรื่องนี้ให้จบแค่นี้เถอะ!" "เสด็จพ่อ พี่สามก็อยากเอาชีวิตลูกไปแล้ว!" หยุนเจิงกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและคำรามต่ำ "วันนี้ ถ้าเสด็จพ่อไม่ให้คำตอบกับลูก ลูกก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น! ลูกเคารพเสด็จพ่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ดี แต่ลูกไม่กลัวที่จะถูกประณามว่าฆ่าพี่ชาย!" เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของหยุนเจิง หยุนลี่ก็ยิ่งหวาดกลัว ส่งสายตาอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตไปยังจักรพรรดิเหวิน จักรพรรดิเหวินโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ลูกทรพีคนนี้! แค่เพราะฟู่โจว จำเป็นต้องทำให้เรื่องยุ่งยากขนาดนี้หรือ? ตอนนี้ทำให้เรื่องวุ่นวายขนาดนี้ แล้วตนจะไปซั่วเป่ยได้อย่างไร? ต้องถามเจ้าลูกคนนี้เสียหน่อยว่า คิดเหตุผลสำหรับเรื่องที่ตนจะไปซั่วเป่ยแล้วห
แน่นอนว่าเขารู้ดี จักรพรรดิเหวินต้องการให้เขารับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากรับผิดชอบ! ถ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ เจ้าหกตัวแสบยิ่งได้โอกาสใช้เรื่องนี้เล่นงานเขา! แต่ถ้าไม่รับผิดชอบ กองทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นของจ้าวจี๋ก็ต้องหมดไป แถมเขายังซวยไปด้วย ไม่ว่าจะรับผิดชอบหรือไม่ เขาก็ต้องซวยอยู่ดี! ลังเลอยู่นาน หยุนลี่จึงพูดตะกุกตะกักออกมา "ข้า...ข้าเป็นคนสั่งให้จ้าวจี๋นำทัพมาเอง..." ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับผิด! ดีที่เสด็จพ่อรู้อยู่แล้ว แถมยังเห็นด้วย ตอนนี้เพียงแค่ให้คำอธิบายหยุนเจิงก็พอ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเสด็จพ่อลงโทษภายหลัง "เจ้ากล้าดีมาก!" จักรพรรดิเหวินโกรธจนทนไม่ไหว "พูดมา เจ้าไปสั่งการกองทัพของจ้าวจี๋ได้อย่างไร? เจ้าไปสมคบกับจ้าวจี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่?" "ไม่...ไม่ใช่..." หยุนลี่รีบโบกมือพร้อมก้มหน้าตอบ "ลูกไม่ได้สมคบกับจ้าวจี๋ ลูก...ลูกแค่บังเอิญเก็บตราทองของเสด็จพ่อได้เมื่อหลายวันก่อน..." "เก็บได้?" สายตาของหยุนเจิงเย็นเยียบ "พี่สาม เจ้าคิดว่าน้องเป็นคนโง่หรือไง? ตราทองของเสด็จพ่อ เจ้าก็เก็บได้?" พูดจบ หยุนเจิงก็หันไปมองจักรพรรดิเหวินด้วยความโกรธ "
"ฝ่าบาท ด้านหน้ามีสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนคนขององค์ชายหกจะล้อมเวรยามขององค์รัชทายาทไว้!" จักรพรรดิเหวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ในขบวนรถม้า เมื่อโจวไต้เข้ามารายงานใกล้ๆ "อะไรนะ?" จักรพรรดิเหวินเปิดผ้าม่านรถม้าออกทันทีเพื่อมองออกไป เพียงแค่มองแวบเดียว จักรพรรดิเหวินก็เดือดดาล ไอ้ลูกทรพีทั้งสองนี่!พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?ตนยังไม่ตายเลยนะ!พวกเขาถึงกับเอาอาวุธมาเผชิญหน้ากันแล้ว?เจ้าหก ลูกทรพีคนนี้ มันลืมคำตักเตือนของตนแล้วหรือ? จักรพรรดิเหวินโกรธจัด รีบสั่งโจวไต้ "ไป จงแยกพวกเขาออกจากกัน หากใครขัดขืน สังหารทันที!" ครั้งนี้จักรพรรดิเหวินโกรธจริงๆ เจ้าลูกทรพีทั้งสองนี้ ไม่มีใครคิดจะรักษาหน้าตาของราชวงศ์บ้างเลยหรือ?ในความเดือดดาล จักรพรรดิเหวินตะโกนสั่งมู่ซุ่น "บอกให้ลูกทรพีทั้งสองคนของข้ามาพบข้าทันที!" พูดจบ จักรพรรดิเหวินก้าวลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ไม่นาน หยุนเจิงและหยุนลี่ก็มายืนต่อหน้าจักรพรรดิเหวิน "ลูกขอคารวะเสด็จพ่อ" ทั้งสองคนคำนับพร้อมกัน "เสด็จพ่อ?" จักรพรรดิเหวินดั่งสิงโตที่เดือดดาล ตะโกนว่า "ในสายตาของพวกเจ้ามีข้าเป็นเสด็จพ่ออยู่บ้างไหม?" "เส
"ต่อให้ข้ายอมตกลง เสด็จพ่อจะยอมด้วยหรือ?" "ตราบใดที่เสด็จพ่อไม่อนุญาต ใครจะกล้าส่งข้าวห้าล้านตันให้เจ้า?" "ถ้าเจ้าต้องการข้าวนัก ก็ไปพบเสด็จพ่อพร้อมกับข้า!" "ตราบใดที่เสด็จพ่ออนุญาต ข้าก็ไม่มีอะไรจะค้าน!" ตอนนี้ มีแต่ต้องไปหาเสด็จพ่อเท่านั้น ไอ้สุนัขตัวนี้ ต่อให้หน้าด้านแค่ไหนก็คงต้องไว้หน้าเสด็จพ่อบ้างกระมัง? "เจ้าสาม เจ้าช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเอาเสียเลย" หยุนเจิงยิ้ม "แบบนี้แล้วกัน เจ้าส่งม้าศึกของทหารรักษาพระองค์พวกนี้ให้ข้า ข้าจะบอกเจ้าวิธีที่ทำให้เสด็จพ่อกับขุนนางในราชสำนักยอมให้ข้าวห้าล้านตันแก่เจ้าแน่นอน!" ม้าศึก? ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่แทบจะกระโดดขึ้นมาชี้หน้าด่าเขา เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่! เอาข้าวห้าล้านตันยังไม่พอ ยังคิดจะเอาม้าศึกของทหารรักษาพระองค์อีก? ทั่วหล้าหามีใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่อีกแล้ว! ทำไมเจ้าสุนัขตัวนี้ถึงไม่ตายคาสนามรบเสียล่ะ? หยุนลี่สาปแช่งในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนมองหยุนเจิงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด "ว่ามาเถอะ! ข้าอยากเห็นนักว่า ปากหมาอย่างเจ้าจะพูดอะไรที่ดีออกมาได้!" "ว่าอย่างนี้ เจ้าก็ตกลงจะ