แน่นอนว่าหยุนเจิงไม่รู้เรื่องสายลับราชสำนักอยู่แล้วหลังจากประชันมือกับเว่ยเหวินจงแล้ว หยุนเจิงก็วางใจได้ชั่วคราวแต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้นใครๆ ต่างก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเจิงกับเป่ยหวนได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงเป่ยหวนต้องคิดหาวิธีปลิดชีวิตหยุนเจิงอยู่แล้วแต่หยุนเจิง ก็จะคิดหาวิธีลอบกัดเป่ยหวนให้ได้เพียงแต่ว่า มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าหยุนเจิงกำลังเริ่มลอบกัดเป่ยหวนแล้วแต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น หยุนเจิงเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันหลังจากรับอาหารเช้า หยุนเจิงก็เรียกโจวมี่ แล้วสั่งการว่า “เจ้ารีบไปถ่ายทอดคำสั่งให้คัดเลือกทหารทั่วไปที่ชราและอ่อนแอมาสองหมื่นนายให้ไปสร้างฐานค่ายถาวรที่เขาลั่วเสียระหว่างซั่วฟางกับหม่าอี้ซะ!”โจวมี่รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปเยี่ยจื่อขมวดคิ้วเบาๆ “ช่วงเวลานี้ ไม่เหมาะที่จะทำการก่อสร้างกระมัง?”หยุนเจิงกล่าวอย่างหมดหนทาง “ข้ารู้ว่าไม่เหมาะ แต่เรามีเวลาจำกัด!”เมี่ยวอินไม่เข้าใจ “ท่านจะสร้างฐานค่ายที่เขาลั่วเสียทำไมกัน?”“สร้างฐานค่ายก็เพื่อฝึกทหารอยู่แล้วสิ!” หยุนเจิงมองเมี่ยวอินอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “บริเวณระแวกเขาลั่วเสียมีสนามห
“ได้สิ! เช่นนั้นพวกข้าจะรอดูม้าชั้นดีของท่านแล้วกัน!”เหล่าสตรีต่างหัวเราะเยาะ ไม่ได้สนใจกับคําพูดของหยุนเจิงเพราะอย่างไร ม้าชั้นดีเช่นนี้พบได้ แต่ไม่อาจขอมาได้เหล่าสตรีกำลังพูดคุยหยอกเล่นกันอยู่ ตู้กุยหยวนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นตู้กุยหยวน จู่ๆ หยุนเจิงก็ลุกขึ้น“สำเร็จแล้วหรือ?”หยุนเจินถามอย่างตื่นเต้นตู้กุยหยวนพยักหน้า แล้วตอบอย่างตื่นเต้นว่า “สำเร็จแล้วขอรับ!”“เร็วๆ รีบบอกรายละเอียดของขั้นตอนให้ข้าฟังที!”หยุนเจิงใจร้อนและไม่สนว่าจะอยู่กับเหล่าสตรี จากนั้นรีบดึงตู้กุยหยวนเข้าไปที่ห้องหนังสือทันทีเมื่อเห็นท่าทีของหยุนเจิงแล้ว สตรีทั้งสามพลันมองหน้ากัน“สองคนนั้นคิดจะทำอะไรกันอีกล่ะ?”เยี่ยจื่อมองเมี่ยวอินและเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างสงสัย"ใครจะไปรู้!"เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดอย่างไม่พอใจ “สิ่งที่เขาทําในครั้งนี้ลึกลับมาก แม้แต่พวกเราก็ไม่ยอมบอก! แต่ฟังจากที่เขาพูดแล้วต้องการการเอาเปรียบเป่ยหวนอีกครั้งแน่ๆ!”"ยังจะเอาเปรียบอีกหรือ?"เยี่ยจื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก“เขาเอาเปรียบเป่ยหวนกี่ครั้งแล้ว?”หากเขาเอาเปรียบต่อไปอีก ไม่ต้องรอให้ถึงปีหน้าเกรงว่าเป่ยหวนก็
หยุนเจิงได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์กับตู้กุยหยวนเรียบร้อยแล้ว หลังจากสั่งการให้ตู้กุยหยวนดำเนินการต่อตามแผนการที่เขาวางไว้ก่อนหน้าแล้วจึงได้ออกไปพบจางซูข้างนอก“องค์ชาย สุราของเราถูกชิงไปแล้ว!”ทันทีที่เห็นหยุนเจิง จางซูก็คลี่ยิ้มจนปากฉีกขึ้นมาได้ยินคำพูดของจางซูแล้ว ฝูงชนพลันทำหน้าบึ้งเขาใจกว้างเกินไปหน่อยกระมัง?สุราของพวกเขาถูกชิงไป แต่เขายังมีหน้ามาดีใจตรงนี้อีก?“จริงรึ?”หยุนเจิงเองก็ถามอย่างดีใจเช่นกันจางซูพยักหน้าหงึกๆ “แน่นอนสิ! ฮ่าๆ…”กล่าวจบ จางซูก็หัวเราะปานจะขาดใจขึ้นมาหยุนเจิงเองก็หัวเราะตามด้วยเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสองแล้ว ฝูงชนพลันรู้สึกแปลกประหลาดหยุนเจิงเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบอยู่แล้ว!บัดนี้ สุราที่เขาและจางซูหมักขึ้นมาถูกคนชิงไป แต่ทั้งสองกลับดีใจจนเป็นบ้าอยู่ที่นี่เนี่ยนะ?สองคนนี้วิปริตหรือเปล่าเนี่ย?“พวกท่านทำอะไรอยู่กันแน่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถาม“จะทำอะไรได้เล่า?”หยุนเจิงหัวเราะฮ่าๆ แล้วถาม “ใครชิงไป?”จางซูหัวเราะแฮะๆ “ไอ้โง่นั่นชื่อว่ากัวไค เป็นทหารพลาธิการของกองทหารเมืองสู้ฉวี ได้ข่าวว่าเป็นน้องชายภรรยาของหวังชี่แม
ตั้งแต่เป่ยหวนเริ่มทำสงคราม เวลาที่เขาอยู่ในจวนมีน้อยมาก สำหรับเรื่องเล็กน้อยระหว่างจางซูและหมิงเย่ว์ เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยพูดถึงเรื่องนี้ จางซูฉับพลันก็เหมือนมะเขือยาวที่ร่วงโรยด้วยน้ำค้างแข็ง“ไม่มีความคืบหน้า”จางซูฝืนหัวเราะกล่าว “เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ หลายวันนี้ข้าต้องไปขายสุรา เวลาอยู่จวนมีน้อย เดิมข้าตั้งใจจะให้นางไปกับข้า ปรากฏว่า ถูกนางไล่ทุบตีอีกด้วย...”จางซูสุดอัดอั้น!แม้เขาจะเคยนอนกับหมิงเย่ว์ แต่ก็ไม่เหมือนหยุนเจิงและเมี่ยวอินขั้นนั้น!เขาเองก็รู้ เขาอ้วน ไม่ได้หล่อเหลาเหมือนหยุนเจิง ยิ่งไม่มีความสามารถนำทัพจับศึกเฉกเช่นหยุนเจิง หมิงเย่ว์ไม่ชอบเขา ก็เป็นเรื่องปกติแต่คนผู้นี้ บางครั้งก็ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวยิ่งหมิงเย่ว์ไม่ชอบเขา เขายิ่งสนใจหมิงเย่ว์มารดาเขาสิ!ดื่มเหล้าเมามายหลับนอนกับผู้อื่นเช่นเดียวกัน เหตุใดเขาจึงไม้โชคดีดั่งเหมือนหยุนเจิงนะ?เห้อ!หากคืนนั้นเขากับหมิงเย่ว์จากข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุก ดีไม่ดีก็คงไม่ต้องปวดหัวเช่นนี้แล้วหยุนเจิงหัวเราะส่ายหน้า กระซิบ “อย่ารีบร้อน ใจเย็นๆ ข้าว่าพวกเขาสองคนเป็นไปได้”“จริงหรือ?”จางซูถามอย่างตื่นเต้น
ระยะทางจากซั่วฟางถึงสู้ฉวีกับระยะทางถึงติ้งเป่ยพอๆ กันเวลาฟ้ามืด พวกเขาเพิ่งมาถึงสู้ฉวีหยุนเจิงไม่กล้าชักช้า ภายใต้การนำของจางซู มุ่งตรงไปยังค่ายทหารรักษาการณ์ของสู้ฉวี“หยุด!”พวกเขาเพิ่งมาถึงประตูค่ายทหารก็ถูกทหารยามเฝ้าประตูเรียกไว้“บังอาจ!”เกาเหอคำราม “เจ้ากล้าขวางท่านอ๋อง?”“ท่าน...ท่านอ๋อง?”ทหารยามชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เกาคอ “อย่าเอาท่านอ๋องมาขู่ข้า! ข้าไม่รู้จักท่านอ๋องอะไรนั่น ที่นี่คือค่ายทหาร ไม่มีคำสั่งของแม่ทัพหวัง ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้า!”“คนทั่วไป?”หยุนเจิงยิ้มมุมปาก ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ให้ทหารยามเหล่านั้นมองดูชัดเจนยิ่งขึ้น “เจ้าไม่รู้จักข้า หรือว่าก็ไม่รู้จักชุดเกราะบนตัวข้าแล้ว?”ชุดเกราะ?ทหารยามนิ่งไปชั่วครู่ เพิ่งสังเกตเห็นชุดเกราะบนตัวหยุนเจิงชุดเกราะทอง?ทันใดนั้นรูม่านตาก็หดตัวลงเล็กน้อยมีแต่แม่ทัพขั้นสองขั้นไปที่มีสิทธิ์ใส่ชุดเกราะนี้!ทั่วทั้งซั่วเป่ย เหมือนจะมีแค่เว่ยเหวินจงและตู๋กูเช่อที่มีสิทธิ์สวมใส!ตอนนี้ นึกไม่ถึงว่าชุดเกราะนี้จะอยู่บนตัวชายหนุ่ม?ได้ยินมาว่าจิ้งเป่ยอ๋องมายังซั่วเป่ย ตอนนี้อยู่ที่ซั่วฟางท่านนี้ คงไม่ใช
อื้มๆ คงไม่มีเรื่องใด!เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทั้งสองคนก็วางใจแล้ว อยู่ดื่มกินหน้าเตาผิงกับกัวไคอย่างมีความสุขขณะที่ทั้งสามคนดื่มกันอย่างสนุกสนาน ประตูห้องพลันถูกคนถีบออกปัง!เสียงที่มาอย่างกะทันหันทำให้ทั้งสามคนตกใจรอจนกระทั่งได้สติกลับมา กัวไคทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนทันที ตวาดลั่น “ใครเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว?”“เป็นปู่จางของเจ้า!”จางซูปรากฎตัวหน้าประตู“ที่แท้ก็เจ้านั่นเอง!”กัวไคหัวเราะ ไม่เห็นจางซูอยู่ในสายตาสักนิด “ดูไม่ออกเลย! เจ้าเองก็ยังมีความสามารถ! นึกไม่ถึงว่าจะเข้ามาภายในค่ายแห่งนี้ได้?”จางซูหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ปู่จางของเจ้ามีความสามารถมากมาย!”“ข้าว่าเจ้ากำลังหาที่ตาย!”กัวไคมองจางซูด้วยความเหี้ยมโหด“ใครหาที่ตาย มันก็ยังไม่แน่!”จางซูไม่เห็นด้วย สาปแช่งเจ้าคนโง่นี่ในใจเวลานี้ยังกล้ากำแหง?นี่กลัวว่าเขายังตายเร็วไม่พอใช่หรือไม่?“ยังกล้าปากแข็ง?”กัวไคเตะเก้าอี้ไม้ออก สีหน้าอันธพาลเดินไปหาจางซูทว่าเขายังไม่ไปถึงหน้าจางซู เกาเหอก็ปรากฎตัวต่อหน้าเขาก่อน“โย่ว พาผู้ช่วยมาด้วย?”กัวไคชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยกขาขึ้นถีบเกาเหอเกาเหอหลบอย่างง่ายดาย แล้ววกกลับมาถ
“ไม่ต้องพิธีรีตรอง!”หยุนเจิงโบกมือให้หวังชี่ “ขอบคุณท่านอ๋อง!”หวังชี่ลุกขึ้นยืน กวาดตามองพวกกัวไค จากนั้นก็ถาม “ไม่รู้พวกเขาล่วงเกินท่านอ๋องที่ใด ขอให้ท่านอ๋องโปรดบอกกล่าว หากมีที่ใดที่พวกเขาทำไม่ถูก...” “เจ้าถามพวกเขาเองเถอะ!”หยุนเจิงยิ้มนิ่งๆหวังชี่สงสัย จากนั้นก็มาหากัวไค ตะคอกถาม “พูดมา มันเรื่องใดกัน?”เผชิญหน้ากับคำถามของหวังชี่ กัวไคตกใจจนพูดไม่ออก กระอึกกระอักอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเหตุใดเขาย่อมรู้อยู่แล้วหยุนเจิงมาด้วยเหตุใดตอนที่เห็นจางซูนาทีนั้น เขาก็เข้าใจแล้วคิดถึงผลที่เขาจะต้องเผชิญ กัวไคตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยไปเห็นทั้งสามคนตกใจจนพูดไม่ออก จากซูอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ช่างเถอะ ข้าพูดเองดีกว่า!”กล่าวจบ จางซูก็บอกเล่าความจริงเรื่องที่พวกเขาปล้นสุราเมื่อฟังคำของจางซูจบ สีหน้าของหวังชี่พลันยุ่งเหยิงไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่เขามองกัวไคก็เฉียบคมมาก เกลียดจนอยากจะสับไอสารเลวนี่เป็นหมื่นชิ้น“สิ่งที่เขาพูดจริงหรือไม่?”หวังชี่มองสามคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ตะโกนด้วยความอาฆาตเขารู้เรื่องสุรานั่นอีกอย่าง เขาเองก็เคยดื่ม ตอนนี้ภายในบ้
ไม่จำเป็นต้องให้หยุนเจิงพูดเยอะ จางซูนำสมุดบัญชีที่เตรียมไว้นานแล้วมอบให้หวังชี่หวังชี่ตัวสั่นรับสมุดบัญชีมาพลิกดูจางซูหัวเราะ “หากพวกเจ้าคิดว่าสมุดบัญชีเล่มนี้ไม่น่าเชื่อถือ สามารถไปถามที่หม่าอี้และด่านเป่ยลู่ได้ ร้านค้าเหล่านี้นำเหล้าเข้าไปในด่าน ตามท้องถนนน่าจะมีสองแห่งขายเหล้าเหล่านี้...”หวังชี่ใจกระตุก มือที่ถือสมุดบัญชียิ่งสั่นไม่หยุดหากนับตามที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชี สุราห้าพันชั่งทั้งหมดหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินยังน้อยไปด้วยซ้ำ!ราคาขายปลีกของพวกเขา ขายหนึ่งชั่งสี่สิบตำลึงเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน!พวกเขาจะไปเอาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินมาจากที่ใดเล่า!เห็นหวังชี่ตัวสั่นไม่หยุด เมี่ยวอินและหมิงเย่ว์อดไม่ได้ที่จะมองตากันแล้วยิ้มไอสองคนจอมเจ้าเล่ห์!พวกเขาวางกับดักไว้นานแล้ว รอให้พวกหวังชี่ติดกับเท่านั้น!จะปล่อยให้พวกหวังชี่มีโอกาสได้ชดใช้ได้เช่นไร!หากพวกหวังชี่ต้องชดใช้หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินได้จริง ศีรษะของหวังชี่คงรักษาไว้ไม่ได้แล้วถึงเช่นไร หวังชี่ก็เป็นแค่แม่ทัพขั้นห้าเท่านั้นได้แค่พึ่งพาเบี้ยหวัดจากราชสำนัก หวังชี่เริ่มเก็บเงินตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง