“อืม ใช่ๆ!”หยุนเจิงกล่าวไม่จริงจัง “บอกความจริงกับเจ้าก็ได้ ข้าคือแม่ทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้ากลับชาติมาเกิดน่ะ!”“…”ได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว ใบหน้าของปานปู้พลันกระตุกเล็กน้อยแม่ทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้ากลับชาติมาเกิดนั้นร?บอกว่าเขาเป็นดาวบู๊เข็กกลับชาติมาเกิดยังน่าเชื่อถือกว่า!ปานปู้ครุ่นคิดในใจอย่างขบขัน พลางเอ่ยเยาะเย้ยว่า “บางที อนาคตองค์ชายหกอาจกลายเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็เป็นได้! แต่ข้าจะบีบคอสังหารเจ้าให้ตายอยู่ในเปล!”ปานปู้ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกอยากสังหารหยุนเจิงเลยแม้แต่น้อยทว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเก็บซ่อนนักเพียงแค่หยุนเจิงไม่โง่เขลา ก็ย่อมสามารถคาดเดาได้ว่าตนอยากสังหารเขา“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!”หยุนเจิงเย้ยหยัน “ราชครู ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าอยากถามว่าร่างศพพวกนี้ พวกเจ้าจะแลกหรือไม่? หากไม่แลก ข้าจะได้ลำบากสั่งให้คนนำศพพวกนี้ไปส่งที่ป้อมเมืองสุยหนิง”“แลก! จะไม่แลกได้อย่างไร?”ปานปู้กวาดมองร่างศพเหล่านั้น แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นวีรบุรุษแห่งเป่ยหวน! ใช้ม้ารบเพียงสองพันตัวแลกร่างศพของพวกเขากลับมา เป่ยหวนของข้าไม
ณ หุบผาชันช่องลมเวลานี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้วท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ทหารต้าเฉียนแต่ละฝ่ายต่างกำลังทุบเปิดชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำออก แล้วตักน้ำจากแม่น้ำไปรดบนร่างศพเหล่านั้นหยุนเจิงและคนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่ในกระโจมใหญ่ของหยุนเจิง พลางย่างเนื้อม้าพลางพูดคุยเรื่องหลังจากนี้เทียบกับการซุ่มโจมตีก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนนี้พวกเขามีชีวิตสุขสบายกว่ามากครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ซุ่มโจมตี แต่เป็นการใช้ร่างศพแลกม้ารบพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ดังนั้นจึงสามารถตั้งค่ายและจุดไฟเพิ่มความอุ่นได้ตามใจถึงแม้ข้างนอกจะหนาวเหน็บเพียงใด แต่ภายในค่ายถือว่าอบอุ่นพอสมควร“ท่านคิดว่าเป่ยหวนจะแลกม้ารบกับท่านจริงหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนกังวลใจเล็กน้อยพวกเขาขนย้ายร่างศพพวกนี้ไปมา ก็ลำบากมากเช่นกันไม่ใช่ว่าเสียแรงไปมากเพียงนี้ แต่ถึงครานั้นคนเป่ยหวนกลับไม่โผล่หัวมา เช่นนั้นก็เสียแรงไปเปล่าๆ แล้ว“เรื่องนี้ข้าไม่กังวลนัก!”หยุนเจิงกล่าวยิ้มแย้ม “สิ่งที่ข้ากังวลในตอนนี้คือ เป่ยหวนจะเล่นตุกติกอะไรระหว่างที่แลกร่างศพหรือไม่”เล่นตุกติก?ได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว แต่ละคนพลันเผยสีหน้าเรียบนิ่งแม้แต่ท่านเองยังรู้
หากพวกเขาซุ่มโจมตีเป่ยหวนจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าจริง แล้วถูกเป่ยหวนกวาดล้างแทน ถึงครานั้นใครจะคุ้มกันซั่วฟาง?เมื่อใดที่กองทัพใหญ่เป่ยหวนฆ่าเข้ามา เว่ยเหวินจงจะเอาอะไรมาป้องกัน?ไอ้สุนัข!เพื่อที่จะฆ่าตน ถึงขนาดไม่สนใจความปลอดภัยของซั่วเป่ยเลย!ขณะที่หยุนเจิงกำลังโมโหฉุนเฉียวอยู่นั้น ภูตสามและภูตห้าก็เข้ามารายงานว่ากองทัพใหญ่เป่ยหวนเคลื่อนไหวแล้ว!เป่ยหวนคิดจะเล่นตุกติกจริงหรือ?หยุนเจิงขมวดคิ้ว แล้วถาม “กองทัพใหญ่เป่ยหวนไปรวมตัวกันที่ใด?”“เหมือนจะไปทางปากเขาเขี้ยวหมาป่าขอรับ!”ภูตสามตอบ“ปากเขาเขี้ยวหมาป่า?”หยุนเจิงขมวดคิ้วมุ่น สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเป่ยหวนส่งคนไปที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่ามากมายเพียงนั้นแล้วยังจะไปเสริมทัพที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่าอีก?เป่ยหวนต้องคิดซุ่มโจมตีพวกเขาที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่าครั้งหนึ่งแน่เพียงแค่ซุ่มโจมตีต้องใช้กำลังคนมากเพียงนี้เชียวหรือ?“สอดแนมต่อไป!”หยุนเจิงสั่งการทั้งสอง แล้วรีบลุกขึ้นดูภาพแผนที่ทันทีเป่ยหวนส่งคนมาซุ่มโจมตีทหารทั่วไปของพวกเขามากมายเพียงนี้เลยหรือ?ประเมินพวกเขาสูงเกินไปแล้วกระมัง?“เป็นไปได้หรือไม่ที่ปานปู้จะมองแผนการข
ไม่นาน จั่วเริ่นและคนอื่นๆ ก็มาถึงกระโจมของหยุนเจิง“โจมตีค่าย?”เมื่อได้ยินถึงการวิเคราะห์ของหยุนเจิง ฝูงชนพลันอ้ำอึ้งในบัดดล“พวกเขาจะโจมตีค่ายจากที่ใดกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตามไม่ทันจึงถามต่อว่า “พวกเขาเป็นทหารม้าเชียวนะ! นอกจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าและหุบผาชันช่องลมแล้ว ยังมีที่ใดที่พวกเขาจะ…”“พวกเขาสามารถละทิ้งม้ารบได้!”หลูซิ่งได้สติก่อน “ทหารม้าเปลี่ยนมาเป็นทหารราบง่ายมาก! ทว่าทหารราบจะเปลี่ยนไปเป็นทหารม้านั้นยากมาก!”หลูซิ่งเอ่ยคำนี้ออกไป ฝูงชนพลันทุบศีรษะของตนทันใดนั่นน่ะสิ!ทหารม้าลงจากม้าก็กลายเป็นทหารราบแล้วนี่!ปัญหาง่ายๆ เช่นนี้ พวกเขากลับนึกไม่ออกสถานที่ที่ทหารม้าไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ทหารราบทำได้!ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าความคิดพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปพวกเขาคอยคิดมาตลอดว่าทหารม้าของเป่ยหวนเก่งกาจแค่ไหน แต่กลับละเลยปัญหาที่ง่ายที่สุดไปได้“ดังนั้น จุดประสงค์ของพวกเขาคือซุ่มโจมตีหุบผาชันช่องลม และครอบครองหุบผาทั้งสองฝั่ง จากนั้นค่อบนำทหารม้าใหญ่เดินทางผ่านหุบผาชันช่องลมตรงมาที่ซั่วฟาง! พวกเขาคิดจะใช้ซั่วฟางเป็นฐานที่มั่นในการเอาชนะกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือ!”
นั่นน่ะสิ!พวกเขากำลังคนเพียงเท่านี้ในเมื่อเป่ยหวนคิดจะโจมตีค่ายแล้ว อย่างไรก็ต้องส่งคนนับหมื่นมาแน่นอนพูดถึงความสามารถในการสู้รบแล้ว ทหารทั่วไปของพวกเขาสู้ของเป่ยหวนไม่ได้แน่นอนถึงแม้พวกเขาจะสู้ไม่ถอยจนกำจัดคนของเป่ยหวนที่ถูกส่งมาซุ่มโจมตีได้ทั้งหมด คนสองหมื่นกว่าคนของพวกเขาก็คงเหลือรอดอยู่ไม่มากแล้ว!นี่คือทุกอย่างของหยุนเจิง!ห้ามทำให้สูญเสียไปทั้งหมดภายในสงครามเดียว!สิ่งสำคัญคือ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่ทำให้คนของเป่ยหวนหลุดไปได้!หากกองกำลังของพวกเขาสู้จนหมดแล้ว ทหารม้าใหญ่ของเป่ยหวนฆ่าผ่านหุบผาชันช่องลมมา เช่นนั้นก็จะคุ้มกันซั่วฟางไม่ได้อีกต่อไป!เช่นนี้ดูเสี่ยงมากจริงๆ!หยุนเจิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าพอมีวิธีที่จะกำจัดพวกมันทั้งหมด แต่ทำได้เพียงกำจัดพวกมันทั้งหมด ไม่สามารถทำเงียบๆ ได้ และไม่สามารถซุ่มโจมตีพวกมันเป็นครั้งที่สองได้ด้วย…”“วิธีอะไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามทันที“ข้าเองก็มีวิธีเช่นกัน!”อวี๋ซื่อจงกล่าว “เพียงแต่ว่า เราอาจจะต้องสูญเสียของบางอย่างไป”“ใช่!”หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆ “แต่ทว่า สูญเสียสิ่งของย่อมดีกว่าสูญเสียคน!”ทั้งสองพลางกล่าวพลางสบตากันย
ในช่วงเวลานี้ น้ำแข็งบนแม่น้ำไป๋สุ่ยมีความหนาเกือบหนึ่งเมตรแล้ว!แม้ว่าจะเป็นกองทหารหลายพันคน น้ำแข็งก็สามารถรับน้ำหนักได้!เมื่อเห็นความดุเดือดในการนำกองทัพลงสู่หุบผาแม่น้ำ ในที่สุดปานปู้ก็แสดงรอยยิ้มโล่งใจบนใบหน้าของเขาชนะแล้ว!พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่าอีกต่อไปไม่ว่ากองกำลังหลักของหยุนเจิงจะอยู่ที่นี่หรือที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่าล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป!ไม่ว่ากองกำลังหลักของหยุนเจิงจะอยู่ที่ไหน พวกเขาก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่จะถูกกวาดล้างไปได้!ทหารราบหมื่นนาย และทหารม้าสามหมื่นนาย!ขอเพียงแค่ผ่านหุบผาชันช่องลมไปได้ ทหารสนามที่แก่ชราอ่อนแอ ป่วย และพิการเหล่านั้นไม่มีทางหยุดพวกเขาได้เลย!ตอนนี้ พวกเขาสามารถประกาศได้แล้วว่าเมืองซั่วฟางเป็นของพวกเขา!ขอเพียงพวกเขายึดครองซั่วฟางได้สำเร็จ ต่อจากนี้ก็เป็นกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือที่ต้องตื่นตระหนกแล้ว!“เหล่าสหาย! ตามข้าไปโจมตี!”ปานปู้คำรามอย่างตื่นเต้นและพุ่งเข้าไปในหุบผาแม่น้ำตามไปด้วยทั้งสองฝั่งของหุบผาอูถูเป็นผู้นำทหารข้างกายหลายคนตรงไปที่ค่ายด้วยจิตสังหารพวยพุ่งเมื่อเห็นทหารเป่ยหวนที่พุ่งเข้า
เวลานี้ ทหารของเป่ยหวนโกลาหลวุ่นวายกันพลันทุกคนต่างแย่งกันวิ่งหนีจากทะเลเพลิงบางคนวิ่งไปถึงชายขอบของหุบผา ก็กระโดดลงไปในหุบผาด้วยความตื่นตระหนก โดยไม่สนว่าหน้าผาจะสูงชันหรือไม่ เพียงเพื่อจะหนีจากทะเลเพลิงที่อยู่ข้างหลังแต่หลังจากที่กระโดดลงไป พวกเขาก็รู้สึกเสียใจทันทีเพราะในหุบเขา มีทหารต้าเฉียนจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้วทันทีที่พวกเขากระโดดลงไป ก็ถูกทหารต้าเฉียนปิดล้อมบางคนก็วิ่งออกไปนอกค่ายด้วยความตื่นตระหนกทว่าทันทีที่พวกเขารอดพ้นจากทะเลเพลิง ก็มีธนูอันแหลมคมมาต้อนรับพวกเขาทหารม้าที่นำโดยอวี๋ซื่อจงไม่รู้โผล่มาตอนไหน"รักษาระยะห่าง!"“อย่าสู้ระยะประชิด!”“ยิงได้!”อวี๋ซื่อจงงอคันธนูและตั้งศรธนูพร้อมตะโกนใส่ทหารม้าที่ต้องการต่อสู้ระยะประชิดกับศัตรูจนตาแดงตาดำหลังจากที่อวี๋ซื่อจงตะโกนใส่ คนเหล่านั้นก็รู้สึกตัวและรีบถอยห่างจากศัตรู แล้วเริ่มยิ่งธนูใหม่อีกครั้งเสียงคำรามปลุกชายหนุ่มที่กำลังตกตะลึงอยู่ อวี๋ซื่อจงรีบงอคันธนูและตั้งศรธนูอย่างรวดเร็วอวี๋ซื่อจงเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารโลหิตมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงทักษะการยิงธนูของเขาเขายิงธนูออกไปถูกคอของทหาร
ทหารม้าเป่ยหวนที่นำโดยอู้เลี่ยและปานปู้จ้องมองที่ด้านบนของหุบเขาอย่างว่างเปล่าใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยถึงพวกเขาจะพุ่งเข้าไปในตอนนี้ ก็ไม่มีความหมายอะไรนอกจากรนหาที่ตายยิ่งไปกว่านั้น กำแพงไฟที่ปากหุบเขายังขวางทางพวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเร่งผ่านเข้าไปได้!“ทิ้งม้า! แล้วปีนขึ้นไปซะ!”“เรายังไม่แพ้!”“ปีนขึ้นไปและฆ่าคนต้าเฉียนไอ้เวรพวกนี้ให้หมด!”อู้เลี่ยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง“องค์ชายใหญ่ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!คนที่อยู่ข้างๆ กดมือของอู้เลี่ย และพูดอย่างกังวลว่า "ในเมื่อศัตรูรู้แล้วว่าเราจะโจมตีค่าย ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องเตรียมการซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน หากเราปีนขึ้นไปตอนนี้ก็มีแต่ตายเท่านั้น!"หากพวกเขาทิ้งม้าแล้วปีนขึ้นไปบนหุบเขา เกรงว่ายังขึ้นไปไม่ถึงครึ่งทาง ฝนธนูคงจะตกลงมาก่อนแล้ว!ถึงครานั้น คนของพวกเขาไม่ก็ตกผาตาย ไม่ก็ถูกยิงตาย!ในเวลานี้ ห้ามทำให้สูญกองกำลังทหารไปเปล่าๆ อีกต่อไป“แล้วจะดูพวกเขาตายอยู่อย่างนี้หรือ?”ดวงตาสีแดงเลือดของอู้เลี่ยดุร้ายราวกับสัตว์ร้ายกินคน"ถอยทัพเถอะ!"คนข้างๆ หันหน้าไปด้านข้างอย่างเจ็บปวดใจแล
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง