หลังจากเสร็จการประชุม เว่ยเหวินจงถึงได้สั่งให้คนทำอาหารให้ทุกคนทานไม่หรูหรามาก แต่ด้วยในช่วงนี้ของซั่วเป่ย ถือว่าไม่เลวแล้วขณะที่ทานอาหารอยู๋นั้น ฉินชีหูพูดคุยกับหยุนเจิงมากมายนักแต่ทว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นคำนั้นหากเป่ยหวนโจมตีซั่วฟางก่อน เช่นนั้นก็รับมือป้องกันไว้ เป่ยหวนจะเรียกอาวุธอย่างไรก็ห้ามออกไปรับสงครามเด็ดขาด!ซั่วฟางมีทหารทั่วไปมากมายเพียงนั้น ถึงจะเป็นคนชราและคนพิการ แค่เรื่องการขนย้ายหนิต่างๆ คงทำได้อยู่กระมัง?ขอแค่พวกเขาไม่ออกไปทำสงคราม โอกาสที่เป่ยหวนจะโจมตีซั่วฟางได้มีไม่มากสำหรับการตักเตือนของฉินชีหู หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนแสดงถึงความขอบคุณอีกครั้งแต่ทว่า หยุนเจิงตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไม่อยู่เฝ้าที่เมืองหลังจากทานอาหารเสร็จ เว่ยเหวินจงก็ได้จัดแจงให้ทุกคนอยู่พักที่จวนเว่ยเหวินขงจัดห้องให้กับพวกเขา เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงทำได้เพียงนอนห้องเดียวกันกับหยุนเจิงเมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของหยุนเจิงแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนก็รู้ทันทีว่าไอ้สารเลวคนนี้ต้องมีแผนร้ายแน่ๆ“ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าตอนนี้ข้ายังรังเกียจอยู่!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “หากท่านกล้าทำอะ
แท้จริงแล้ว หยุนเจิงรู้สึกว่าวิธีที่มั่นคงที่สุดคือการนำทหารสามหมื่นนายนั่นไปเฝ้าอยู่ที่ติ้งเป่ยเช่นนี้ ไม่ว่าเป่ยหวนจะโจมตีจากทางไหน เว่ยเหวินจงก็สามารถเข้าไปสนับสนุนได้ทันเวลา“เช่นนั้นท่านคิดว่าเป่ยหวนจะโจมตีซั่วฟางหรือเทียนหู?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเอียวศีรษะถาม“หากเว่ยเหวินจงย้ายทหารสามหมื่นนายนั่นไปที่ปีกขวาจริง เช่นนั้นเป่ยหวนย่อมต้องโจมตีซั่วฟางแน่นอน!”หยุนเจิงแน่วแน่“เพราะเหตุใด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจหยุนเจิงตอบ “ข้าไม่รู้ว่าเว่ยเหวินจงตั้งใจละเลยหรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่ เป่ยหวนอยากจะกลืนกินกองกำลังของเราย่อมต้องอยากให้คนของเราเคลื่อนไหวอยู่แล้ว!”“อย่างไรข้าก็เป็นองค์ชาย หากเป่ยหวนโจมตีซั่วฟาง ถึงซั่วฟางจะมีกำลังมากพอ แต่เว่ยเหวินจงก็ต้องส่งทหารมาช่วยเหลืออยู่แล้ว แม้จะเป็นการสร้างภาพก็ตาม!”“เช่นนี้ เป่ยหวนถึงจะมีโอกาสโจมตีได้”เขาเชื่อมั่นว่าเป่ยหวนไม่มีทางโจมตีเมืองทางเลือกที่โง่เหขลาที่สุดนี้แน่นอนอยากคิดจะโจมตีอย่างเด็ดขาด สู้รวบรวมกองกำลังแล้วโจมตีที่ป้อมเมืองสุยหนิงและป้อมเมืองจิ้งอันดีกว่าเช่นนี้ อย่างน้อยเป่ยหวนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกองทัพเสร
ไม่นาน หยุนเจิงก็พบกับนักรบภูตสิบแปดคนสองคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ส่งตัวไปรักษาพยาบาลแล้วส่วนที่เหลืออีกหกคนกำลังกินข้าวอยู่ในกระโจม เห็นได้ชัดว่าหิวโซแล้วเมื่อเห็นหยุนเจิงเข้ามา ทุกคนถึงได้หยุดกินแล้วลุกขึ้น“กินต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า!”หยุนเจิงห้ามกลุ่มคนที่กำลังจะคำนับให้ “กินอิ่มก่อนค่อยว่ากัน!”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ทุกคนตอบรับพร้อมกัน แล้วกินอาหารต่อไปพวกเขาที่รู้ว่าหยุนเจิงมีเรื่องจะถามจึงเร่งมือกินอาหารเป็นพิเศษ“ท่านอ๋อง ข้ากินอิ่มแล้ว!”ภูตหนึ่งดื่มน้ำลงไป แล้วลุกขึ้นก่อนนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน หยุนเจิงก็ขอให้พวกเขาลืมชื่อและตัวตนของพวกเขาซะดังนั้นพวกเขาจึงเหลือเพียงหมายเลขตั้งแต่ภูตหนึ่งไปจนถึงภูตสิบแปด“ดี!”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเรียกภูตหนึ่งมานั่งข้างๆ “เล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ข้าฟังที!”“ขอรับ!”ภูตหนึ่งไม่รีรอ รีบเล่ารายละเอียดที่พวกเขาได้พบเจอมาทันทีพวกเขาข้ามไปที่เขตเป่ยหวนผ่านแม่น้ำไป๋สุ่ยตามคำสั่งของหยุนเจิง หลังจากนั้นก็สำรวจรอบๆ เขตเป่ยหวน และตามหากลุ่มทหารม้าน้อยของเป่ยหวนแต่ทว่า แรกเริ่มพวกเขาดวงไม่ดีนัก เป่ยหวนที่อยู่บริเว
เมี่ยวอินส่ายศีรษะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ากลัวว่าจะกระทบต่อลมปราณครรภ์น่ะ”ลมปราณครรภ์?หยุนเจิงมึนงงนางไม่ได้ตั้งครรภ์สักหน่อย จะมีลมปราณครรภ์ได้อย่างไร?จะว่าไปเสิ่นลั่วเยี่ยนแม่นางนี่ก็โหดเหมือนกันนะ!ถึงสู้เมี่ยวอินได้ด้วย?เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมี่ยวอินกำลังตั้งครรภ์ได้ยินเมี่ยวอินพูดเช่นนี้แล้วพลันหมดคำพูดในบัดดลหยุนเจิงมองทั้งสองแวบหนึ่งแล้วศึกษาภาพแผนที่ต่อ“ท่านเอาแต่จ้องภาพแผนที่ทั้งวันทั้งคืนทำไมกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชา “ท่านคิดว่าดูภาพแผนที่หลายหนแล้วจะชนะได้นั้นหรือ?”“คนของข้านำข่าวกลับมาแล้ว”หยุนเจิงพูดโดยไม่เงยหน้า “จากรายงานของพวกเขา เป่ยหวนจะโจมตีเทียนหู จากนั้นค่อยส่งทหารชั้นยอดสองหมื่นนายลอบโจมตีซั่วฟางจากปากเขาเขี้ยวหมาป่า…”“อะไรนะ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไป ไม่โต้เถียงกับหยุนเจิงต่อไป เปลี่ยนมานั่งดูภาพแผนที่ข้างๆ หยุนเจิงแทนหยุนเจิงทำเครื่องหมายไว้ที่ปากเขาเขี้ยวหมาป่าและหุบผาชันช่องลมไว้แล้วเสิ่นลั่วเยี่ยนดูก็เห็นปากเขาเขี้ยวหมาป่าทันที“เหมือนที่ข้าคิด!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวอย่างดีใจ “เราสร้างกับดัก
“ตรงนี้!”ใบหน้าของหยุนเจิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วชี้ไปที่ภาพแผนที่“เมืองสู้ฉวี?”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เข้าใจ “ทำไมถึงทำเครื่องหมายที่เมืองสู้ฉวีอีกแล้วล่ะ?”“โง่!”หยุนเจิงเคาะศีรษะของเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “ถ้าทหารม้าเป่ยหวนจะบุกมาจากปากเขาเขี้ยวหมาป่า ทำไมพวกเขาต้องโจมตีซั่วฟางด้วย โจมตีตลอดทางตอนใต้ไปยังเมืองสู้ฉวีที่อ่อนแอกว่าไม่ดีกว่าหรือ? ”ทหารรักษาการณ์เมืองสู่ฉวีมีเพียงห้าพันนายเท่านั้น!แต่ทหารฝั่งซั่วฟางมีเท่าใดกัน?นั่นมันแสนกว่านานเชียวนะ!แม้ว่าจะเป็นทหารทั่วไปทั้งหมด แต่จำนวนคนก็กดเป่ยหวนได้อย่างแน่นอนนอกจากนั้น เมืองสู้ฉวีซึ่งเป็นกองหลังยังจะต้องตุนเสบียงไว้มากมายด้วยเมืองสู้ฉวีอยู่ห่างจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าเพียงสามร้อยกว่าลี้เท่านั้นทหารม้าเป่ยหวนจู่โจมด้วยความเร็วเต็มกําลัง เพียงแค่หนึ่งวัน ก็สามารถฆ่าเมืองสู้ฉวีได้แล้ว ที่อื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาสนับสนุนได้ทันเลยด้วยซ้ำ!หากกองทหารซั่วฟางกล้าออกเมืองมาหยุดการโจมตี พวกเขาก็จะมีตกอยู่ในแผนการของเป่ยหวน!ดังนัน หากกองทหารเป่ยหวนเข้ามาจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าแล้วตรงไปที่เมืองสู้ฉวีนั้น จะเป็นทางที่ดีที่สุด!เป่ยหวนแ
เมี่ยวอินยิ้ม “ดีไม่ดีพวกเขาไม่หยุดที่สองหมื่นคนล่ะ?”หยุนเจิงส่ายหน้าเอ่ย “ข้าประมาณการ ให้ตายก็คงสองหมื่นคน! หากความทะเยอทะยานของเป่ยหวนน้อยหน่อย แต่หากอยากจะจับข้า คาดว่าคงส่งคนหนึ่งหมื่นคน...”“เพราะเหตุใดเล่า?”เมี่ยวอินไม่เข้าใจหยุนเจิงกล่าวอธิบาย “หุบผาชันช่องลมไม่เอื้อประโยชน์ต่อการวางกำลังทหารม้า คนมากเกินไป แค่เดินทางผ่านหุบผาชันช่องลมก็จำเป็นต้องใช้เวลานานมากแล้ว! อีกทั้ง คนมากเกินไป เสบียงอาการที่จัดสรรก็ไม่อาจตามทัน...”ข้อนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้สรุปมาก่อนแล้วหากต้องส่งทหารสี่ห้าหมื่นคนมา การจัดสรรเสบียงก็เป็นปัญหาที่ยากและใหญ่มากหากจำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ บุกโจมตีป้อมเมืองสุ่ยหนิงหรือป้อมเมืองจิ้งอันโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ?……ป้อมรักษาการปานปู้และพวกองค์ชายใหญ่อู้เลี่ยกำลังกินเนื้อคำโตและปรึกษาหารือเรื่องแผนการต่อไปจากนี้เวลานี้ ทหารสื่อสารเข้ามารายงาน “รายงานองค์ชายใหญ่ กองกำลังซูหลู่ถูออกเดินทางลับๆ จากชิงเปียนแล้ว กำลังเคลื่อนทัพไปที่ปีกขวาของต้าเฉียน!”“ดีมาก!”อู้เลี่ยหยิบเหล้านมม้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็สั่ง “บอกซูหลู่ถู จับตาดูการเคลื่อนไหวของศัตร
จู่โจมหม่าอี้ มีเพียงเพื่อเผาเสบียงเท่านั้นหม่าอี้และติ้งเป่ย ล้วนเป็นประตูชีวิตของกองทหารมณฑณทางเหนือจู่โจมติ้งเป่ย ใช้หัวแม่เท้าก็คิดได้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!“ถูกต้อง!”ปานปู้พยักหน้าเบาๆ นัยน์ตาไหววูบแววโหดเหี้ยม “หยุนเจิงหากไม่ติดกับดัก พวกเราก็ทุ่มทั้งหมดไปจู่โจมหม่าอี้ ไม่ต้องสนใจว่าต้องจ่ายด้วยสิ่งใด ต้องเผาเสบียงของหม่าอี้ทิ้ง จากนั้นก็บุกไปทางเมืองเทียนหู! ถึงตอนนั้น องค์ชายใหญ่ค่อยสั่งกองกำลังซูหลู่ถูโจมตีเทียนหูโต้กลับพวกเขา...”ขอแค่เผาเสบียงที่ต้าเฉียนสะสมไว้ที่หม่าอี้ได้ กองทัพมณฑลทางเหนือก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนเสบียงถึงเวลานั้น เมืองชายแดนต้าเฉียน ย่อมพ่ายแพ้โดยไม่ต้องโจมตี!แต่ว่า กองทหารมณฑณทางเหนือเองก็ไม่ใช่คนตาย ไม่อาจมองดูพวกเขาจู่โจมหม่าอี้ได้หน้าตาเฉยเมื่อถึงเวลานั้น กองทหารมณฑลทางเหนือจำเป็นต้องส่งคนมาขัดขวางพวกเขาและต่อให้พวกเขาเผาเสบียงของหม่าอี้ได้สำเร็จ ทหารสองหมื่นที่สามารถบุกไปต่อได้เกรงว่าจะมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นผลที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เพียงไม่สามารถเผาเสบียงของหม่าอี้ได้ ทหารสองหมื่นนั้นยังถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นต่อให้เป็นเช่นนี้
อู้เลี่ยไม่เห็นด้วย ยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจกล่าว “ถึงเช่นไรก็เตรียมใจที่จะสูญเสียทั้งกองทัพแล้ว แค่เวลาไม่กี่วัน จะบริโภคเสบียงได้มากเพียงใด?”“นี่...”ร่างกายปานปู้รู้สึกความเหน็บหนาวประหลาดผุดขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “องค์ชายใหญ่ หากต้องจู่โจมหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกศึก! การสมัครรับชายหนุ่มชั่วคราวมาออกศึก ไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาไปตาย...”หม่าอี้คือหนึ่งในประตูชีวิตของกองทหารมณฆลทางเหนือ!ต่อให้กองทหารมณฆลทางเหนือทหารไม่พอ แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยไม่ป้องกันเมืองหม่าอี้คิดจะเผาเสบียงหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกจู่โจม!“นี่...”อู้เลี่ยคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มส่ายหน้า “พวกเรายังไม่รู้หยุนเจิงจะติดกับดักหรือไม่ อยู่ปรึกษากันที่นี่กันทำไม?”“ใช่แล้ว!”ปานปู้พยักหน้ายิ้ม “หากหยุนเจิงติดกับดัก ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายแล้ว!”“เช่นนั้นก็ดูไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”อู้เลี้ยไม่คิดมากต่อไปแล้วออกจากกระโจมใหญ่ของอู้เลี่ย ปานปู้รีบกลับกระโจมตัวเองอย่างรวดเร็วครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่ ปานปู้รีบหยิบหนังแกะแผ่นหนึ่งออกมาเขียนเขียนเสร็จ ปานปู้นำหนังแกะห่อไว้อย่างรวดเร็ว เรียกคนสนิ
ข้าไม่กล้ามอบต้าเฉียนให้กับเจ้า และไม่อาจให้เจ้าด้วย! ด้านนอกห้องหยุนลี่แสดงความกังวลอย่างหนัก ถามไถ่หมอหลวงถึงอาการของจักรพรรดิเหวิน หมอหลวงสีหน้าลำบาก ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง "ฝ่าบาทชีพจรผิดปกติ มีไฟในหัวใจล้นหลาม กระหม่อมวินิจฉัยโรคของฝ่าบาทไม่ได้ และไม่กล้าจ่ายยาโดยสะเปะสะปะ..." หยุนลี่โกรธจัด แววตาเย็นชาเปล่งประกาย "เจ้าเป็นหมอหลวงประเภทไหนกัน? ถึงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยเป็นโรคอะไร?" "กระหม่อมไร้ความสามารถ..." เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหมอหลวง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง หยุนลี่ยิ่งโมโหจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งเป็นองค์รัชทายาท เขาหวังเพียงให้จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็วเพื่อเขาจะได้ครองราชย์โดยราบรื่น แต่ตอนนี้ เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินยังมีชีวิตอยู่! เพราะตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังอยู่ หยุนเจิงก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย! "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องรักษาเสด็จพ่อให้หาย!" หยุนลี่พยายามควบคุมสติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมมองไปที่หมอหลวง "หากรักษาเสด็จพ่อไม่ได้ เจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!"
เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนลี่ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ น้ำตาในดวงตาของเขาเอ่อล้นจนกลั้นไม่อยู่ ครั้งนี้ หยุนลี่ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจักรพรรดิเหวินจะช่วยรับเรื่องนี้แทนเขา เขารู้ว่าจักรพรรดิเหวินพูดความจริง ถ้าขุนนางอาวุโสในราชสำนักพร้อมใจกันต่อต้าน เขาก็แทบไม่มีทางรับมือได้ อย่างเช่นฉินลิ่วก่าน ขุนนางแก่ผู้นี้ต้องกล้าด่าเขาต่อหน้าที่ประชุมแน่ๆ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ขุนนางแก่นี่อาจกล้าลงไม้ลงมือกับเขาด้วยซ้ำ ยังมีเซวียเช่อ เซียวว่านโฉว ถังซู่ ซ่งปี้เซียน และคนอื่นๆ... ขุนนางอาวุโสเหล่านี้ ไม่มีใครที่รับมือได้ง่ายๆ "ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากพระทัยเพราะลูก..." หยุนลี่คุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า จักรพรรดิเหวินตบมือบนมือของหยุนลี่อย่างอ่อนแรง "นี่ก็โทษข้าด้วย ถ้าข้าห้ามเจ้าตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่บานปลายแบบนี้" "เสด็จพ่อ..." หยุนลี่รู้สึกจุกแน่นในลำคอ น้ำตาไหลไม่หยุด "เก็บน้ำตาของเจ้าไว้! จำไว้ว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาท!" จักรพรรดิเหวินเพิ่มเสียงเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบาๆ "จริงๆ ข้าคิดดูแล้ว การให้ฟู่โจวกับเจ้าต
"อืม ข้ารู้แล้ว" หยุนลี่โบกมือเบาๆ ให้ขันทีออกไป ดูเหมือนว่าเจ้าหกตัวแสบได้พูดคุยเรื่องต้องการฟู่โจวกับเสด็จพ่อที่ริมทะเลสาบชิงซานแล้ว เจ้าสุนัขตัวแสบนี้! ยื่นกรงเล็บมาที่ฟู่โจวจนได้! งานนี้ยุ่งยากจริงๆ แล้ว หยุนลี่รู้สึกทั้งโกรธและกังวลในใจ ทันใดนั้น เขาก็เริ่มอิจฉาพี่รองและพี่สี่ขึ้นมา ตั้งแต่เขามีสถานะมั่นคงขึ้น พี่รอง พี่สี่ และพี่ห้าก็มีบทบาทในราชสำนักลดน้อยลง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสามคนใช้ชีวิตได้สบายกว่าเขามาก ทั้งสามคนใช้ชีวิตเสเพลได้เต็มที่ แต่เขาทำไม่ได้ กลับไปที่ราชสำนัก ยังต้องชี้แจงเรื่องแต่งตั้งเจ้าหกเป็นผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจวให้ขุนนางทั้งหลายเข้าใจ หากขุนนางในราชสำนักรู้ว่าเรื่องนี้เกิดจากเขาส่งทหารไปจัดการเจ้าหก เหล่าขุนนางอาวุโสคงรวมตัวกันกราบทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษเขาอย่างหนัก หรือแม้กระทั่ง...ปลดองค์รัชทายาท! เขาไม่ได้กังวลว่าจะถูกปลด แต่กลับไปที่ราชสำนักคงเจอปัญหาอีกมากมาย หยุนลี่กลับมาที่จวนของตัวเอง พยายามระงับอารมณ์และคิดหาทางออก ไม่นาน มู่ซุ่นก็ส่งคนมาแจ้ง "กราบทูลองค์รัชทายาท ฝ่าบาทประชวรหนัก ขอให้องค์รัชทายาทเสด็จด่วน..." ขันท
หลังจากทิ้งปัญหาไว้ให้หยุนลี่จัดการ จักรพรรดิเหวินก็พาผู้คนออกไปทันที ดูเหมือนจะไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหกผู้เอาแต่รุกไล่บีบคั้นนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว แม้หยุนลี่จะจำใจ แต่ก็ยังพยายามต่อรองกับหยุนเจิง ทว่า หยุนเจิงจับจุดอ่อนของหยุนลี่ไว้ได้ จึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ในที่สุด หยุนลี่ก็ต้องจำใจยอม หลังจากนี้ ยังต้องทำสัญญาอย่างเป็นทางการ "เจ้าสาม ครั้งนี้ข้าให้เกียรติเสด็จพ่อ ยกชีวิตเจ้าไว้ก่อน!" หลังจากตกลงกันได้ หยุนเจิงมองหยุนลี่ด้วยสายตาเย็นชา พลางเตือน "เจ้าควรภาวนาให้เสด็จพ่ออายุยืนยาว!" ยังคงต้องกดดันเจ้าสามอีกหน่อย กันไว้เพื่อไม่ให้เจ้าสามดิ้นสู้จนสุดตัว เมื่อเผชิญคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ก็รู้สึกเกลียดชังอย่างถึงที่สุด ในสถานการณ์ที่เขาเสียเปรียบตอนนี้ มีเพียงอดทนเท่านั้น พอกลับถึงเมืองหลวงเมื่อไร เขาจะหาทางจัดการกับเจ้าสุนัขตัวนี้ให้ได้! ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าจะคืนให้เป็นสองเท่า! หยุนลี่คิดในใจอย่างเหี้ยมโหด หลังจากพยายามสูดหายใจลึกๆ หยุนลี่กัดฟันพูด "เจ้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ควรปล่อยพวกเฉียวเหยียนเซียนได้หรือยัง?" หยุนเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ "พวกเขาถู
จักรพรรดิเหวินจ้องเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบ "อะไร? เจ้ากลัวว่าข้าจะผิดคำพูด แล้วพาพี่สามของเจ้าหนีไปหรือ?" "เสด็จพ่อ ทรงล้อเล่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" หยุนเจิงส่ายหน้า "ลูกกลัวว่าจ้าวจี๋จะสมคบกับทหารรักษาเมืองก่อความวุ่นวาย! อย่างไรเสีย จ้าวจี๋เคยนำทัพใหญ่นับแสนมาอยู่ที่นี่..." "หุบปาก!" จักรพรรดิเหวินหยิบป้ายทองคำคำออกมาแล้วขว้างให้หยุนเจิง "เจ้าช่างเป็นลูกที่ดีของข้าเสียจริง!" "ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงเก็บป้ายทองคำคำขึ้นมา ทำเป็นเมินสายตาของจักรพรรดิเหวิน "ยังไม่ไปอีกหรือ?!" จักรพรรดิเหวินตวาดด้วยความโกรธ ราวกับไม่อยากมองหยุนเจิงอีก "เสด็จพ่อ ลูกยังมีเรื่องอีกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงยิ้ม "ลูกเพิ่งตกลงการซื้อขายกับพี่สาม เขายังต้องการถามความเห็นเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" "ซื้อขาย?" สายตาของจักรพรรดิเหวินหันไปจ้องหยุนลี่อีกครั้ง พร้อมแฝงคำถาม หยุนลี่ที่เสียศูนย์ไปแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันบอกเรื่องการตกลงระหว่างเขาและหยุนเจิง "พี่สาม แล้วม้าศึกของทหารรักษาการของเจ้าล่ะ!" พอหยุนลี่พูดจบ หยุนเจิงก็เสริมทันที หยุนลี่เต็มไปด้วยความแค้นใจ แต่จำต้องพยักหน้า
ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบเหมือนตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เขาไม่สงสัยเลยว่า หยุนเจิงสามารถทำเรื่องนี้ได้จริงๆ หยุนลี่เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือไปยังจักรพรรดิเหวิน "เจ้า..." จักรพรรดิเหวินโกรธคำพูดของหยุนเจิงจนตัวสั่น หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง น้ำเสียงจึงอ่อนลง "เจ้าหก เห็นแก่หน้าของข้า เรื่องนี้ให้จบแค่นี้เถอะ!" "เสด็จพ่อ พี่สามก็อยากเอาชีวิตลูกไปแล้ว!" หยุนเจิงกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและคำรามต่ำ "วันนี้ ถ้าเสด็จพ่อไม่ให้คำตอบกับลูก ลูกก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น! ลูกเคารพเสด็จพ่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ดี แต่ลูกไม่กลัวที่จะถูกประณามว่าฆ่าพี่ชาย!" เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของหยุนเจิง หยุนลี่ก็ยิ่งหวาดกลัว ส่งสายตาอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตไปยังจักรพรรดิเหวิน จักรพรรดิเหวินโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ลูกทรพีคนนี้! แค่เพราะฟู่โจว จำเป็นต้องทำให้เรื่องยุ่งยากขนาดนี้หรือ? ตอนนี้ทำให้เรื่องวุ่นวายขนาดนี้ แล้วตนจะไปซั่วเป่ยได้อย่างไร? ต้องถามเจ้าลูกคนนี้เสียหน่อยว่า คิดเหตุผลสำหรับเรื่องที่ตนจะไปซั่วเป่ยแล้วห
แน่นอนว่าเขารู้ดี จักรพรรดิเหวินต้องการให้เขารับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากรับผิดชอบ! ถ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ เจ้าหกตัวแสบยิ่งได้โอกาสใช้เรื่องนี้เล่นงานเขา! แต่ถ้าไม่รับผิดชอบ กองทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นของจ้าวจี๋ก็ต้องหมดไป แถมเขายังซวยไปด้วย ไม่ว่าจะรับผิดชอบหรือไม่ เขาก็ต้องซวยอยู่ดี! ลังเลอยู่นาน หยุนลี่จึงพูดตะกุกตะกักออกมา "ข้า...ข้าเป็นคนสั่งให้จ้าวจี๋นำทัพมาเอง..." ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับผิด! ดีที่เสด็จพ่อรู้อยู่แล้ว แถมยังเห็นด้วย ตอนนี้เพียงแค่ให้คำอธิบายหยุนเจิงก็พอ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเสด็จพ่อลงโทษภายหลัง "เจ้ากล้าดีมาก!" จักรพรรดิเหวินโกรธจนทนไม่ไหว "พูดมา เจ้าไปสั่งการกองทัพของจ้าวจี๋ได้อย่างไร? เจ้าไปสมคบกับจ้าวจี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่?" "ไม่...ไม่ใช่..." หยุนลี่รีบโบกมือพร้อมก้มหน้าตอบ "ลูกไม่ได้สมคบกับจ้าวจี๋ ลูก...ลูกแค่บังเอิญเก็บตราทองของเสด็จพ่อได้เมื่อหลายวันก่อน..." "เก็บได้?" สายตาของหยุนเจิงเย็นเยียบ "พี่สาม เจ้าคิดว่าน้องเป็นคนโง่หรือไง? ตราทองของเสด็จพ่อ เจ้าก็เก็บได้?" พูดจบ หยุนเจิงก็หันไปมองจักรพรรดิเหวินด้วยความโกรธ "
"ฝ่าบาท ด้านหน้ามีสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนคนขององค์ชายหกจะล้อมเวรยามขององค์รัชทายาทไว้!" จักรพรรดิเหวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ในขบวนรถม้า เมื่อโจวไต้เข้ามารายงานใกล้ๆ "อะไรนะ?" จักรพรรดิเหวินเปิดผ้าม่านรถม้าออกทันทีเพื่อมองออกไป เพียงแค่มองแวบเดียว จักรพรรดิเหวินก็เดือดดาล ไอ้ลูกทรพีทั้งสองนี่!พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?ตนยังไม่ตายเลยนะ!พวกเขาถึงกับเอาอาวุธมาเผชิญหน้ากันแล้ว?เจ้าหก ลูกทรพีคนนี้ มันลืมคำตักเตือนของตนแล้วหรือ? จักรพรรดิเหวินโกรธจัด รีบสั่งโจวไต้ "ไป จงแยกพวกเขาออกจากกัน หากใครขัดขืน สังหารทันที!" ครั้งนี้จักรพรรดิเหวินโกรธจริงๆ เจ้าลูกทรพีทั้งสองนี้ ไม่มีใครคิดจะรักษาหน้าตาของราชวงศ์บ้างเลยหรือ?ในความเดือดดาล จักรพรรดิเหวินตะโกนสั่งมู่ซุ่น "บอกให้ลูกทรพีทั้งสองคนของข้ามาพบข้าทันที!" พูดจบ จักรพรรดิเหวินก้าวลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ไม่นาน หยุนเจิงและหยุนลี่ก็มายืนต่อหน้าจักรพรรดิเหวิน "ลูกขอคารวะเสด็จพ่อ" ทั้งสองคนคำนับพร้อมกัน "เสด็จพ่อ?" จักรพรรดิเหวินดั่งสิงโตที่เดือดดาล ตะโกนว่า "ในสายตาของพวกเจ้ามีข้าเป็นเสด็จพ่ออยู่บ้างไหม?" "เส
"ต่อให้ข้ายอมตกลง เสด็จพ่อจะยอมด้วยหรือ?" "ตราบใดที่เสด็จพ่อไม่อนุญาต ใครจะกล้าส่งข้าวห้าล้านตันให้เจ้า?" "ถ้าเจ้าต้องการข้าวนัก ก็ไปพบเสด็จพ่อพร้อมกับข้า!" "ตราบใดที่เสด็จพ่ออนุญาต ข้าก็ไม่มีอะไรจะค้าน!" ตอนนี้ มีแต่ต้องไปหาเสด็จพ่อเท่านั้น ไอ้สุนัขตัวนี้ ต่อให้หน้าด้านแค่ไหนก็คงต้องไว้หน้าเสด็จพ่อบ้างกระมัง? "เจ้าสาม เจ้าช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเอาเสียเลย" หยุนเจิงยิ้ม "แบบนี้แล้วกัน เจ้าส่งม้าศึกของทหารรักษาพระองค์พวกนี้ให้ข้า ข้าจะบอกเจ้าวิธีที่ทำให้เสด็จพ่อกับขุนนางในราชสำนักยอมให้ข้าวห้าล้านตันแก่เจ้าแน่นอน!" ม้าศึก? ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่แทบจะกระโดดขึ้นมาชี้หน้าด่าเขา เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่! เอาข้าวห้าล้านตันยังไม่พอ ยังคิดจะเอาม้าศึกของทหารรักษาพระองค์อีก? ทั่วหล้าหามีใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่อีกแล้ว! ทำไมเจ้าสุนัขตัวนี้ถึงไม่ตายคาสนามรบเสียล่ะ? หยุนลี่สาปแช่งในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนมองหยุนเจิงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด "ว่ามาเถอะ! ข้าอยากเห็นนักว่า ปากหมาอย่างเจ้าจะพูดอะไรที่ดีออกมาได้!" "ว่าอย่างนี้ เจ้าก็ตกลงจะ