“แหวะ…”สตรีทั้งสองนั่งยองอยู่บนพื้นหิมะแล้วอาเจียนออกมา“นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ข้าสอนพวกเขา”หยุนเจิงสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วมองสตรีทั้งสองด้วยสีหน้าย่ามใจ “บอกพวกเจ้าแล้วว่าไม่รู้จะดีกว่า พวกเจ้าไม่เชื่อ…”“หยุนเจิง!!!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหันกลับไปตะคอกเสียงดัง “ต่อไปหากท่านกล้าจูบข้าอีก ข้าจะตีท่านให้…แหวะ…”เสิ่นลั่วเยี่ยนยังไม่ทันกล่าวจบ ก็หันกลับไปอาเจียนต่อ“เจ้าอยากรู้เองแล้วยังจะโทษข้าอีก?”หยุนเจิงยักไหล่ ปั้นหน้าใสซื่อมองดูสตรีทั้งสองที่กำลังอาเจียนอยู่ เกาเหอพลันอดไม่ได้ยิ้มขมขื่นนี่คือหนอนที่เขาคัดหน้าตาแล้วนะ!หากให้พวกนางได้เห็นสภาพหน้าตาของหนอนที่หยุนเจิงกินก่อนหน้านั้นล่ะก็ เกรงว่าพวกนางคงจะยอมรับไม่ได้เป็นแน่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหยุนเจิงที่เป็นองค์ชายผู้ส่งศักดิ์ถึงได้กลืนของสิ่งนี้ลงไปได้แถมยังหน้าไม่เปลี่ยนสีด้วย“แหวะ…”“แหวะ…”เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินหยุดอาเจียนไม่ได้ไม่เพียงแต่อาหารมื้อเช้าที่ถูกอาเจียนออกมาเท่านั้น แม้แต่น้ำดีก็แทบจะอาเจียนออกมาแล้วด้วยจนกระทั่งอาเจียนจนไม่มีอะไรจะออกมาแล้ว สตรีทั้งสองถึงค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อพวกนางหันไปมองหยุน
เว่ยเหวินจงส่งคนถ่ายทอดคำสั่งให้หยุนเจิงไปเจรจาที่ติ้งเป่ยทันที ต้องไปให้ถึงก่อนฟ้ามืดหยุนเจิงเองก็ไม่รู้ว่าเว่ยเหวินจงมีเรื่องอะไร เพียงแค่เตรียมตัวเล็กน้อยแล้วออกเดินทางไปติ้งเป่ยทันทีติ้งเป่ยห่างจากซั่วฟางราวสามร้อยลี้คนกลุ่มหนึ่งเร่งม้าเดินทาง ในที่สุดก็มาถึงติ้งเป่ยก่อนฟ้ามืดหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ทันได้ดื่มแม้แต่น้ำ ก็ถูกพาเข้าไปในโถงประชุมแล้ววินาทีนี้ แม่ทัพกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือก็มากันครบแล้วหยุนเจิงยังเห็นฉินชีหูในท่ามกลางผู้คนด้วยทั้งสองสบตากันยิ้มแย้ม ถือเป็นการทักทายแต่ทว่า หยุนเจิงกลับไม่เห็นเงาของเซียวติ้งอู๋ไม่รู้ว่าเพราะเซียวติ้งอู๋ยังมาไม่ถึง หรือว่าไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมเมื่อเห็นหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนที่สวมชุดเกาะทองอันล้ำค่า เว่ยเหวินจงก็เผยสีหน้าไม่พอใจออกมาชุดเกราะทองอันล้ำค่า ไม่ใช่ใครก็ใส่ได้!หยุนเจิงเป็นเพียงแม่ทัพระดับสี่ เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่มีตำแหน่งไม่มียศด้วยซ้ำทั้งสองสวมชุดเกราะทองอันล้ำค่ามาเจรจา อย่างน้อยก็มีความคิดใช้อำนาจสถานะท่านอ๋องกับพระชายามากดผู้อื่นแต่เว่ยเหวินจงเองก็รู้ดีว่านี่เป็นของที่จักรพรรดิเหวินราชทานให้ก
ตามด้วยแม่ทัพอีกคนหนึ่ง “หากโจมตีเทียนหู ไม่เพียงแต่สามารถขมขู่ติ้งเป่ยและหม่าอี้ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถขมขู่สนามม้าโม่หยางด้วย ข้าคิดว่าเป้าหมายของเป่ยหวนอาจจะเป็นเทียนหู!”คนเหล่านี้ปริปากพูด คนอื่นๆ จึงเริ่มพูดความคิดเห็นของตนขึ้นมาคนส่วนใหญ่คิดว่า โอกาสที่เป่ยหวนจะโจมตีทางซั่วฟางนั้นน้อยมากเป่ยหวนต้องเดาได้แน่นอนว่าพวกเขาต้องป้องกันหยุนเจิงที่เป็นท่านอ๋องคนนี้มาก การโจมตีปีกขวานั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดอีกอย่าง อย่างไรซั่วฟางก็มีทหารทั่วไปหนึ่งแสนสองหมื่นนาย!ถึงแม้ทหารทั่วไปเหล่านี้จะต่อสู้ไม่เก่ง แต่จำนวนคนมาก!พูดไม่น่าฟังหน่อย ถึงแม้จะเป็นหมูหนึ่งแสนสองหมื่นตัว ก็เพียงพอให้เป่ยหวนดื่มหม้อหนึ่งแล้วทหารทั่วไปหนึ่งสอนสองหมื่นนาย หากอยู่เฝ้าเมือง เป่ยหวนส่งทหารม้าหนึ่งถึงสองหมื่นนายมาโจมตีก็ไม่อาจจะโจมตีได้หมดทีเดียวยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเป่ยหวนเป็นการโจมตีแบบไม่คาดคิด ไม่มีทางโจมตีก่อนกองทหารใหญ่อยู่แล้ว มิเช่นนั้น กองกำลังป้องกันด้านหน้าของพวกเขาจะอ่อนแอ ซึ่งจะให้โอกาสแก่ป้อมเมืองสุยหนิงและป้อมเมืองจิ้งอันแน่นอนดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงคิดว่า โอกาสที่เป่ยหวนจะโจมตีป
ได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว คนไม่น้อยต่างก็เข้าสู่ภวังค์ความคิดต้องยอมรับว่าความกังวลของหยุนเจิงใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลขอเพียงสูญเสียกองกำลังของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือไป เช่นนั้นหากเป่ยหวนโจมตีมาอีกครั้งก็จะง่ายมากฉินชีหูเองก็คิดอย่างจริงจังเขารู้เรื่องภายในบ้างเล็กน้อยจักรพรรดิเหวินอยากหลอกใช้หยุนเจิงมาทำให้กองกำลังของเป่ยหวนลดลง แล้วเช่นนั้นเป่ยหวนจะไม่สามารถทำให้กองกำลังของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือลดลงได้อย่างไร?ไม่จำเป็นต้องมาก ขอเพียงกำจัดทหารรบของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือได้สักเจ็ดแปดหมื่นนาย เมื่อถึงต้นนฤดูใบไม้ผลิต้าเฉียนอาจจะไม่มีกำลังพอที่จะบุกโจมตีแล้วก็ได้ไม่ใช่เพราะไม่มีกำลังให้การโจมตี แต่เป็นเพราะถูกทำลายคติธรรมไปหมดแล้ว“องค์ชายหกมีเหตุผล!”ฉินชีหูเห็นด้วย แล้วถามหยุนเจิงอย่างสงสัย “ท่านเป็นคนคิดได้ หรือว่า…”หยุนเจิงรู้ว่าเขาอยากถามอะไร จึงทำปากส่งสัญญาณให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนข้างๆที่แท้ก็เสิ่นลั่วเยี่ยนนี่เองที่คิดได้!ฉินชีหูหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยขมวดคิ้ว “องค์ชายหกโชคดีจริงๆ!”“แน่นอนอยู่แล้ว!”หยุนเจิงเองก็หัวเราะตามใบหน้าของเสิ่นลั่วเยี่ยนร้อนผ่าว แล้วจ้องหยุนเจ
หากตนยืนหยัดที่จะอยู่ที่ซั่วฟางต่อ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา เขาจะโทษพวกเขาสองพี่น้องไม่ได้!เพราะพวกเขาบอกให้ตนไปที่เมืองสู้ฉวีแล้ว แต่ตนยืนหยัดจะอยู่ที่ซั่วฟางเอง“ท่านอ๋อง ข้าแนะนำให้ท่านกับพระชายาคิดดีๆ อีกครั้ง”เว่ยเหวินจงขมวดคิ้วกล่าว “ข้าเองก็คิดว่าควรป้องกันที่ปีกขวาก่อนล่วงหน้า ส่วนปีกซ้ายก็มอบให้ทหารทั่วไปหนึ่งแสนสองหมื่นนายนั่นป้องกัน! ขอแค่ท่านอ๋องกับพระชายาไปถึงเมืองสู้ฉวีได้ ข้าก็ไม่กังวลอะไรแล้ว!”“เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องพูดอีก!”หยุนเจิงปฏิเสธโดยไม่คิด “ไม่ว่าแม่ทัพใหญ่จะสร้างกองกำลังป้องกันอย่างไร ข้าก็จะทำการป้องกันที่ซั่วฟางก่อน! หากเป่ยหวนกล้าบุกซั่วฟาง เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกมันมาได้ แต่กลับไม่ได้เลยคอยดู!”ได้ยินคำพูดหนักแน่นของหยุนเจิงแล้ว คนไม่น้อยต่างก็ผงกศีรษะเบาๆถึงแม้ความสามารถของหยุนเจิงจะไม่ยอดเยี่ยม แต่ความกล้าเต็มล้น!ถือว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง“แม่ทัพใหญ่ ข้ายังคงคิดว่าเป่ยหวนจะโจมตีที่ปีกซ้าย”ฉินชีหูกล่าวอีกครั้ง “ในเมื่อองค์ชายหกยืนยันว่าจะอยู่ที่ซั่วฟาง แม่ทัพใหญ่ก็ส่งทหารม้าไปที่ซั่วฟางสักเล็กน้อย เพื่อเพิ่มกองกำลังป้องกันให้กับปีกซ้าย”“ข้าเ
หลังจากเสร็จการประชุม เว่ยเหวินจงถึงได้สั่งให้คนทำอาหารให้ทุกคนทานไม่หรูหรามาก แต่ด้วยในช่วงนี้ของซั่วเป่ย ถือว่าไม่เลวแล้วขณะที่ทานอาหารอยู๋นั้น ฉินชีหูพูดคุยกับหยุนเจิงมากมายนักแต่ทว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นคำนั้นหากเป่ยหวนโจมตีซั่วฟางก่อน เช่นนั้นก็รับมือป้องกันไว้ เป่ยหวนจะเรียกอาวุธอย่างไรก็ห้ามออกไปรับสงครามเด็ดขาด!ซั่วฟางมีทหารทั่วไปมากมายเพียงนั้น ถึงจะเป็นคนชราและคนพิการ แค่เรื่องการขนย้ายหนิต่างๆ คงทำได้อยู่กระมัง?ขอแค่พวกเขาไม่ออกไปทำสงคราม โอกาสที่เป่ยหวนจะโจมตีซั่วฟางได้มีไม่มากสำหรับการตักเตือนของฉินชีหู หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนแสดงถึงความขอบคุณอีกครั้งแต่ทว่า หยุนเจิงตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไม่อยู่เฝ้าที่เมืองหลังจากทานอาหารเสร็จ เว่ยเหวินจงก็ได้จัดแจงให้ทุกคนอยู่พักที่จวนเว่ยเหวินขงจัดห้องให้กับพวกเขา เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงทำได้เพียงนอนห้องเดียวกันกับหยุนเจิงเมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของหยุนเจิงแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนก็รู้ทันทีว่าไอ้สารเลวคนนี้ต้องมีแผนร้ายแน่ๆ“ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าตอนนี้ข้ายังรังเกียจอยู่!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “หากท่านกล้าทำอะ
แท้จริงแล้ว หยุนเจิงรู้สึกว่าวิธีที่มั่นคงที่สุดคือการนำทหารสามหมื่นนายนั่นไปเฝ้าอยู่ที่ติ้งเป่ยเช่นนี้ ไม่ว่าเป่ยหวนจะโจมตีจากทางไหน เว่ยเหวินจงก็สามารถเข้าไปสนับสนุนได้ทันเวลา“เช่นนั้นท่านคิดว่าเป่ยหวนจะโจมตีซั่วฟางหรือเทียนหู?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเอียวศีรษะถาม“หากเว่ยเหวินจงย้ายทหารสามหมื่นนายนั่นไปที่ปีกขวาจริง เช่นนั้นเป่ยหวนย่อมต้องโจมตีซั่วฟางแน่นอน!”หยุนเจิงแน่วแน่“เพราะเหตุใด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจหยุนเจิงตอบ “ข้าไม่รู้ว่าเว่ยเหวินจงตั้งใจละเลยหรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่ เป่ยหวนอยากจะกลืนกินกองกำลังของเราย่อมต้องอยากให้คนของเราเคลื่อนไหวอยู่แล้ว!”“อย่างไรข้าก็เป็นองค์ชาย หากเป่ยหวนโจมตีซั่วฟาง ถึงซั่วฟางจะมีกำลังมากพอ แต่เว่ยเหวินจงก็ต้องส่งทหารมาช่วยเหลืออยู่แล้ว แม้จะเป็นการสร้างภาพก็ตาม!”“เช่นนี้ เป่ยหวนถึงจะมีโอกาสโจมตีได้”เขาเชื่อมั่นว่าเป่ยหวนไม่มีทางโจมตีเมืองทางเลือกที่โง่เหขลาที่สุดนี้แน่นอนอยากคิดจะโจมตีอย่างเด็ดขาด สู้รวบรวมกองกำลังแล้วโจมตีที่ป้อมเมืองสุยหนิงและป้อมเมืองจิ้งอันดีกว่าเช่นนี้ อย่างน้อยเป่ยหวนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกองทัพเสร
ไม่นาน หยุนเจิงก็พบกับนักรบภูตสิบแปดคนสองคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ส่งตัวไปรักษาพยาบาลแล้วส่วนที่เหลืออีกหกคนกำลังกินข้าวอยู่ในกระโจม เห็นได้ชัดว่าหิวโซแล้วเมื่อเห็นหยุนเจิงเข้ามา ทุกคนถึงได้หยุดกินแล้วลุกขึ้น“กินต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า!”หยุนเจิงห้ามกลุ่มคนที่กำลังจะคำนับให้ “กินอิ่มก่อนค่อยว่ากัน!”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ทุกคนตอบรับพร้อมกัน แล้วกินอาหารต่อไปพวกเขาที่รู้ว่าหยุนเจิงมีเรื่องจะถามจึงเร่งมือกินอาหารเป็นพิเศษ“ท่านอ๋อง ข้ากินอิ่มแล้ว!”ภูตหนึ่งดื่มน้ำลงไป แล้วลุกขึ้นก่อนนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน หยุนเจิงก็ขอให้พวกเขาลืมชื่อและตัวตนของพวกเขาซะดังนั้นพวกเขาจึงเหลือเพียงหมายเลขตั้งแต่ภูตหนึ่งไปจนถึงภูตสิบแปด“ดี!”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเรียกภูตหนึ่งมานั่งข้างๆ “เล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ข้าฟังที!”“ขอรับ!”ภูตหนึ่งไม่รีรอ รีบเล่ารายละเอียดที่พวกเขาได้พบเจอมาทันทีพวกเขาข้ามไปที่เขตเป่ยหวนผ่านแม่น้ำไป๋สุ่ยตามคำสั่งของหยุนเจิง หลังจากนั้นก็สำรวจรอบๆ เขตเป่ยหวน และตามหากลุ่มทหารม้าน้อยของเป่ยหวนแต่ทว่า แรกเริ่มพวกเขาดวงไม่ดีนัก เป่ยหวนที่อยู่บริเว
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง