เวรเอ๊ย!ตอนที่อยู่ในเมืองจักรพรรดิ เขายังคิดว่าบวกกับทหารจวนของเขา เขาก็จะเป็นแม่ทัพที่มีทหารทั้งหมดหนึ่งหมื่นนายแล้วผลปรากฏว่ามาถึงซั่วเป่ย ก็ลดจำนวนของเขาลงสี่ส่วน!นี่มันสี่ส่วนที่ใดล่ะ!เห็นได้ชัดว่าลดจนเหลือแต่กระดูก!อีกทั้ง นอกจากม้าศึกที่พวกเขาพามา ม้าศึกทั้งค่ายใหญ่มีไม่ถึงยี่สิบตัวด้วยซ้ำ!กล่าวให้ถูกต้องคือ ไม่มีแม้แต่ตัวเดียว!ม้าศึกเดิมที่มีอยู่นั้น ล้วนถูกย้ายไปเป็นพาหนะชั่วคราวของขุนพลระดับกลางและระดับล่างม้าที่อยู่ในค่าย ล้วนเป็นม้าล่อ!ไถนาในเวลาว่าง ช่วงสงครามก็เป็นม้าล่อส่งเสบียง!อย่าว่าแต่ม้าศึกเลย คนมากมายแม้แต่ชุดเกราะล้วนไม่มี!เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ฟังผลลัพธ์นี้ก็โมโหอัดอั้นเช่นกัน กัดฟันกล่าว “เว่ยเหวินจงเจ้าสารเลวนี่ จงใจส่งพวกคนชราอ่อนแอขี้โรคเหล่านี้ยัดเยียดให้พวกเรา!”“เรื่องนี้เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”ตู้กุยหยวนอธิบาย “ทหารทำเกษตรของทุกค่าย ล้วนสถานการณ์ไม่ต่างกัน! ดังนั้นกองทหารมณฑณทางเหนือความจริงมีทหารสามแสนกว่าคน แต่ทุกคนล้วนพูดกองทหารมณฑณทางเหนือมีทหารจำนวนสองแสน...”ในสายตาคนทั่วไป ทหารทำเกษตรเหล่านี้เดิมก็ไม่นับรวมอยู่ในกองกองทหารมณฑณทางเหนื
เมื่อหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับมาที่จวนก็เป็นเวลาดึกแล้วเยี่ยจื่อยังไม่นอน รีบร้อนวิ่งมาถามสถานการณ์“เจ้าคุยกับพี่สะใภ้เถอะ ข้าไปหาจางซู!”หยุนเจิงนวดศีรษะอย่างปวดหัว พาใจที่เหนื่อยล้าไปหาจางซูตอนที่มามีใจทะเยอทะยานแต่ความจริงตอนนี้กลับทำให้เอาเขาปวดหัว!เคาะประตูห้องของจางซู จางซูก็ยังไม่หลับเช่นกัน“สถานการณ์ไม่ดี?”เมื่อเห็นหน้าหยุนเจิง จางซูก็รู้ว่าสถานการณ์ในค่ายทหารไม่เป็นอย่างที่คิด“ไม่ใช่แค่ไม่ดี เรียกได้ว่าเน่าเฟะเลย!”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้มฝืน เล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้จางซูฟังเมื่อรู้สถานการณ์จริงของค่ายทหาร จางซูเองก็ตกใจอ้าปากค้างทหารหนึ่งหมื่นสองพันกว่านาย ทหารที่ออกรบได้มีไม่ถึงสองพัน?นี่มันเรื่องอะไรกัน!หลังจากเหม่อลอยไปนาน จางซูจึงหัวเราะแหยแล้วถาม “เช่นนั้นตอนนี้ทำเช่นไร?”“เรื่องเหล่านี้เจ้าไม่ต้องสนใจ” หยุนเจิงส่ายหน้า “เจ้าหาเงินอย่างสบายใจก็พอ! เจ้าพักผ่อนสองสามวันก่อน พักผ่อนแล้วก็ดำเนินการตามแผนการที่พวกเราตกลงกัน!”“ข้าไม่ต้องพักผ่อนแล้ว!”จางซูส่ายหน้าทันที “พรุ่งนี้ข้าจะหาสถานที่เพื่อทำโรงฝีมือ!”“สถานที่ไม่ต้องหาแล้ว” หยุนเจิงโบกมื
หยุนเจิงกระพริบตา กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มชั่ว “เจ้าหอมข้าก่อน ข้าจะบอกเจ้า!”“เจ้า...”ใบหน้างดงามของเสิ่นลั่วเยี่ยนแดง กล่าวด้วยความหงุดหงิด “เจ้าดื่มมากแล้ว! มีวิธีก็รีบพูดมา!”ไอสารเลว!ยิ่งอยู่ยิ่งหน้าไม่อายแล้ว!พวกพี่สะใภ้ยังอยู่ที่นี่ด้วย!นึกไม่ถึงว่าเขาจะบอกให้นางหอมเขา?“เจ้าก็หอมเขาสักหน่อยสิ”เมี่ยวอินดูเรื่องครึกครื้นไม่รังเกียจเรื่องใหญ่ กล่าวหยอกล้อ “ถึงเช่นไรพวกเจ้าก็เป็นสามีภรรยา ยังมีสิ่งใดต้องเกรงใจ? ให้เขาบอกวิธีออกมาเร็วหน่อย พวกเราก็จะได้วางใจเร็วหน่อย!”“จะหอมเจ้าก็หอมสิ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหน้าร้อนผ่าน มองเมี่ยวอินอย่างขุ่นเคืองเมี่ยวอินยิ้มมุมปาก เหน็บแนม “ต่อให้ข้าอยากหอมขึ้นมา แต่ข้าไม่มีชื่อไม่มีตำแหน่ง ไม่เหมาะสม! อีกอย่าง หากข้าหอมแก้มเขา ก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้าแล้ว”อย่างน้อยเมี่ยวอินก็เคยอยู่สถานกลางคือมานาน แม้เป็นนางโลมที่ไม่รับแขก แต่ก็มักได้ยินนางโลมเหล่านั้นพูดจาหยอกล้อกับแขกบ่อยๆนางไม่ได้หน้าบางเหมือนเสิ่นลั่วเยี่ยน“ข้าพิเศษ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนทั้งอายทั้งรำคาญ จึงจ้องเขม็งเมี่ยวอินเมี่ยวอินไม่ใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มยั่วไม่หยุด“พอแล้ว เจ้าเลิก
ไม่ผิดจากที่คาด หยุนเจิงมาถึงก็คิดจะเปลี่ยนตำแหน่งขุนพลน้อยใหญ่ดึงดูดความไม่พอใจของคนมากมายหยุนเจิงเพิ่งมาถึงค่ายทหาร ขุนพลน้อยใหญ่สิบคนมาหาถึงที่“ท่านอ๋อง พวกเขาล้วนเป็นได้รับคำสั่งแม่ทัพฮั่วมารักษาหน้าที่ในค่ายนี้ แม้ท่านอ๋องจะเป็นท่านอ๋อง ก็ไม่มีสิทธิ์ปลดตำแหน่งพวกเราตามใจชอบ!”“พวกพวกข้ามีความผิด ท่านอ๋องคิดจะปลดพวกเรา พวกเราจะไม่กล่าวสิ่งใดเด็ดขาด!”“ท่านอ๋องทำเช่นนี้ พวกเราไม่ยอม!”“หากท่านอ๋องคิดเอาตนเองเป็นใหญ่ พวกเราคงทำได้เพียงขอความเป็นธรรมจากแม่ทัพฮั่ว!”“ใช่ ขอให้แม่ทัพฮั่วให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา...”ทุกคนรู้สึกฮึกเหิม ไม่สนใจสถานะของหยุนเจิง รวมตัวกันเพื่อขอคำอธิบายจากหยุนเจิงท่านอ๋องแล้วอย่างไร?ขอเข้ามาในกองทัพ เขาก็เป็นเพียงขุนพลขั้นสี่เท่านั้น!เขามาถึงก็มาปลดตำแหน่งบังคับการเดิมของพวกเขาโดยไม่ถามสาเหตุ ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ยอมหรอก!“บังอาจ!”เกาเหอคำราม จ้องทุกคนอย่างเย็นชา “ใครให้ความกล้ากับพวกเจ้า กล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าท่านอ๋อง?”ทุกคนถูกเสียงตะหวาดของเกาเหอสกัดเอาไว้ จึงค่อยเงียบลง “ไม่เป็นไร! ข้าเคยบอกไว้ ใครกล้าไม่พอใจ มาหาข้าได้!”หยุนเจิงส่
“ไป เรียกพวกตู้กุยหยวนมา”หยุนเจิงสั่งเกาเหอไม่นาน ตู้กุยหยวนรีบเข้ามายังไม่ทันใด้ทำความเคารพทุกคน หยุนเจิงโบกมือกล่าว “บอกตำแหน่งหน่วยงานเดิมของพวกเจ้ากับพวกเขา!”“ขอรับ!”ทั้งสี่คนรับคำสั่งพร้อมเพรียง“ผู้บัญชาการกองทหารโลหิต ตู้กุยหยวน!”“หัวหน้ากองทหารโลหิตกองสอง อวี๋ซื่อจง!”“ข้าค่อนข้าแย่หน่อย เป็นเพียงแค่หัวหน้าหมู่กองทหารโลหิต จั่วเริ่น!”“นายกองทหารราบกองทหารเสินอู่ เฝิงอวี้!”ทั้งสี่คนพากันรายงานตำแหน่งเดิมและชื่อแซ่เมื่อได้ฟังคำของทั้งสี่คน พวกโจวจี้ซานสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก“เจ้า...เจ้าคือผู้บัญชาการตู้แห่งกองทหารโลหิต?”โจวจี้ซานมองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าตกตะลึงแม้กองทหารโลหิตจะกลายไปจากลำดับของกองทหารมณฑณทางเหนือเมื่อห้าปีก่อน แต่ผ่านไปห้าปี ชื่อเสียงของกองทหารโลหิตก็ยังคงดังชัดเจนอยู่ในหูผู้ที่สามารถเข้ากองทหารโลหิต ล้วนเป็นบุคคลหนึ่งในร้อย!ต่อให้เป็นแค่ทหารธรรมดาของกองทหารโลหิต หากอยู่ในกองอื่น อย่างไรก็เป็นนายกองที่นำทัพทหารกองร้อย!เช่นตู้กุยหยวน แม้จะนำทหารแค่ห้าร้อยคน แต่หากไม่ได้อยู่ในกองทหารโลหิต อย่างนั้นเขาก็ใกล้เคียงเป็นแม่ทัพที่บัญชาการทหา
เมืองซั่วฟางปัง!ได้ฟังรายงานจากขุนพลเหล่านั้นที่ถูกหยุนเจิงขับไล่ออกมา ฮั่วกู้พลันตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน“องค์ชายหกตัวดี!”“จิ้งเป่ยออกตัวดี!”“เขากำลังท้าทายข้าอยู่ชัดๆ!”ฮุ่วกู้คำรามด้วยสีหน้าสั่นสะท้าน ไฟโกรธในใจลุกโชนเขารับผิดชอบพิทักษ์ซั่วฟาง กิจการทหารซั่วฟางควรเป็นเขาที่ตัดสิรใจอีกทั้ง เว่ยเหวินจงได้สั่งให้เขาควบคุมทหารทำเกษตรของสองค่ายใหญ่นี่ด้วยหยุนเจิงแม้ได้รับช่วงกิจการทหารค่ายทางใต้ ก็ควรรับการควบคุมจากเขาหยุนเจิงคิดจะเปลี่ยนขุนพลน้อยใหญ่กลายเป็นคนสนิทของเขา มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้แต่ก่อนที่หยุนเจิงจะขับไล่ขุนพลเหล่านี้ ก็ควรส่งคนมาบอกเขาสักหน่อยสิ!อีกทั้ง หยุนเจิงกลับไม่มีการบอกกล่าวแม้แต่น้อย กลับปลดขุนพลเหล่านี้โดยตรงแล้ว!ง่ายๆ ก็คือไม่เห็นแม่ทัพอารักขาเมืองซั่วฟางคนนี้อยู่ในสายตา!มองสีหน้าโกรธเคืองของฮั่วกู้ รองแม่ทัพอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ “แม่ทัพ คนผู้นี้ถึงอย่างไรก็เป็นองค์ชาย ทหารค่ายทางใต้และค่ายทางเหนือเดิมก็ไม่ใช่ทัพหลักของเรา แม้ต่อให้เขาเปลี่ยนขุนพลทุกกองเป็นคนสนิทของตัวเองก็ไม่เป็นไร ไม่ควรขัดแย้งกับเขาเพราะเรื่องเล็กน้อย”ตามกฎเกณฑ์ของกองทัพ ห
พอยุ่งทีไร เวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปไวเหมือนโกหกจนกระทั่งทั้งสองวางแผนตำแหน่งของงานแต่ละฝ่ายเสร็จ หยุนเจิงถึงจะกลับฐานแต่ทว่า หยุนเจิงไม่ได้ไปพบฮั่วกู้โดยตรง เพียงแค่สั่งการเกาเหอว่า “ไปหยิบชุดเกราะทองอันล้ำค่าของข้ามา!”“ขอรับ!”เกาเหอพยักหน้าตอบรับไม่นาน เกาเหอก็นำชุดเกราะทองอันล้ำค่ามาพร้อมสวมใส่ให้กับหยุนเจิงนี่เป็นครั้งแรกที่หยุนเจิงสวมใส่หลังจากที่ได้รับพระราชทานชุดเกราะจากจักรพรรดิเหวิน“องค์ชาย ชุดเกราะนี้สง่ามากจริงๆ!”เกาเหอเอ่ยชมด้วยความจริงใจ นัยน์ตามีกลิ่นอายของความอิจฉาเผยออกมาเล็กน้อยชุดเกราะทองอันล้ำค่านี้เป็นชุดเกราะที่ล้ำค่าที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉียนแล้วทั้งกองทหารมณฑลทางเหนือ นอกจากท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์สวมชุดเกราะนี้มีไม่เกินสามคน!“เจ้าอย่าได้อิจฉาเลยนะ”หยุนเจิงหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “ข้าไม่สามารถสร้างชุดเกราะนี้ได้หรอกนะ อย่างมากก็ทำได้เพียงให้เจ้ายืมใส่ครู่หนึ่งเท่านั้น”เกาเหอได้ยินดังนั้นพลันรีบส่ายศีรษะยิ้มแห้ง “ข้าน้อยไม่กล้าใส่หรอกขอรับ”“ไม่เป็นไร!”หยุนเจิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “แอบใส่ตอนอยู่ด้วยกันให้รับรู้ถึงเกียร
แอบเก็บชุดเกราะไว้คนเดียวเทียบเท่ากับการก่อกบฎเลยนะ!คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหยุนเจิงจะกล่าวหาว่าเขาแอบเก็บชุดเกราะได้หลังจากที่สติลอยไปชั่วขณะ ฮั่วกู้ก็รีบควบคุมสติอารมณ์ของตนอย่างรวดเร็วเรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่เขาต้องกังวล!เขาไม่เคยทำเรื่องนี้!หยุนเจิงกล่าวหาว่าเขาแอบเก็บชุดเกราะ ไม่เท่ากับว่าเขาต้องแอบเก็บชุดเกราะจริงๆคิดอยากโยนความผิดฐานแอบเก็บชุดเกราะไว้คนเดียวให้กับตนนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!ฮั่วกู้รีบสงบสติอารมณ์ในแน่วแน่ แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ท่านอ๋องไม่รู้เสียแล้ว ครั้งนี้ ทหารจากกระทรวงต่างๆ ถูกระดมพลเพื่อฝึกฝน คลังแสงไม่สามารถผลิตชุดเกราะได้มากมายในคราวเดียว ไม่เพียงแต่ฝั่งท่านอ๋องเท่านั้น แต่รวมถึงกระทรวงทั้งหมดที่เข้ารับการฝึกฝนด้วย…”ทหารที่เข้าร่วมการฝึกฝนในครั้งนี้มีทั้งหมดนับแสนกว่านาย!ชุดเกราะก็เสียหายได้นะ!คนเหล่านี้ใช้งานมาห้าปีกว่าแล้ว!ชุดเกราะที่พวกเขาเก็บกลับมาที่คลังแสง ส่วนใหญ่ก็เอาไปทดแทนให้กองทหารที่เตรียมรบอยู่เสมอแล้วชุดเกราะกับอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นแตกต่างกันแต่ละเมืองแต่ละกระทรวงต่างก็มีอาวุธที่คัดเลือกโดยเฉพาะอยู่แล้วด้วยเหตุนี้ อาวุธจึง
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ