เสิ่นลั่วเยี่ยนครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบศีรษะตัวเองนึกขึ้นได้“ข้าคิดออกแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มขึ้น“คิดอันใดออกหรือ?”หยุนเจิงกล่าวถามทันที แววตาเต็มไปด้วยความรอคอยเสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มอย่างลำพองใจ และกล่าวออกมาทันทีว่า “พวกเราคิดหาทางล่อให้พวกนั้นขึ้นไปบนเขา พวกนั้นไม่มีทางขี่ม้าขึ้นภูเขาแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ต้องมีม้าว่างหลายตัวแน่ ขอเพียงแค่พวกเราแอบซ่อนตัวให้ดีไม่ให้พวกนั้นจับได้ พวกเราก็ฉวยโอกาสที่จำนวนทหารม้าของพวกเขาน้อยๆ ออกไปโจมตีโดยที่พวกนั้นไม่ทันตั้งตัว…”เสิ่นลั่วเยี่ยนบอกแผนการของตนเองให้พวกเขาฟังอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินแผนการนี้ของเสิ่นลั่วเยี่ยน พวกเขาก็ตาลุกวาวขึ้นทันที ในที่สุดหยุนเจิงก็โล่งอกไปเปราะหนึ่งในที่สุดแม่นางผู้นี้ก็ไม่ทำให้ชื่อเสียงของบุตรีขุนผลผู้แกร่งกล้าต้องอับกายขายหน้าเมื่อมีแผนการแล้ว ต่อไปก็ต้องทำตามแผนล่อทหารที่ตามไล่ล่าพวกนั้นขึ้นไปบนภูเขา อันที่จริงแล้วง่ายดายมากสิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาจะซ่อนตัวจากการตามหาของทหารเหล่านั้นได้อย่างไร ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าพวกเขาหนีขึ้นไปหลบซ่อนตัวบนภูเขาหมดแล้ว เริ่มจากการประมาทเลินเล
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ตู้กุยหยวนก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น“เช่นไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าสงสัยตู้กุยหยวนเป็นผู้บัญชาการทหารเปื้อนเลือด เป็นขุนพลที่เคยสู้รบฆ่าฟันในสนามรบจริงมาแล้ว!หยุนเจิงคิดเพ้อเจ้อ เช่นนั้นเขาก็คิดเพ้อเจ้อด้วยอย่างนั้นสิตู้กุยหยวนกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พระชายาลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าผู้ใดที่จับตัวองค์ชายหกตัวเป็นๆ ได้ จะได้รับการเลื่อนขั้นสามขั้น และทองอีกพันชั่ง…”ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าภายใต้การตบรางวัลอย่างหนักเช่นนี้ ทุกคนต้องพรวดเข้าไปตามหาบนภูเขาก่อนอย่างแน่นอนหากเป็นเช่นนี้ คนที่เฝ้าม้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเป็นแน่!อีกอย่าง ม้าศึกจำนวนมากปานนั้น หากเกิดการก่อกวนขึ้น ใช้คนเพียงแค่ไม่กี่คนฉวยโอกาสตอนที่โกลาหลขี่ม้ามาทางนี้ ก็จะเปิดโอกาสให้พวกเขาแย่งชิงม้ามาได้สำเร็จแล้ว!ภูเขาลูกนั้นที่เกาเหอกล่าวถึงแม้จะไม่มีที่หลบซ่อนตัว แต่คนหลายสิบคนสามารถหาที่หลบซ่อนได้แน่นอนตราบใดที่คนหลายสิบคนนี้สามารถก่อความวุ่นวายและขี่ม้ามาทางนี้ได้ ไม่เพียงแต่สามารถแย่งชิงม้ามาได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเหล่านั้นสูญเสียม้าศึกไปได้ด้
หยุนถิงและพวกองค์ชายทั้งสามล้วนแต่อยากแสดงฝีมือมากพวกเขามองว่านี่คือบททดสอบของเสด็จพ่อที่มอบให้กับหยุนเจิง และเป็นบททดสอบของพวกเขาด้วยเช่นกันเมื่อนึกถึงตำแหน่งองค์รัชทายาท ทั้งสามก็แทบจะบ้าคลั่งไปแล้วดูเหมือนว่าทั้งสามจะเป็นสามคนแรกที่นำหน้าทุกคนมาไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับเสื้อเกราะเหล่านั้นที่ถูกโยนระเนระนาดอยู่บนพื้นดินตามไล่ไปข้างหน้าอีกสองลี้ก็เห็นภูเขาลูกนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาทางที่มุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขามีร่องรอยเท้าอยู่เล็กน้อย แต่รอยกีบม้ากลับไปอีกทาง และทางที่มีรอยกีบม้านั้นก็มีเสื้อเกราะถูกโยนทิ้งอยู่มากกว่าเมื่อมองไปทั้งสองทาง ทั้งสามก็ครุ่นคิดอย่างหนักเห็นได้ชัดว่าหยุนเจิงและพวกจงใจจะจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเขาสับสนแต่ตอนนี้พวกเขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าหยุนเจิงแยกตัวไปทางใดกันแน่และในขณะที่พวกเขากำลังลังเลอยู่นั้น ทันใดนั้นฝูงวิหคกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบริเวณไม่ไกลกับภูเขาลูกนั้น และเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็มีเงาต้นไม้สั่นไหวอีกด้วย“แบ่งกองกำลังออกไปตามไล่ล่า!”องค์ชายรองตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ชี้ไปทางร่องรอยของกีบม้านั้นและกล่าวว่า “เจ้าห้า เจ้าไปตามทางนี้ เจ้าสี
ตอนนี้พวกเขากำลังกังวลใจจนแทบคลั่งแล้วตำแหน่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ตอนนี้ไม่เหมาะกับการหลบซ่อนตัวนัก ตราบใดที่แยกย้ายกำลังคนไปตามหา ก็จะเจอพวกเขาแล้วและทหารของเจ้าหก หากถูกจับได้ก็แค่ถูกจับขังเท่านั้นทว่า สิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลมันมากกว่านั้นองค์ชายทั้งสามปรารถนาจะจับตัวหยุนเจิงมาก จึงไม่ได้สั่งให้คนของพวกเขาไปเสาะหาบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด และไม่แม้กระทั่งคิดจะค้นหาด้วยซ้ำพวกเขาคิดว่าหยุนเจิงต้องนำคนมาแอบซ่อนตัวบนภูเขาแน่นอน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหยุนเจิงและพวกจะกล้าเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาจั่วเริ่นค่อยๆ โผล่หัวออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นผู้แก่งแย่งชิงชังกันเหล่านั้นพากองกำลังแห่ขึ้นไปบนภูเขา เขาก็แทบจะหลุดปากส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนอย่างที่พี่ใหญ่ตู้กล่าวเอาไว้ไม่มีผิด!คนพวกนี้รีบร้อนใจจะจับตัวองค์ชายหก ไม่ระมัดระวังแต่อย่างใดเลย“หัวหน้าจั่ว พวกเราจะออกไปตอนไหนหรือ?”ทหารที่อยู่ข้างกายเขากระซิบถาม“ไม่รีบร้อน”จั่วเริ่นส่ายหน้าพลางกล่าว “รอให้พวกมันเข้าไปบนภูเขาให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย กว่าพวกมันจะกลับมาเป็นกำลังเสริมคงอีกนาน โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็มีมากขึ้น
สถานที่ที่ตั้งของขบวนเสด็จจักรพรรดิเหวินแตกต่างจากหยุนเจิงและพวก จักรพรรดิเหวินในตอนนี้กำลังสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่งจักรพรรดิเหวินกำลังนั่งโดยมีขุนพลห้อมล้อม พร้อมเพรียงทั้งสุราเนื้อกับแกล้มมากมาย“หากพวกเจ้าเป็นเจ้าหก พวกเจ้าจะหนีออกมาเช่นไร?”จักรพรรดิเหวินให้ความสนใจ และใช้การประลองในวันนี้ทดสอบขุนพลเหล่านี้เมื่อได้ยินคำถามของจักรพรรดิเหวิน ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าจักรพรรดิเหวินกำลังทดสอบเพื่อเลือกหากุนซือไปร่วมศึกซั่วเป่ยชั่วครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนแต่ครุ่นคิดขึ้นมีเพียงแค่ฉินลิ่วก่านคนเดียวเท่านั้นที่กำลังซุ่มซ่ามและยังคงดื่มด่ำร่ำสุราคีบเนื้อเข้าปากอยู่ ใครสนใจก็เชิญเถอะ!อย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยคิดจะเป็นกุนซื้อด้วยซ้ำปล่อยให้พวกนั้นปวดหัวกันไปเถอะ!ตนเองได้ดื่มด่ำกินอิ่มก็พอแล้วเมื่อเห็นท่าทางนี้ของฉินลิ่วก่าน จักรพรรดิเหวินแทบอยากจะถีบตาเฒ่าผู้นี้จริงๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยปาก จักพรรดิเหวินก็เอ่ยปากกล่าวถามเซียวว่านโฉวเซียวว่านโฉวยิ้มเจื่อน “กระหม่อมมีสองวิธีพ่ะย่ะค่ะ แต่ถูกฝ่าบาทขวางเอาไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินเริ่มสนใจ ยิ้มพลา
จ้าวจี๋ยิ้มเล้กน้อย “หากกระหม่อมเป็นองค์ชายหก กระหม่อมจะแบ่งกำลังทหารออกเป็นสองกลุ่มหลังจากที่ออกเดินทางไปไม่นาน กลุ่มหนึ่งหลอกล่อความสนใจของทหารที่ตามไล่ล่า ส่วนอีกกลุ่มหาที่หลบซ่อนตัว รอให้ทหารที่ตามไล่ล่าถูกล่อออกไป รีบลงมือโจมตีฆ่าทันที ลอบโจมตีราชวงศ์เป่ยหวน ต่อให้ต้องต่อสู้จนตัวตาย ก็ยังลากราชวงศ์เป่ยหวนให้ตายไปด้วยได้…”ลอบโจมตีราชวงศ์เป่ยหวนอย่างนั้นหรือทุกคนตกใจเล็กน้อยไม่นานนัก ทุกคนก็มีการตอบสนองกลับมาราชวงศ์เป่ยหวนที่เขากล่าวถึงก็หมายถึงขบวนเสด็จของจักรพรรดิเหวินไม่ใช่หรอกหรือ?จ้าวจี๋ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่ากลับมาจับตัวจักรพรรดิเหวิน จึงทำได้เพียงแค่พูดว่าราชวงศ์เป่ยหวนแทนอย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเหวินก็เป็นคนพูดเองว่าพวกเขาคือราชวงศ์เป่ยหวนจักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ้มพลางมองไปที่จ้าวจี๋ “เจ้าจะบอกว่า พวกเขาจะจับตัวข้าเพื่อบีบบังคับให้ฉินชีหู่กับหยวนกุยนำกองกำลังช่วยเหลือพวกเขาและปล่อยให้ผ่านแนวป้องกันประตูทิศตะวันออกไปอย่างนั้นหรือ?”“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”จ้าวจี๋รีบส่ายหน้าปฏิเสธเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาไม่กล้ายอมรับ
บุกเข้าไป!จับตัวเสด็จพ่อ!เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันทีแย่แล้ว!มีองค์ชายบางคนฉวยโอกาสนี้ก่อกบฏ!ฉินลิ่วก่านคว้าตัวจักรพรรดิเหวินไปด้านหลังตน ตะโกนด้วยความโกรธว่า “คุ้มกันเร็วเข้า!”ชิ้ง…ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินลิ่วก่าน ราชองครักษ์นับร้อยก็ชักดาบออกมาไปคุ้มกันจักรพรรดิเหวินทันทีจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่งหนเมื่อเห็นแสงสะท้อนของดาบนั้นเปล่งประกายออกมา สีหน้าของหยุนเจิงก็ดำคล้ำขึ้นทันทีบัดซบเอ้ย!อย่าถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันเลย!หยุนเจิงกำลังจะตะโกนบอกให้กองกำลังหยุด แต่ตู้กุยหยวนส่งเสียงตะโกนออกมาแล้วว่า “ปิดล้อมเอาไว้ทั้งสองข้าง ห้ามต่อสู้ระยะประชิดโดยเด็ดขาด!”ในขณะที่กล่าวนั้น ตู้กุยหยวนโบกไม้โบกมือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็วหยุนเจิงเองก็รีบตะโกนบอกจักรพรรดิเสียงดังลั่นว่า “เสด็จพ่อ! นี่เป็นการแสดงจำลองเหตุการณ์เท่านั้น อย่าใช้อาวุธนะพ่ะย่ะค่ะ!”อย่าใช้อาวุธอย่างนั้นหรือ?เมื่อได้ยินเสียงของหยุนเจิง ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น“เป็นพวกของเจ้าหกหรือ!”การตอบสนองแรกของจักรพรรดิเหวินคือรับสั่งให้องครักษ์ทุกคนหยุด “เก็บอาวุธ! ทุกคนเก็บ
“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งจบการประลองเลย” ฉินลิ่วก่านตะคอกออกมาว่า “อย่ามองแค่ว่ากองกำลังของพวกเขาจำนวนมากและจะได้เปรียบมาก หากลงมือขึ้นมาจริงๆ พวกเขายังไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราเลยด้วยซ้ำ!”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉินลิ่วก่าน ขุนพลทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยคำพูดนี้ของฉินลิ่วก่านไม่ใช่เป็นคำพูดคุยโวโอ้อวดราชองครักษ์เหล่านี้ของจักรพรรดิเหวินแต่ละคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นขุนพลอย่างฉินลิ่วก่านและเซียวว่านโฉวเหล่านี้ แม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว แต่ครั้งยังหนุ่มพวกเขาเป็นขุนพลที่โหดร้ายมาก พวกเขาเพียงแค่คนเดียวสามารถรับมือกับศัตรูจำนวนยี่สิบสามสิบคนได้ในคราเดียวกันโดยไม่ใช่ปัญหา และต่อให้หยุนเจิงกับพวกโจมตีมา พวกเขาก็สามารถรับมือได้จนกว่ากองกำลังสนับสนุนจะมาถึง“ไม่ต้องเสียเวลาหรอก!”จักรพรรดิเหวินโบกมือพลางกล่าว “เดิมทีพวกเขาก็เสียเปรียบอยู่แล้ว ด้วยกำลังพลที่น้อยเช่นนี้แต่สามารถแย่งชิงม้าศึกมาได้มากถึงเพียงนี้ แถมยังห้อมล้อมพวกเราเอาไว้ได้อีก นับว่าพวกเขาชนะแล้ว! อีกอย่าง ภายใต้สถานการณ์ที่ห้ามใช้อาวุธเช่นนี้ หากอยู่ในสนามรบจริง เพียงแค่พวกเขายิงธนูเข้ามา เจ้ากล้ารับประกันหรือว่