และในตอนนี้เอง จู่ๆ ตู้กุยหยวนก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น“เช่นไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าสงสัยตู้กุยหยวนเป็นผู้บัญชาการทหารเปื้อนเลือด เป็นขุนพลที่เคยสู้รบฆ่าฟันในสนามรบจริงมาแล้ว!หยุนเจิงคิดเพ้อเจ้อ เช่นนั้นเขาก็คิดเพ้อเจ้อด้วยอย่างนั้นสิตู้กุยหยวนกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พระชายาลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าผู้ใดที่จับตัวองค์ชายหกตัวเป็นๆ ได้ จะได้รับการเลื่อนขั้นสามขั้น และทองอีกพันชั่ง…”ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าภายใต้การตบรางวัลอย่างหนักเช่นนี้ ทุกคนต้องพรวดเข้าไปตามหาบนภูเขาก่อนอย่างแน่นอนหากเป็นเช่นนี้ คนที่เฝ้าม้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเป็นแน่!อีกอย่าง ม้าศึกจำนวนมากปานนั้น หากเกิดการก่อกวนขึ้น ใช้คนเพียงแค่ไม่กี่คนฉวยโอกาสตอนที่โกลาหลขี่ม้ามาทางนี้ ก็จะเปิดโอกาสให้พวกเขาแย่งชิงม้ามาได้สำเร็จแล้ว!ภูเขาลูกนั้นที่เกาเหอกล่าวถึงแม้จะไม่มีที่หลบซ่อนตัว แต่คนหลายสิบคนสามารถหาที่หลบซ่อนได้แน่นอนตราบใดที่คนหลายสิบคนนี้สามารถก่อความวุ่นวายและขี่ม้ามาทางนี้ได้ ไม่เพียงแต่สามารถแย่งชิงม้ามาได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเหล่านั้นสูญเสียม้าศึกไปได้ด้
หยุนถิงและพวกองค์ชายทั้งสามล้วนแต่อยากแสดงฝีมือมากพวกเขามองว่านี่คือบททดสอบของเสด็จพ่อที่มอบให้กับหยุนเจิง และเป็นบททดสอบของพวกเขาด้วยเช่นกันเมื่อนึกถึงตำแหน่งองค์รัชทายาท ทั้งสามก็แทบจะบ้าคลั่งไปแล้วดูเหมือนว่าทั้งสามจะเป็นสามคนแรกที่นำหน้าทุกคนมาไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับเสื้อเกราะเหล่านั้นที่ถูกโยนระเนระนาดอยู่บนพื้นดินตามไล่ไปข้างหน้าอีกสองลี้ก็เห็นภูเขาลูกนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาทางที่มุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขามีร่องรอยเท้าอยู่เล็กน้อย แต่รอยกีบม้ากลับไปอีกทาง และทางที่มีรอยกีบม้านั้นก็มีเสื้อเกราะถูกโยนทิ้งอยู่มากกว่าเมื่อมองไปทั้งสองทาง ทั้งสามก็ครุ่นคิดอย่างหนักเห็นได้ชัดว่าหยุนเจิงและพวกจงใจจะจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเขาสับสนแต่ตอนนี้พวกเขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าหยุนเจิงแยกตัวไปทางใดกันแน่และในขณะที่พวกเขากำลังลังเลอยู่นั้น ทันใดนั้นฝูงวิหคกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบริเวณไม่ไกลกับภูเขาลูกนั้น และเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็มีเงาต้นไม้สั่นไหวอีกด้วย“แบ่งกองกำลังออกไปตามไล่ล่า!”องค์ชายรองตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ชี้ไปทางร่องรอยของกีบม้านั้นและกล่าวว่า “เจ้าห้า เจ้าไปตามทางนี้ เจ้าสี
ตอนนี้พวกเขากำลังกังวลใจจนแทบคลั่งแล้วตำแหน่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ตอนนี้ไม่เหมาะกับการหลบซ่อนตัวนัก ตราบใดที่แยกย้ายกำลังคนไปตามหา ก็จะเจอพวกเขาแล้วและทหารของเจ้าหก หากถูกจับได้ก็แค่ถูกจับขังเท่านั้นทว่า สิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลมันมากกว่านั้นองค์ชายทั้งสามปรารถนาจะจับตัวหยุนเจิงมาก จึงไม่ได้สั่งให้คนของพวกเขาไปเสาะหาบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด และไม่แม้กระทั่งคิดจะค้นหาด้วยซ้ำพวกเขาคิดว่าหยุนเจิงต้องนำคนมาแอบซ่อนตัวบนภูเขาแน่นอน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหยุนเจิงและพวกจะกล้าเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาจั่วเริ่นค่อยๆ โผล่หัวออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นผู้แก่งแย่งชิงชังกันเหล่านั้นพากองกำลังแห่ขึ้นไปบนภูเขา เขาก็แทบจะหลุดปากส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนอย่างที่พี่ใหญ่ตู้กล่าวเอาไว้ไม่มีผิด!คนพวกนี้รีบร้อนใจจะจับตัวองค์ชายหก ไม่ระมัดระวังแต่อย่างใดเลย“หัวหน้าจั่ว พวกเราจะออกไปตอนไหนหรือ?”ทหารที่อยู่ข้างกายเขากระซิบถาม“ไม่รีบร้อน”จั่วเริ่นส่ายหน้าพลางกล่าว “รอให้พวกมันเข้าไปบนภูเขาให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย กว่าพวกมันจะกลับมาเป็นกำลังเสริมคงอีกนาน โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็มีมากขึ้น
สถานที่ที่ตั้งของขบวนเสด็จจักรพรรดิเหวินแตกต่างจากหยุนเจิงและพวก จักรพรรดิเหวินในตอนนี้กำลังสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่งจักรพรรดิเหวินกำลังนั่งโดยมีขุนพลห้อมล้อม พร้อมเพรียงทั้งสุราเนื้อกับแกล้มมากมาย“หากพวกเจ้าเป็นเจ้าหก พวกเจ้าจะหนีออกมาเช่นไร?”จักรพรรดิเหวินให้ความสนใจ และใช้การประลองในวันนี้ทดสอบขุนพลเหล่านี้เมื่อได้ยินคำถามของจักรพรรดิเหวิน ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าจักรพรรดิเหวินกำลังทดสอบเพื่อเลือกหากุนซือไปร่วมศึกซั่วเป่ยชั่วครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนแต่ครุ่นคิดขึ้นมีเพียงแค่ฉินลิ่วก่านคนเดียวเท่านั้นที่กำลังซุ่มซ่ามและยังคงดื่มด่ำร่ำสุราคีบเนื้อเข้าปากอยู่ ใครสนใจก็เชิญเถอะ!อย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยคิดจะเป็นกุนซื้อด้วยซ้ำปล่อยให้พวกนั้นปวดหัวกันไปเถอะ!ตนเองได้ดื่มด่ำกินอิ่มก็พอแล้วเมื่อเห็นท่าทางนี้ของฉินลิ่วก่าน จักรพรรดิเหวินแทบอยากจะถีบตาเฒ่าผู้นี้จริงๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยปาก จักพรรดิเหวินก็เอ่ยปากกล่าวถามเซียวว่านโฉวเซียวว่านโฉวยิ้มเจื่อน “กระหม่อมมีสองวิธีพ่ะย่ะค่ะ แต่ถูกฝ่าบาทขวางเอาไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินเริ่มสนใจ ยิ้มพลา
จ้าวจี๋ยิ้มเล้กน้อย “หากกระหม่อมเป็นองค์ชายหก กระหม่อมจะแบ่งกำลังทหารออกเป็นสองกลุ่มหลังจากที่ออกเดินทางไปไม่นาน กลุ่มหนึ่งหลอกล่อความสนใจของทหารที่ตามไล่ล่า ส่วนอีกกลุ่มหาที่หลบซ่อนตัว รอให้ทหารที่ตามไล่ล่าถูกล่อออกไป รีบลงมือโจมตีฆ่าทันที ลอบโจมตีราชวงศ์เป่ยหวน ต่อให้ต้องต่อสู้จนตัวตาย ก็ยังลากราชวงศ์เป่ยหวนให้ตายไปด้วยได้…”ลอบโจมตีราชวงศ์เป่ยหวนอย่างนั้นหรือทุกคนตกใจเล็กน้อยไม่นานนัก ทุกคนก็มีการตอบสนองกลับมาราชวงศ์เป่ยหวนที่เขากล่าวถึงก็หมายถึงขบวนเสด็จของจักรพรรดิเหวินไม่ใช่หรอกหรือ?จ้าวจี๋ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่ากลับมาจับตัวจักรพรรดิเหวิน จึงทำได้เพียงแค่พูดว่าราชวงศ์เป่ยหวนแทนอย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเหวินก็เป็นคนพูดเองว่าพวกเขาคือราชวงศ์เป่ยหวนจักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ้มพลางมองไปที่จ้าวจี๋ “เจ้าจะบอกว่า พวกเขาจะจับตัวข้าเพื่อบีบบังคับให้ฉินชีหู่กับหยวนกุยนำกองกำลังช่วยเหลือพวกเขาและปล่อยให้ผ่านแนวป้องกันประตูทิศตะวันออกไปอย่างนั้นหรือ?”“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”จ้าวจี๋รีบส่ายหน้าปฏิเสธเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาไม่กล้ายอมรับ
บุกเข้าไป!จับตัวเสด็จพ่อ!เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันทีแย่แล้ว!มีองค์ชายบางคนฉวยโอกาสนี้ก่อกบฏ!ฉินลิ่วก่านคว้าตัวจักรพรรดิเหวินไปด้านหลังตน ตะโกนด้วยความโกรธว่า “คุ้มกันเร็วเข้า!”ชิ้ง…ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินลิ่วก่าน ราชองครักษ์นับร้อยก็ชักดาบออกมาไปคุ้มกันจักรพรรดิเหวินทันทีจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่งหนเมื่อเห็นแสงสะท้อนของดาบนั้นเปล่งประกายออกมา สีหน้าของหยุนเจิงก็ดำคล้ำขึ้นทันทีบัดซบเอ้ย!อย่าถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันเลย!หยุนเจิงกำลังจะตะโกนบอกให้กองกำลังหยุด แต่ตู้กุยหยวนส่งเสียงตะโกนออกมาแล้วว่า “ปิดล้อมเอาไว้ทั้งสองข้าง ห้ามต่อสู้ระยะประชิดโดยเด็ดขาด!”ในขณะที่กล่าวนั้น ตู้กุยหยวนโบกไม้โบกมือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็วหยุนเจิงเองก็รีบตะโกนบอกจักรพรรดิเสียงดังลั่นว่า “เสด็จพ่อ! นี่เป็นการแสดงจำลองเหตุการณ์เท่านั้น อย่าใช้อาวุธนะพ่ะย่ะค่ะ!”อย่าใช้อาวุธอย่างนั้นหรือ?เมื่อได้ยินเสียงของหยุนเจิง ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น“เป็นพวกของเจ้าหกหรือ!”การตอบสนองแรกของจักรพรรดิเหวินคือรับสั่งให้องครักษ์ทุกคนหยุด “เก็บอาวุธ! ทุกคนเก็บ
“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งจบการประลองเลย” ฉินลิ่วก่านตะคอกออกมาว่า “อย่ามองแค่ว่ากองกำลังของพวกเขาจำนวนมากและจะได้เปรียบมาก หากลงมือขึ้นมาจริงๆ พวกเขายังไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราเลยด้วยซ้ำ!”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉินลิ่วก่าน ขุนพลทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยคำพูดนี้ของฉินลิ่วก่านไม่ใช่เป็นคำพูดคุยโวโอ้อวดราชองครักษ์เหล่านี้ของจักรพรรดิเหวินแต่ละคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นขุนพลอย่างฉินลิ่วก่านและเซียวว่านโฉวเหล่านี้ แม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว แต่ครั้งยังหนุ่มพวกเขาเป็นขุนพลที่โหดร้ายมาก พวกเขาเพียงแค่คนเดียวสามารถรับมือกับศัตรูจำนวนยี่สิบสามสิบคนได้ในคราเดียวกันโดยไม่ใช่ปัญหา และต่อให้หยุนเจิงกับพวกโจมตีมา พวกเขาก็สามารถรับมือได้จนกว่ากองกำลังสนับสนุนจะมาถึง“ไม่ต้องเสียเวลาหรอก!”จักรพรรดิเหวินโบกมือพลางกล่าว “เดิมทีพวกเขาก็เสียเปรียบอยู่แล้ว ด้วยกำลังพลที่น้อยเช่นนี้แต่สามารถแย่งชิงม้าศึกมาได้มากถึงเพียงนี้ แถมยังห้อมล้อมพวกเราเอาไว้ได้อีก นับว่าพวกเขาชนะแล้ว! อีกอย่าง ภายใต้สถานการณ์ที่ห้ามใช้อาวุธเช่นนี้ หากอยู่ในสนามรบจริง เพียงแค่พวกเขายิงธนูเข้ามา เจ้ากล้ารับประกันหรือว่
ควันแจ้งเหตุหรือ?เมื่อได้ยินคำถามนี้ของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งไม่นานนักจักรพรรดิเหวินก็ตั้งสติ และกล่าวถามด้วยสีหน้าดำคล้ำว่า “พวกเจ้าคิดจะจุดควันแจ้งเหตุส่งสัญญาณเพื่อให้กองกำลังทหารเคลื่อนกำลังพลมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงยิ้มเจื่อน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆจักรพรรดิเหวินหัวเราะด้วยความโกรธ ก่อนจะกวักมือเรียกหยุนเจิง “เจ้ามานี่ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำอันใดเจ้า!”เจ้าบ้านี่!นี่เขาคิดจะจุดควันแจ้งเหตุอย่างนั้นหรือ?ราชองครักษ์ที่ติดตามเขาพกมูลสุนัขจิ้งจอกจุดควันแจ้งเหตุอยู่แต่ควันแจ้งเหตุเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดจะจุดแล้วจะจุดได้ หากจุดควันแจ้งเหตุขึ้น ไม่เพียงแค่กองกำลังของฉินชีหู่และพวกเท่านั้นที่เคลื่อนกำลังพลมาทหารวังหกหน่วยก็ล้วนแต่เคลื่อนย้ายกำลังพลมาเป็นแน่!เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าทั้งเมืองหลวงต้องเกิดความโกลาหลขึ้นเป็นแน่“อ้อ…”หยุนเจิงสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย รีบโบกมือพลางกล่าวว่า “คิดเสียว่าลูกไม่ได้พูดก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”ตาเฒ่า!วรยุทธ์ไม่เก่งกาจ แต่สติปัญญาล้ำเลิศ!จักรรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าน่าขำ และกล่าวถามว่า “นี่เป็น
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห