พันธุ์สุนัขนี่!คิดจะมาให้ของที่นี่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จริงด้วย!ไอ้โง่ทั้งสามเอ๊ย!ตนเล่นไพ่นกกระจอกเป็นตั้งแต่หกขวบแล้ว!พวกเขายังกล้ามาเล่นไพ่นกกระจอกกับตนอีก?ไอ้โง่ที่ส่งตัวมาให้เปล่าๆ เช่นนี้ หากไม่หลอกสักนิดคงรู้สึกผิดกับตนเองแย่!“ไม่…ไม่ดีหรอกกระมัง?”หยุนเจิงเกาศีรษะกล่าวอย่างลังเล “หากเสด็จพ่อรู้ว่าเราเล่นพนันกันจะต้องถูกลงโทษนะ”“นี่จะเรียกว่าเป็นการพนันได้อย่างไร?”องค์ชายสองส่ายศีรษะหัวเราะพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่อเองก็ลงเงินเล่นกับเหล่าพระสนมเช่นกัน เขาจะถือโทษเราได้อย่างไร?”“เช่นนี้นี่เอง”หยุนเจิงครุ่นคิดอีกครั้งพลางเอ่ยลองเชิงว่า “เช่นนั้นเราลงเงินจำนวนน้อยๆ หน่อยแล้วกัน ข้าจนจริงๆ”“ไม่มีปัญหา”หยุนถิงหัวเราะฮ่าๆ “พวกเราเองก็มาเพื่อเล่นเป็นเพื่อนเจ้าให้เจ้าคุ้นเคยเท่านั้น ลงพนันสักหน่อยก็เพื่อความสนุก ไม่จำเป็นต้องลงเงินเยอะหรอก”“เช่นนั้นเราเล่นตาละหนึ่งตำลึงได้หรือไม่?” หยุนเจิงทำท่ากลัวแพ้“หนึ่งตำลึง? เจ้าขี้งกเกินไปหน่อยกระมัง?”หยุนถิงไม่ชอบใจ “อย่างไรก็ต้องลงอย่างน้อยห้าตำลึงสิ!”“อะไรนะ? ห้าสิบตำลึง?”หยุนเจิงตกใจสะท้าน และส่ายศีรษะราวกับของ
หลังจากเหม่อไปชั่วขณะ หยุนถิงก็อดหัวเราะไม่ได้อีก“เจ้าหก เจ้าต้องดูให้ดีๆ นะ! ดูผิดจะแพ้เอานะ”หยุนถิงไม่เชื่อว่าหยุนเจิงจะจั่วได้เทียนหู (รูปแบบการชนะของไพ่นกกระจอก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก)เทียนหูมีหรือจะได้มาง่ายๆ เขาคิดจริงๆ หรือว่าเขาที่ใกล้จะได้เป็นเจ้าบ่าวแล้ว จะโชคดีขนาดนั้น?“ถูกต้อง เจ้าหก เจ้าดูดีๆ ล่ะ ถ้าดูผิดจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราสามคนนะ!”“อย่าหาว่าเรารังแกเจ้านะ เจ้าตรวจดูดีๆ จะดีกว่า”องค์ชายรองและองค์ชายห้าก็เห็นคล้อยตามเช่นกันแน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าหยุนเจิงจะเจอชุดไพ่ดีๆ แบบเทียนหูได้หลังจากหยุนเจิงได้ยินดังนี้ ก็ก้มลงดูอย่างซื่อๆ ทันทีจากนั้น เขาก็วางไพ่ลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ข้าได้เทียนหูจริงๆ”“ดีๆ!”หยุนถิงหัวเราะ “เช่นนั้น มารอตรวจสอบไพ่ทีหลังกัน!”ว่าแล้วหยุนถิงก็เริ่มเปิดไพ่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่เชื่อว่าหยุนเจิงจะได้เทียนหูไม่นานไพ่ตานี้ก็จบลงพวกเขาทั้งสามแทบรอไม่ไหวที่จะตรวจสอบไพ่ของหยุนเจิงขณะที่กำลังดูๆ อยู่ สีหน้าของทั้งสามคนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเทียนหู!เขาได้เทียนหูจริงๆ งั้นหรือ?เศษสวะนี่ โชคดีขนาดนี้ได้อย่างไรทั้งสาม
“อืม สี่พันตำลึงกว่าแล้ว”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมกับหัวเราะแหะๆ เหมือนคนโง่“เจ้าในฐานะเจ้าบ่าวใหม่ ช่างโชคดีจริงๆ!”องค์ชายห้าหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าโชคดีขนาดนี้ พวกเราก็ลงเดิมพันให้มากขึ้นอีกดีหรือไม่”คำพูดขององค์ชายที่ห้าได้รับความเห็นชอบจากองค์ชายรองและหยุนถิงทันทีทั้งสามคนรวมกัน อย่าให้ต่ำกว่ายี่สิบตำลึง เล่นห้าสิบตำลึงไปเลยหยุนเจิงแสร้งทำเป็นโอ้เอ้ให้พวกเขาพูดโน้มน้าว ในที่สุดก็ถูกบังคับให้ตกลงเจ้าทึ่มสามคนนี้ คิดจะเอาทุนคืนงั้นหรือด้วยระดับสติปัญญาของพวกเขา ต่อให้ตัวเองหลับตาข้างหนึ่งเล่นกับพวกเขา พวกเขาก็มีแต่จะแพ้!จากนั้นทั้งสี่คนก็เล่นไพ่นกกระจอกไปด้วยกินดื่มไปด้วยขั้นต่ำในการลงเดิมพันแต่ละตากลายเป็นห้าสิบตำลึง จำนวนสูงสุดก็เปลี่ยนเป็นสี่ร้อยตำลึงนี่เป็นการพนันครั้งใหญ่อย่างแน่นอนเพื่อค่าใช้จ่ายทางทหารในอนาคต หยุนเจิงจึงต้องพยายามอย่างหนักหนึ่งชั่วยามต่อมา องค์ชายห้าเสียเงินหนึ่งหมื่นตำลึงไปหมดเกลี้ยง แถมยังติดหนี้หยุนเจิงสองร้อยตำลึง“พี่ห้า ท่านแพ้แล้ว วันนี้เราพอเท่านี้เถอะ?”หยุนเจิงเตือนองค์ชายห้าอย่างใจดี “ท่านโชคไม่ดี หยุดเล่นดีกว่า”
“เสด็จพี่ทั้งสาม เล่นต่อไม่ได้แล้ว เงินจำนวนนี้ ให้แล้วไปเถอะ…”เมื่อถึงเกือบเที่ยงคืน หยุนเจิงก็บอกให้หยุดอีกเจ้าทึ่มสามคนนี้แพ้จนหมดตูดแล้ว ยิ่งอยากถอนทุนคืนเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียมากขึ้นเท่านั้นทั้งสามไม่เพียงเสียตั๋วเงินที่นำมาจนหมดหน้าตักเท่านั้น ทว่าแต่ละคนยังติดหนี้หยุนเจิงสองหมื่นตำลึงอีกด้วย“เล่น เล่นต่อ!”ดวงตาของหยุนถิงแห้งผาก แต่ยังคงยืนกรานที่จะเล่นต่อเขาไม่เชื่อว่าเจ้าหกโง่เง่าคนนี้จะโชคดีตลอด!“เล่นไม่ได้แล้วจริงๆ”หยุนเจิงหาว พูดว่า “ใกล้เที่ยงคืนแล้ว พรุ่งนี้วันแต่งงานของข้ายังมีธุระให้จัดการอีกมาก ถ้าทำให้เสียงานใหญ่ แล้วเสด็จพ่อซักไซ้ขึ้นมา เกรงว่าพวกเราทั้งสี่คนจะเดือดร้อนกันหมด...”“ข้า...”หยุนถิงอึกอัก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเขารู้ว่าที่หยุนเจิงพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหากทำให้งานแต่งงานเสียหาย คงเดือดร้อนแน่นอน!หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสามคนก็จากไปด้วยความเดือดดาล “เสด็จพี่ทั้งสามเดินทางกลับดีๆ...”หยุนเจิงส่งทั้งสามคนออกจากจวน และกล่าวคำอำลาด้วยรอยยิ้ม“ไอ้บ้านี่!”หยุนถิงกัดฟันก่นด่า แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยความโกรธองค์ชายที่รองและองค์ชายห
หลายครั้งแล้วที่เขาเกือบงีบหลับไปแม่งเอ๊ย!ของเล่นอย่างไพ่นกกระจอกต้องเล่นให้น้อยลงจริงๆ!แม้จะเป็นเพียงการเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ก็ควรเล่นให้น้อยลง!เสียการเสียงานเกินไปมาก!หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว หยุนเจิงยังต้องไปน้อมทักทายจักรพรรดิเหวินและฮองเฮาในวัง จากนั้นค่อยเดินทางออกจากในวัง และมุ่งหน้าไปรับตัวเจ้าสาวที่ตระกูลเสิ่น สุดท้ายก็รับตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับมาที่จวนของตัวเอง“ลูกขอน้อมทักทายเสด็จพ่อและพระนางฮองเฮา...”หยุนเจิงมาถึงด้านในวัง จึงคุกเข่าคารวะจักรพรรดิเหวินและฮองเฮาเสด็จแม่ของเขาชิ้นพระชนม์ไปแล้ว วันนี้ไม่ว่าน้อมทักทายหรือว่ากราบไหว้ฟ้าดินเพื่อการแต่งงาน ล้วนต้องมีฮองเฮารับบทเป็นแม่ชั่วคราวความจริงแล้ว ฮองเฮาก็คือแม่ผู้ดูแลผู้คนทั้งโลกด้วยความรัก การรับบทบาทเพียงชั่วคราวก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม“ลุกขึ้นเถอะ!”จักรพรรดิเหวินโบกมือ และขมวดคิ้วถามหยุนเจิงว่า “เจ้าหก วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้? เมื่อคืนเจ้าไปขโมยวัวที่บ้านผู้ใดมาอีกงั้นหรือ?”หยุนเจิงรีบฉีกยิ้มทันที “ทูลเสด็จพ่อ เมื่อคืนลูกนอนไม่ค่อยหลับ...”“หา?”
ณ จวนองค์ชายหก วินาทีนี้ก็คึกคักเป็นพิเศษเช่นกันวันนี้เป็นวันมงคลสมรสขององค์ชายหก จักรพรรดิเหวินหยุดงานในราชสำนักเป็นพิเศษต่อให้เป็นขุนนางที่ไม่ถูกกับหยุนเจิง ก็ต้องมาร่วมแสดงความยินดีด้วยตอนที่หยุนเจิงรับขบวนเจ้าสาวกลับจวนมาแล้ว ที่จวนก็มีแขกเหรื่อเยอะแยะมากมายเกี้ยวที่นั่งเจ้าสาวหยุดอยู่ที่หน้าจวน หยุนเจิงก็ลงจากม้า และรับตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนออกมาจากเกี้ยวที่นั่งเจ้าสาวหลังจากขุนนางฝ่ายพระราชพิธีกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวแล้ว ก็เริ่มขั้นตอนการรับเข้าจวนหยุนเจิงที่กำลังจะจับมือเสิ่นลั่วเยี่ยนกระโดดข้ามกระถางไฟ ทันใดนั้นเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ใช้แรงหยิกมือของเขา เพื่อแก้แค้นที่เขาพูดจาลามกด้านนอกเกี้ยวที่นั่งเจ้าสาวเมื่อครู่นี้“ซี้ด…”หยุนเจิงเจ็บจนหัวใจก็ถึงตาตุ่ม“องค์ชายหก พระองค์เป็นอะไรหรือไม่?”ขุนนางฝ่ายพระราชพิธีรีบถามขึ้น“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร”หยุนเจิงหัวเราะร่า “ข้าคงนั่งบนม้านานไปหน่อย ขาก็เลยชาเล็กน้อย”“อ้อ อ้อ...”ขุนนางพระราชพิธีไม่สงสัยเขา และนำพวกเขาเข้าสู่พิธีการเข้าจวนเสิ่นลั่วเยี่ยนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แอบได้ใจเงีย
หลังจากนั้น จักรพรรดิเหวินเดินนำกลุ่มคนมาหยุดตรงหน้าหยุนเจิงใบหน้ามีเมตตาของเสด็จพ่ออย่างจักรพรรดิเหวิน หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “เจ้าหก เสด็จพ่อเคยพูดไว้ว่า เมื่อถึงวันสำคัญของเจ้า ข้าจะให้เสด็จพี่สามและเสด็จพี่สี่ของเจ้าเตรียมของขวัญหนึ่งชิ้นที่จะทำให้เจ้าพอใจ เจ้าดูสิว่าเจ้าพอใจกับของขวัญที่พวกเขามอบให้หรือไม่ หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะจัดการพวกเขาแทนเจ้าเอง!”เมื่อได้ยินที่จักรพรรดิเหวินพูด หยุนลี่และหยุนถิงก็รีบเข้ามามอบของขวัญทันที“น้องหก ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย!”หยุนลี่เดินเข้ามา ในมืออุ้มพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ “นี่คือของขวัญที่เสด็จพี่สามอยากมอบให้เจ้าในวันแต่งงาน ขอให้เจ้าและน้องสะใภ้มีลูกชายไวๆ ขอให้อยู่ดูแลกันจนแก่เฒ่า!”“ขอบคุณเสด็จพี่สาม”หยุนเจิงรีบรับพระพุทธรูปมาตรวจดู ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “พอใจ! นี่เป็นของขวัญที่แม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ ไม่ว่าเสด็จพี่สามจะมอบของขวัญอะไรให้ ข้าก็พอใจทั้งนั้น”อื้ม ค่อนข้างหนัก ด้านในไม่กลวงแน่นอนเมื่อลองประมาณการคร่าวๆ คาดว่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบชั่ง!นี่แม่งจำเป็นต้องพอใจ!“น้องหก ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย...”
ข่าวสารเร่งด่วนจากการทหาร!คำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ ทำให้บรรยากาศที่ครึกครื้นเงียบลงทันทีไม่นานนัก นายทหารคนหนึ่งก็ถือรายงานการทหารวิ่งเข้ามา“อ่าน!”ไม่รอให้นายทหารแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิเหวิน จักรพรรดิเหวินก็ตะคอกเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่อาจรีรอได้“พ่ะย่ะค่ะ!”นายทหารไม่มัวรีรอ รีบเปิดรายงานการทหารออกทันที “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพที่ดูแลเสบียงอาหารของเราในเขตพื้นที่ทางตอนเหนือถูกทหารม้าของเป่ยหวนจุกโจมตีกะทันหัน เสบียงอาหารสามล้านหาบถูกปล้นไปจนเกลี้ยง...”เสบียงอาหารที่คุ้มกันจากฟู่โจวเพื่อไปช่วยเหนือเป่ยหวน ถูกเป่ยหวนปล้นไปหมดเกลี้ยง!นายทหารสองหมื่นนายที่คุ้มกันเสบียง บาดเจ็บและตายเกือบทั้งหมด!บรรยากาศเงียบจนน่ากลัวมีเพียงเสียงของนายทหารที่กำลังอ่านรายงานการทหาร ด้วยเสียงที่ดังกังวานไม่หยุดหย่อนแม้ว่านายทหารจะอ่านเนื้อหาของรายงานการทหารจบแล้ว แต่ตอนนี้บรรยากาศก็ยังเงียบเป็นเป่าสากจู่ๆ บรรยากาศงานรื่นเริงกลายเป็นความกดดันและน่าหดหู่อย่างมากเป่ยหวนไม่ยึดมั่นในคำมั่นสัญญา ไม่ว่าม้าศึกหรือดินแดนที่สูญเสียไป ต่างก็ไม่ยอมคืนให้ทั้งนั้น!เรียกได้ว่าใช้วิธีที่โหดร้ายแ
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ