หลังจากนั้น จักรพรรดิเหวินเดินนำกลุ่มคนมาหยุดตรงหน้าหยุนเจิงใบหน้ามีเมตตาของเสด็จพ่ออย่างจักรพรรดิเหวิน หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “เจ้าหก เสด็จพ่อเคยพูดไว้ว่า เมื่อถึงวันสำคัญของเจ้า ข้าจะให้เสด็จพี่สามและเสด็จพี่สี่ของเจ้าเตรียมของขวัญหนึ่งชิ้นที่จะทำให้เจ้าพอใจ เจ้าดูสิว่าเจ้าพอใจกับของขวัญที่พวกเขามอบให้หรือไม่ หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะจัดการพวกเขาแทนเจ้าเอง!”เมื่อได้ยินที่จักรพรรดิเหวินพูด หยุนลี่และหยุนถิงก็รีบเข้ามามอบของขวัญทันที“น้องหก ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย!”หยุนลี่เดินเข้ามา ในมืออุ้มพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ “นี่คือของขวัญที่เสด็จพี่สามอยากมอบให้เจ้าในวันแต่งงาน ขอให้เจ้าและน้องสะใภ้มีลูกชายไวๆ ขอให้อยู่ดูแลกันจนแก่เฒ่า!”“ขอบคุณเสด็จพี่สาม”หยุนเจิงรีบรับพระพุทธรูปมาตรวจดู ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “พอใจ! นี่เป็นของขวัญที่แม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ ไม่ว่าเสด็จพี่สามจะมอบของขวัญอะไรให้ ข้าก็พอใจทั้งนั้น”อื้ม ค่อนข้างหนัก ด้านในไม่กลวงแน่นอนเมื่อลองประมาณการคร่าวๆ คาดว่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบชั่ง!นี่แม่งจำเป็นต้องพอใจ!“น้องหก ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย...”
ข่าวสารเร่งด่วนจากการทหาร!คำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ ทำให้บรรยากาศที่ครึกครื้นเงียบลงทันทีไม่นานนัก นายทหารคนหนึ่งก็ถือรายงานการทหารวิ่งเข้ามา“อ่าน!”ไม่รอให้นายทหารแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิเหวิน จักรพรรดิเหวินก็ตะคอกเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่อาจรีรอได้“พ่ะย่ะค่ะ!”นายทหารไม่มัวรีรอ รีบเปิดรายงานการทหารออกทันที “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพที่ดูแลเสบียงอาหารของเราในเขตพื้นที่ทางตอนเหนือถูกทหารม้าของเป่ยหวนจุกโจมตีกะทันหัน เสบียงอาหารสามล้านหาบถูกปล้นไปจนเกลี้ยง...”เสบียงอาหารที่คุ้มกันจากฟู่โจวเพื่อไปช่วยเหนือเป่ยหวน ถูกเป่ยหวนปล้นไปหมดเกลี้ยง!นายทหารสองหมื่นนายที่คุ้มกันเสบียง บาดเจ็บและตายเกือบทั้งหมด!บรรยากาศเงียบจนน่ากลัวมีเพียงเสียงของนายทหารที่กำลังอ่านรายงานการทหาร ด้วยเสียงที่ดังกังวานไม่หยุดหย่อนแม้ว่านายทหารจะอ่านเนื้อหาของรายงานการทหารจบแล้ว แต่ตอนนี้บรรยากาศก็ยังเงียบเป็นเป่าสากจู่ๆ บรรยากาศงานรื่นเริงกลายเป็นความกดดันและน่าหดหู่อย่างมากเป่ยหวนไม่ยึดมั่นในคำมั่นสัญญา ไม่ว่าม้าศึกหรือดินแดนที่สูญเสียไป ต่างก็ไม่ยอมคืนให้ทั้งนั้น!เรียกได้ว่าใช้วิธีที่โหดร้ายแ
สวีสือฝู่ออกความเห็นอีกครั้ง “กระหม่อมขอฝ่าบาทได้โปรดระงับความโกรธเกรี้ยวไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ ใช้เวลาอีกสักสองสามปีในการเตรียมทำศึก! เมื่อพวกเราเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว ค่อยทำสงครามกำราบเป่ยหวน!”“ฝ่าบาท จิ้งกั๋วกงพูดจามีเหตุผลทีเดียว”จางฮว๋ายก็ลุกขึ้นมาสนับสนุนสวีสือฝู่ “ต้าเฉียนต้องแก้แค้นแน่นอน! แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้!”“ไม่ใช่ตอนนี้ เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อไร?” เซียวว่านโฉวตะเบ็งเสียงด้วยความโมโห “ครั้งนี้ก็ทน ครั้งหน้าก็ทน! พวกเราต้องทนไปถึงตอนไหนกัน? พวกเจ้าแต่ละคนชอบทำตัวเป็นไอ้ลูกเวรใช่หรือไม่?”เซียวว่านโฉวกำหมัดแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ความโกรธที่ลุกเป็นไฟในทรวงอกแทบเผาไหม้ทั่วทั้งตัวของเขา“อวี้กั๋วกงพูดผิดแล้ว! ไม่ใช่ว่าไม่ทำสงคราม เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา!”“เวลาของแม่เจ้าสิ! ตอนแม่เจ้าคลอดเจ้าออกมา เหตุใดจึงไม่เลือกเวลาดีๆ บ้างเล่า?”“หยาบคายนัก! นี่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ เจ้าจะมาด่ากราดข้าง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”“ข้าด่ากราดแล้วจะทำไม! หากไม่ให้ข้าด่าพวกลูกเวรที่เอาแต่หวังความสบายอย่างพวกเจ้า จะให้ข้าไปด่าใคร?”“ฝ่าบาท หากทำสงครามตอนนี้ พวกเราจะต้องเกิดการสูญเส
สุดท้าย จักรพรรดิเหวินเลือกที่จะปริปากห้ามปรามฉินลิ่วก่านสวีสือฝู่โดนฉินลิ่วก่านหยามเกียรติต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว แต่กลับทำอะไรนักเลงเฒ่าไม่ได้เลยเมื่อฟ้องร้องเขา อย่างมากก็ลงโทษด้วยการหักเงินเดือนเงินเดือนของนักเลงเฒ่าคนนี้ถูกลงโทษหักจนถึงหนึ่งร้อยปี!แม้ว่าจะลงโทษหักเงินเดือนเขาอีกสักสิบปีก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย!เมื่อนักเลงเฒ่ามาถึง อำนาจของฝ่ายสนับสนุนความปรองดองก็อ่อนแอลงทันที จนแทบไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูดเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างถูกฉินลิ่วก่านทำให้ตกใจจนไม่กล้าพูด จางฮว๋ายจึงเริ่มพูดอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท เวลานี้ไม่ควรทำสงครามจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“ปีหน้า รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในปีหน้าค่อยทำสงคราม!”“ตอนนั้น กรมโยธาก็จะสามารถรีบเร่งผลิตอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหล็กลายบุปผามากมาย!”“ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในปีหน้า กระหม่อมยินยอมที่จะมุ่งหน้าไปซั่วเป่ย แม้ต้องตายที่ซั่วเป่ยก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดาย...”จางฮว๋ายร้อนใจจนย่ำเท้าอยู่ตลอดเวลา และพูดเตือนไม่หยุดหย่อนเขาไม่ได้กลัวตาย!แต่เพราะเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะเปิดสงครามกับเป่ยหวนจริงๆ“ฝ่าบาท จางเก
ดูสิว่าเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!เกรงว่าครั้งนี้หยุนเจิงจะโมโหจนต้องกระอักเลือดแน่นอน!ความแค้นที่เขาต้องเสียเงินให้กับหยุนเจิงเมื่อวานนี้ มลายหายไปไม่น้อยในทันทีไม่นานนัก จวนองค์ชายหกที่เคยคึกคักก็เงียบเหงาลงนอกจากคนทางฝั่งตระกูลเสิ่น คนที่อยู่ต่อก็เหลือเพียงจางซูที่ว่างงานไม่มีอะไรทำเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเชียบมาก ผู้คนในจวนของหยุนเจิงต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้สีหน้าของฮูหยินเสิ่นก็ไม่ดีมากนักงานแต่งของลูกสาวคนเดียวในตระกูลเสิ่น กลับต้องเป็นแบบนี้ นางรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยแต่ทว่า เรื่องการทหารที่เร่งด่วน นางก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกันคงไม่สามารถให้จักรพรรดิเหวินและเหล่าขุนนางเพิกเฉยต่อเรื่องด่วนทางทหาร และอยู่กินดื่มต่อไปหรอกจริงไหม?“องค์ชายหก ไม่ต้องเสียใจไป”จางซูเข้ามาปลอบใจ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครก็ทำอะไรไม่ได้! ไม่เป็นไร ข้าจางซูยังว่างอยู่ วันนี้ข้าจะอยู่ดื่มกับท่านให้เต็มที่เลย!”“ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่รู้สึกผิดต่อลั่วเยี่ยน!”หยุนเจิงยักไหล่ และตบที่มือของเสิ่นลั่วเยี่ยน พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “วันหน้าข้าจะจัดงานแต่งที่ใหญ่โตเพื่อชดเชยให้แก่เจ้าแน่นอ
“องค์ชายหก อย่าได้เสียใจไปเลย ข้ามีเรื่องน่ายินดีจะบอกท่านด้วย”ก่อนเริ่มงานเลี้ยง จางซูดึงตัวหยุนเจิงมาอีกด้านข้าไม่ได้เศร้าใจมากขนาดนั้นจริงๆ!หยุนเจิงรู้สึกเบื่อหน่ายในใจ และถามว่า “เจ้าทำเงินก้อนโตได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”“องค์ชายทรงพระปรีชาจริงๆ!”จางซูประจบสอพลอ ยักคิ้วหลิ่วตาพูดว่า “องค์ชาย ครั้งนี้พวกเรารวยเละแล้วจริงๆ...”พูดจบ จางซูก็เริ่มรายงานผลให้แก่หยุนเจิงได้ฟังเขาได้พูดคุยเรื่องการค้ากับพ่อค้าหลายคนที่เขารู้จักแล้วต่อจากนี้ เขาจะเป็นคนมอบสินค้าให้พ่อค้าเหล่านั้น และพ่อค้าเหล่านั้นจะเป็นผู้นำไปจำหน่ายไม่มีเพียงแค่สบู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงของเล่นต่างๆ ที่พวกเขาทำขึ้นมาแน่นอนว่า สบู่ยังคงเป็นสิ่งที่เหล่าพ่อค้าให้ความสนใจมากที่สุดทุกคนล้วนเป็นผู้ค้าขาย รู้ดีว่าสบู่มีค่ามากที่สุดแล้วแต่พ่อค้าเหล่านั้นไม่สามารถผลิตสบู่ได้ด้วยตัวเอง จึงทำได้เพียงรับสินค้าไปจากจางซูจางซูก็อำมหิตทีเดียว สบู่ขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ ราคาที่ซื้อจากเขามากถึงห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งก้อน!เมื่อขายออกไปแล้ว ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้น!จางซูบอกว่า สบู่ไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะซื้อใช้ได้สบู
รอจนงานเลี้ยงจบลงแล้ว หยุนเจิงและเยี่ยจื่อก้ประเมินค่าของขวัญที่ได้รับตลอดทั้งคืน“พอแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้เพคะ!”เยี่ยจื่อให้หยุนเจิงดูของขวัญที่อยู่ในห้องเก็บของ และผลักหยุนเจิงออกไปด้านนอก “ลั่วเยี่ยนดื่มจนเมาแล้ว ท่านควรไปอยู่กับนาง!”องค์ชายหกก็เห็นแก่เงินจริงๆ!วันสำคัญขนาดนี้ กลับไม่ยอมเข้าห้องหอไปอยู่กับพระชายาองค์ชายหกของเขา จะวิ่งมาที่นี่เพื่ออะไรกัน? “ช่างเถอะน่า!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดิมทีนางก็ไม่มีความสุขอยู่แล้ว ตอนนี้ยังดื่มจนเมาอีก หากข้าไปหานาง ข้ากลัวว่านางจะเห็นข้าเป็นพวกจอมลวนลาม เดี๋ยวจะยิงข้าตายเสียก่อน!”เยี่ยจื่อขำพรวดออกมา “ไม่ร้ายแรงเหมือนที่ท่านพูดหรอกเพคะ! เอาล่ะ รีบออกไปได้แล้วเพคะ!”เมื่อพูดจบ เยี่ยจื่อก็ผลักหยุนเจิงออกจากห้องเก็บของไปหยุนเจิงทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเดินไปที่ห้องของตัวเองทันทีที่เข้าห้อง ก็พบว่าซินเซิงกำลังดูแลเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เมาหลับอยู่“นางตื่นแล้วหรือไม่?”หยุนเจิงกดเสียงต่ำถามซินเซิงซินเซิงพยักหน้าเบาๆ “ก่อนหน้านี้พระชายาองค์ชายตื่นขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วเพคะ ลากตัวหม่อมฉันไปฟังคำพูดคนเมา จากนั้นก็หลับไปอีกเพคะ
นอนหมอบอยู่บนโต๊ะตลอดทั้งคืน ตอนที่หยุนเจิงตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกปวดเมื่อยเอวเล็กน้อยตอนที่เขาหันหลังกลับไป ก็สบตากับเสิ่นลั่วเยี่ยนพอดี“อ้าว ตื่นแล้วงั้นหรือ?”หยุนเจิงขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองหน้าเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างมีเลศนัย ยิ้มแล้วพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ข้าควรเรียกเจ้าว่าสนมรักหรือไม่?”“ตามแต่ท่านจะเรียก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ขึ้นมานอนบนเตียง?”“ข้าไม่กล้า”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “หากช่วงที่เจ้าสะลึมสะลือ คิดว่าข้าเป็นโจรลวนลามเจ้า แล้วมาทุบตีข้าเล่า องค์ชายหกอย่างข้าคงขายหน้าแย่”“ถือว่าท่านรู้ตัวดีนเพคะ!” เสิ่นลั่วเยี่ยนเบ้ปากความจริงแล้ว นางแกล้งเมาด้วยเหตุผลนี้หากหยุนเจิงกล้าคิดเรื่องชั่วร้าย นางจะใช้ข้ออ้างในการเมาทุบตีหยุนเจิงแรงๆเพราะอย่างไรตัวเองก็ทำเพราะ “ดื่มจนเมา”!แม้ว่าฝ่าบาทจะลงโทษ ก็คงทำอะไรนางได้ไม่มากนักไม่ได้คิดว่า หยุนเจิงจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอหยุนเจิงกลอกตามองนาง ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เอาล่ะ รีบลุกขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง! อีกสักครู่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ!”โ
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ