สวีสือฝู่ออกความเห็นอีกครั้ง “กระหม่อมขอฝ่าบาทได้โปรดระงับความโกรธเกรี้ยวไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ ใช้เวลาอีกสักสองสามปีในการเตรียมทำศึก! เมื่อพวกเราเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว ค่อยทำสงครามกำราบเป่ยหวน!”“ฝ่าบาท จิ้งกั๋วกงพูดจามีเหตุผลทีเดียว”จางฮว๋ายก็ลุกขึ้นมาสนับสนุนสวีสือฝู่ “ต้าเฉียนต้องแก้แค้นแน่นอน! แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้!”“ไม่ใช่ตอนนี้ เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อไร?” เซียวว่านโฉวตะเบ็งเสียงด้วยความโมโห “ครั้งนี้ก็ทน ครั้งหน้าก็ทน! พวกเราต้องทนไปถึงตอนไหนกัน? พวกเจ้าแต่ละคนชอบทำตัวเป็นไอ้ลูกเวรใช่หรือไม่?”เซียวว่านโฉวกำหมัดแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ความโกรธที่ลุกเป็นไฟในทรวงอกแทบเผาไหม้ทั่วทั้งตัวของเขา“อวี้กั๋วกงพูดผิดแล้ว! ไม่ใช่ว่าไม่ทำสงคราม เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา!”“เวลาของแม่เจ้าสิ! ตอนแม่เจ้าคลอดเจ้าออกมา เหตุใดจึงไม่เลือกเวลาดีๆ บ้างเล่า?”“หยาบคายนัก! นี่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ เจ้าจะมาด่ากราดข้าง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”“ข้าด่ากราดแล้วจะทำไม! หากไม่ให้ข้าด่าพวกลูกเวรที่เอาแต่หวังความสบายอย่างพวกเจ้า จะให้ข้าไปด่าใคร?”“ฝ่าบาท หากทำสงครามตอนนี้ พวกเราจะต้องเกิดการสูญเส
สุดท้าย จักรพรรดิเหวินเลือกที่จะปริปากห้ามปรามฉินลิ่วก่านสวีสือฝู่โดนฉินลิ่วก่านหยามเกียรติต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว แต่กลับทำอะไรนักเลงเฒ่าไม่ได้เลยเมื่อฟ้องร้องเขา อย่างมากก็ลงโทษด้วยการหักเงินเดือนเงินเดือนของนักเลงเฒ่าคนนี้ถูกลงโทษหักจนถึงหนึ่งร้อยปี!แม้ว่าจะลงโทษหักเงินเดือนเขาอีกสักสิบปีก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย!เมื่อนักเลงเฒ่ามาถึง อำนาจของฝ่ายสนับสนุนความปรองดองก็อ่อนแอลงทันที จนแทบไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูดเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างถูกฉินลิ่วก่านทำให้ตกใจจนไม่กล้าพูด จางฮว๋ายจึงเริ่มพูดอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท เวลานี้ไม่ควรทำสงครามจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“ปีหน้า รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในปีหน้าค่อยทำสงคราม!”“ตอนนั้น กรมโยธาก็จะสามารถรีบเร่งผลิตอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหล็กลายบุปผามากมาย!”“ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในปีหน้า กระหม่อมยินยอมที่จะมุ่งหน้าไปซั่วเป่ย แม้ต้องตายที่ซั่วเป่ยก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดาย...”จางฮว๋ายร้อนใจจนย่ำเท้าอยู่ตลอดเวลา และพูดเตือนไม่หยุดหย่อนเขาไม่ได้กลัวตาย!แต่เพราะเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะเปิดสงครามกับเป่ยหวนจริงๆ“ฝ่าบาท จางเก
ดูสิว่าเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!เกรงว่าครั้งนี้หยุนเจิงจะโมโหจนต้องกระอักเลือดแน่นอน!ความแค้นที่เขาต้องเสียเงินให้กับหยุนเจิงเมื่อวานนี้ มลายหายไปไม่น้อยในทันทีไม่นานนัก จวนองค์ชายหกที่เคยคึกคักก็เงียบเหงาลงนอกจากคนทางฝั่งตระกูลเสิ่น คนที่อยู่ต่อก็เหลือเพียงจางซูที่ว่างงานไม่มีอะไรทำเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเชียบมาก ผู้คนในจวนของหยุนเจิงต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้สีหน้าของฮูหยินเสิ่นก็ไม่ดีมากนักงานแต่งของลูกสาวคนเดียวในตระกูลเสิ่น กลับต้องเป็นแบบนี้ นางรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยแต่ทว่า เรื่องการทหารที่เร่งด่วน นางก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกันคงไม่สามารถให้จักรพรรดิเหวินและเหล่าขุนนางเพิกเฉยต่อเรื่องด่วนทางทหาร และอยู่กินดื่มต่อไปหรอกจริงไหม?“องค์ชายหก ไม่ต้องเสียใจไป”จางซูเข้ามาปลอบใจ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครก็ทำอะไรไม่ได้! ไม่เป็นไร ข้าจางซูยังว่างอยู่ วันนี้ข้าจะอยู่ดื่มกับท่านให้เต็มที่เลย!”“ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่รู้สึกผิดต่อลั่วเยี่ยน!”หยุนเจิงยักไหล่ และตบที่มือของเสิ่นลั่วเยี่ยน พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “วันหน้าข้าจะจัดงานแต่งที่ใหญ่โตเพื่อชดเชยให้แก่เจ้าแน่นอ
“องค์ชายหก อย่าได้เสียใจไปเลย ข้ามีเรื่องน่ายินดีจะบอกท่านด้วย”ก่อนเริ่มงานเลี้ยง จางซูดึงตัวหยุนเจิงมาอีกด้านข้าไม่ได้เศร้าใจมากขนาดนั้นจริงๆ!หยุนเจิงรู้สึกเบื่อหน่ายในใจ และถามว่า “เจ้าทำเงินก้อนโตได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”“องค์ชายทรงพระปรีชาจริงๆ!”จางซูประจบสอพลอ ยักคิ้วหลิ่วตาพูดว่า “องค์ชาย ครั้งนี้พวกเรารวยเละแล้วจริงๆ...”พูดจบ จางซูก็เริ่มรายงานผลให้แก่หยุนเจิงได้ฟังเขาได้พูดคุยเรื่องการค้ากับพ่อค้าหลายคนที่เขารู้จักแล้วต่อจากนี้ เขาจะเป็นคนมอบสินค้าให้พ่อค้าเหล่านั้น และพ่อค้าเหล่านั้นจะเป็นผู้นำไปจำหน่ายไม่มีเพียงแค่สบู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงของเล่นต่างๆ ที่พวกเขาทำขึ้นมาแน่นอนว่า สบู่ยังคงเป็นสิ่งที่เหล่าพ่อค้าให้ความสนใจมากที่สุดทุกคนล้วนเป็นผู้ค้าขาย รู้ดีว่าสบู่มีค่ามากที่สุดแล้วแต่พ่อค้าเหล่านั้นไม่สามารถผลิตสบู่ได้ด้วยตัวเอง จึงทำได้เพียงรับสินค้าไปจากจางซูจางซูก็อำมหิตทีเดียว สบู่ขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ ราคาที่ซื้อจากเขามากถึงห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งก้อน!เมื่อขายออกไปแล้ว ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้น!จางซูบอกว่า สบู่ไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะซื้อใช้ได้สบู
รอจนงานเลี้ยงจบลงแล้ว หยุนเจิงและเยี่ยจื่อก้ประเมินค่าของขวัญที่ได้รับตลอดทั้งคืน“พอแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้เพคะ!”เยี่ยจื่อให้หยุนเจิงดูของขวัญที่อยู่ในห้องเก็บของ และผลักหยุนเจิงออกไปด้านนอก “ลั่วเยี่ยนดื่มจนเมาแล้ว ท่านควรไปอยู่กับนาง!”องค์ชายหกก็เห็นแก่เงินจริงๆ!วันสำคัญขนาดนี้ กลับไม่ยอมเข้าห้องหอไปอยู่กับพระชายาองค์ชายหกของเขา จะวิ่งมาที่นี่เพื่ออะไรกัน? “ช่างเถอะน่า!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดิมทีนางก็ไม่มีความสุขอยู่แล้ว ตอนนี้ยังดื่มจนเมาอีก หากข้าไปหานาง ข้ากลัวว่านางจะเห็นข้าเป็นพวกจอมลวนลาม เดี๋ยวจะยิงข้าตายเสียก่อน!”เยี่ยจื่อขำพรวดออกมา “ไม่ร้ายแรงเหมือนที่ท่านพูดหรอกเพคะ! เอาล่ะ รีบออกไปได้แล้วเพคะ!”เมื่อพูดจบ เยี่ยจื่อก็ผลักหยุนเจิงออกจากห้องเก็บของไปหยุนเจิงทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเดินไปที่ห้องของตัวเองทันทีที่เข้าห้อง ก็พบว่าซินเซิงกำลังดูแลเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เมาหลับอยู่“นางตื่นแล้วหรือไม่?”หยุนเจิงกดเสียงต่ำถามซินเซิงซินเซิงพยักหน้าเบาๆ “ก่อนหน้านี้พระชายาองค์ชายตื่นขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วเพคะ ลากตัวหม่อมฉันไปฟังคำพูดคนเมา จากนั้นก็หลับไปอีกเพคะ
นอนหมอบอยู่บนโต๊ะตลอดทั้งคืน ตอนที่หยุนเจิงตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกปวดเมื่อยเอวเล็กน้อยตอนที่เขาหันหลังกลับไป ก็สบตากับเสิ่นลั่วเยี่ยนพอดี“อ้าว ตื่นแล้วงั้นหรือ?”หยุนเจิงขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองหน้าเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างมีเลศนัย ยิ้มแล้วพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ข้าควรเรียกเจ้าว่าสนมรักหรือไม่?”“ตามแต่ท่านจะเรียก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ขึ้นมานอนบนเตียง?”“ข้าไม่กล้า”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “หากช่วงที่เจ้าสะลึมสะลือ คิดว่าข้าเป็นโจรลวนลามเจ้า แล้วมาทุบตีข้าเล่า องค์ชายหกอย่างข้าคงขายหน้าแย่”“ถือว่าท่านรู้ตัวดีนเพคะ!” เสิ่นลั่วเยี่ยนเบ้ปากความจริงแล้ว นางแกล้งเมาด้วยเหตุผลนี้หากหยุนเจิงกล้าคิดเรื่องชั่วร้าย นางจะใช้ข้ออ้างในการเมาทุบตีหยุนเจิงแรงๆเพราะอย่างไรตัวเองก็ทำเพราะ “ดื่มจนเมา”!แม้ว่าฝ่าบาทจะลงโทษ ก็คงทำอะไรนางได้ไม่มากนักไม่ได้คิดว่า หยุนเจิงจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอหยุนเจิงกลอกตามองนาง ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เอาล่ะ รีบลุกขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง! อีกสักครู่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ!”โ
ภักดีสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ!ต้องแสดงละครกันเสียหน่อย!เพิ่งได้รับของดีมากมาย อย่างไรก็ต้องพูดให้น่าฟังไว้ก่อนอีกอย่าง แม้ว่าเขาจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว การเรียกเขาว่าองค์ชายก็ไม่ถือว่ามีความผิดเขาเป็นท่านอ๋อง แต่ก็ยังเป็นองค์ชายหก!ตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่ว่าเป็นใครก็เรียกเขาว่า ‘องค์ชายหก’ ได้โดยไม่ผิดต่อกฎหมาย“คำพูดขององค์ชาย กระหม่อมจะกราบทูลฝ่าบาทโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว หากฝ่าบาทได้รู้ จะต้องดีพระทัยมากแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” มู่ซุ่นหัวเราะเหอะๆ และพูดอีกว่า “องค์ชายคงไม่รู้ว่า เพื่อทำลายกฎบัญญัติและแต่งตั้งองค์ชายเป็นอ๋อง วันนี้ตอนที่ฝ่าบาทเข้าประชุมในราชสำนัก พระองค์ได้มีปากเสียงกับเหล่าขุนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ...”เรื่องจริงหรือหลอกกันเนี่ย?เสด็จพ่อทะเลาะกับเหล่าขุนนางด้วยงั้นหรือ?หยุนเจิงรีบดึงตังมู่ซุ่นไปอีกด้าน และถามเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักอย่างละเอียดเมื่อฟังดูแล้ว ความจริงเรื่องราวมีเพียงนิดเดียวจักรพรรดิเหวินต้องการทำลายกฎบัญญัติเพื่อแต่งตั้งหยุนเจิงเป็นอ๋อง แน่นอนว่าต้องได้รับการคัดค้านที่ดุเดือดจากเหล่าขุนนางสุดท้าย จักรพรรดิเหวินก็แ
ในพระราชวังมู่ซุ่นกลับวังมารายงานพระบัญชา“เจ้าหกมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้ฟังพระราชโองการ?”จักรพรรดิเหวินถามมู่ซุ่นโดยไม่เงยศีรษะขึ้นมู่ซุ่นเหลือบมองฉินลิ่วก่านที่อยู่ด้านข้าง และตอบอย่างสัตย์จริงว่า “องค์ชายหกงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังพระราชโองการ ถึงขั้นที่ฟังเนื้อหาพระราชโองการด้านหลังไม่เข้าใจนัก...”งุนงง?ตกใจจนบื้อไปเลยงั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆเจ้าโง่นี่ ชอบคัดลอกบทกลอนไม่ใช่หรือ?ครั้งนี้คงพอใจแล้วสินะ!ก่อนหน้ารี้ ซั่วเป่ยไม่มีสงคราม เขาไม่ให้หยุนเจิงไปที่ซั่วเป่ยก็ย่อมได้แต่วันนี้ สงครามที่ซั่วเป่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เขาต้องการให้หยุนเจิงไปซั่วเป่ยก็คงไม่ได้แล้วนี่เป็นหลักการที่ง่ายดายอย่างมากไม่มีสงครามก็ส่งลูกชายไปที่ซั่วเป่ยได้ เมื่อมีสงครามกลับไม่ส่งลูกชายไปซั่วเป่ยเสียแล้ว ถึงตอนนั้นไพร่ฟ้าประชาชนจะมองฮ่องเต้แบบเขาอย่างไร?ลูกชายของประชาชนขึ้นสนามรบได้ แต่ลูกชายของเขาขึ้นสนามรบไม่ได้งั้นหรือ?ห้ามปากประชาชน ยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ!ในขณะที่จักรพรรดิเหวินแอบถอนหายใจ มู่ซุ่นจึงบอกเล่าคำพูดทั้งหมดของหยุนเจิงให้แก่จักรพรรดิเหวินได้ฟังจักรพรรดิเหวิน