ในพระราชวังมู่ซุ่นกลับวังมารายงานพระบัญชา“เจ้าหกมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้ฟังพระราชโองการ?”จักรพรรดิเหวินถามมู่ซุ่นโดยไม่เงยศีรษะขึ้นมู่ซุ่นเหลือบมองฉินลิ่วก่านที่อยู่ด้านข้าง และตอบอย่างสัตย์จริงว่า “องค์ชายหกงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังพระราชโองการ ถึงขั้นที่ฟังเนื้อหาพระราชโองการด้านหลังไม่เข้าใจนัก...”งุนงง?ตกใจจนบื้อไปเลยงั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆเจ้าโง่นี่ ชอบคัดลอกบทกลอนไม่ใช่หรือ?ครั้งนี้คงพอใจแล้วสินะ!ก่อนหน้ารี้ ซั่วเป่ยไม่มีสงคราม เขาไม่ให้หยุนเจิงไปที่ซั่วเป่ยก็ย่อมได้แต่วันนี้ สงครามที่ซั่วเป่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เขาต้องการให้หยุนเจิงไปซั่วเป่ยก็คงไม่ได้แล้วนี่เป็นหลักการที่ง่ายดายอย่างมากไม่มีสงครามก็ส่งลูกชายไปที่ซั่วเป่ยได้ เมื่อมีสงครามกลับไม่ส่งลูกชายไปซั่วเป่ยเสียแล้ว ถึงตอนนั้นไพร่ฟ้าประชาชนจะมองฮ่องเต้แบบเขาอย่างไร?ลูกชายของประชาชนขึ้นสนามรบได้ แต่ลูกชายของเขาขึ้นสนามรบไม่ได้งั้นหรือ?ห้ามปากประชาชน ยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ!ในขณะที่จักรพรรดิเหวินแอบถอนหายใจ มู่ซุ่นจึงบอกเล่าคำพูดทั้งหมดของหยุนเจิงให้แก่จักรพรรดิเหวินได้ฟังจักรพรรดิเหวิน
จักรพรรดิเหวินโบกมือ “วันนี้ข้าไม่ต้องการคุยเรื่องเจ้าหกกับเจ้า!”“เรื่องขององค์รัชทายาท ไม่ต้องมาถามข้า!”ฉินลิ่วก่านคาดเดาความคิดของจักรพรรดิเหวินได้ จึงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้ายอมเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งหลายเพื่อท่านได้ แต่เรื่ององค์รัชทายาท ข้าไม่มีทางยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด!”เมื่อจักรพรรดิเหวินได้ยินก็มีน้ำโห เขาจ้องฉินลิ่วก่านแล้วพูดว่า “เจ้าให้คำแนะนำกับข้าเพียงนิดเดียวจะตายหรือไม่?”“ท่านไม่รู้จักลูกชายของตัวเองดีไปกว่าข้า ผู้ซึ่งไม่เคยถามไถ่งานในราชสำนักมาตลอดห้าปีงั้นหรือ?” ฉินลิ่วก่านพูดเสียงฮึดฮัดว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจว่าท่านจะเลือกใครเป็นองค์รัชทายาท แต่ข้าผู้เฒ่าตระกูลฉินไม่มีทางแบ่งฝ่ายเด็ดขาด!”เรื่องขององค์รัชทายาท เป็นหัวข้อที่อ่อนไหวอย่างมากมาโดยตลอดฉินลิ่วก่านยังได้สัมผัสบทเรียนการแย่งชิงอำนาจที่นองเลือดและเคล้าน้ำตาของสมัยจักรพรรดิเหวินเขาติดตามจักรพรรดิเหวินมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเขาไม่อาจเลือกอะไรได้ จึงต้องยืนอยู่ฝ่ายจักรพรรดิเหวินแต่ตอนนี้ เขาสามารถเลือกได้แล้ว!เขาไม่เคยแบ่งฝ่าย และไม่เคยถามเรื่ององค์รัชทายาทเมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ข
ณ จวนองค์ชายสามเรื่องการแต่งตั้งหยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ทำให้หยุนลี่โกรธเป็นอย่างมากเขายังคงเป็นเพียงองค์ชายคนหนึ่ง!หยุนเจิงเพียงขยับตัวก็ได้เป็นถึงจิ้งเป่ยอ๋องงั้นหรือ?หากพวกเขาพบกับหยุนเจิงครั้งหน้า จำเป็นต้องเรียกเขาว่าท่านอ๋องหรือไม่?เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาทรมานเสียยิ่งกว่าอะไรดี“ไม่เป็นไร!”สวีสือฝู่หัวเราะเหอะๆ และพูดปลอบใจหยุนลี่ว่า “จิ้งเป่ยอ๋อง ไม่ได้น่าเป็นขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ! ท่านถือว่าฝ่าบาทมอบตำแหน่งให้เขาเพื่อเป็นการสาปแช่งก็ได้!”เรื่องนี้ ดูออกได้ไม่ยากผู้ที่เฉลียวฉลาดเพียงเล็กน้อยต่างก็มองออก จักรพรรดิเหวินได้เตรียมใจให้หยุนเจิงตายในสนามรบของซั่วเป่ยแล้วไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงแต่งตั้งแค่ตำแหน่ง แต่ไม่มีกองอาวุธเกียรติยศของท่านอ๋องเล่า?อย่างน้อยๆ ก็ควรสร้างจวนอ๋องให้เขาใหม่สิ?หยุนเจิงไปซั่วเป่ยก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพียงการหนีเอาชีวิตรอดแต่ตอนนี้ สงครามซั่วเป่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความสามารถของหยุนเจิงที่มีเพียงแค่นั้น การไปสนามรบก็คือการวิ่งสู่ความตาย!“ข้ารู้!”หยุนลี่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่เพียงแต่ไม่สามารถฆ่าไอ้สารเลวนี่ด้วยน้ำมือของตั
หยุนลี่รับราชโองการ และถามมู่ซุ่นด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้ามู่ เหตุใดเสด็จพ่อจึงคิดจะให้ข้าเตรียมการงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า? งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงมีสิ่งใดให้น่าเตรียมการงั้นหรือ?”งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นเพียงแค่การกินดื่ม และประพันธ์บทกลอนกันไม่ใช่หรือ?อย่างมากก็แค่หาข้าหลวงหญิงในวังมาเต้นระบำเพื่อเพิ่มความสนุกสนานเท่านั้นเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ มอบหมายงานให้คนอื่นทำก็ได้ ยังต้องเตรียมการอะไรอีก?“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นส่ายหน้าเบาๆ “ความคิดของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่กระหม่อมสามารถคาดเดาได้”“เอาเถอะ! ขอบใจหัวหน้ามู่มากนะ”หยุนลี่ทำอะไรไม่ได้ จึงตรวจดูของรางวัลและส่งมู่ซุ่นออกจากจวนด้วยตัวเองหลังจากกลับไปแล้ว หยุนลี่รีบไปหาสวีสือฝู่ และถามเรื่องนี้กับสวีสือฝู่สวีสือฝู่ไม่อาจเข้าใจความคิดของจักรพรรดิเหวินได้ในทันที แต่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน จึงทำได้เพียงให้หยุนลี่เริ่มทำงานนี้ก่อน และเขาจะลองไปคิดเพื่อมาคุยกันคราวหลังดีไม่ดี เรื่องนี้อาจมีผลตัดสินว่าหยุนลี่สามารถเป็นองค์รัชทายาทได้หรือไม่!เขาให้หยุนลี่ทำเรื่องนี
ในตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงจัดเลี้ยงรับรองเมี่ยวอินที่ตึกเต๋อเย่ว์ วันที่เขาแต่งงาน เมี่ยวอินก็ส่งของขวัญมาให้ด้วยเขาจึงควรจัดงานเลี้ยงรับรองเมี่ยวอินด้วยอาหารง่ายๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขายังกังขาเกี่ยวกับตัวตนของเมี่ยวอินอยู่เขาต้องการใช้โอกาสนี้สืบหาภูมิหลังของเมี่ยวอินตอนที่เขาแต่งงาน เมี่ยวอินฝากจางซูช่วยส่งของขวัญมาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านางต้องการประจบประแจงเขาที่เป็นองค์ชาย หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าเมี่ยวอินดูไม่ธรรมดาอย่างที่คิด“เมี่ยวอินคารวะท่านอ๋องเพคะ”ทันทีที่เมี่ยวอินเดินเข้าประตูมา นางก็คำนับหยุนเจิงเรื่องที่หยุนเจิงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องเป็นกรณีพิเศษนั้น จักรพรรดิเหวินได้ประกาศให้ใต้หล้ารู้แล้ว เมี่ยวอินจึงรู้ว่าหยุนเจิงถูกแต่งตั้งเป็นจิ้งเป่ยอ๋องเป็นธรรมดา“คุณหนูเมี่ยวอินไม่ต้องมากพิธี”หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ พูดโดยไม่ถือตัวแม้แต่น้อย “ข้าเคยชินกับการถูกเรียกว่าองค์ชายหกมากกว่า หากเดินไปตามถนน แล้วจู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาเรียกว่าท่านอ๋อง ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังเรียกข้าอยู่”“เช่นนั้นต้องขอบคุณองค์ชายแล้ว”
“ไม่มีปัญหา!”หยุนเจิงตกปากรับคำทันทีเมื่อเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี เรื่องต่อมาก็จัดการได้ง่ายขึ้นหลังกินข้าวเสร็จ หยุนเจิงได้ตามไปไถ่ตัวเมี่ยวอินไปที่ฉวินฟางย่วนทันทีเกาเหอเดินมาอยู่ข้างๆ หยุนเจิง กล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “องค์ชาย ท่านพาหญิงนางโลมกลับไปเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาจะโกรธเอา...”สิ่งที่เกาเหอพูดนับเป็นถ้อยคำที่รื่นหูทีเดียวด้วยอารมณ์ของเสิ่นลั่วเยี่ยน เขากลัวจริงๆ ว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนจะทุบตีหยุนเจิงด้วยความโมโหเสียมากกว่า“จะโกรธก็โกรธสิ!”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่สนใจ “ข้าไม่กลัวนางโกรธ กลัวแต่นางจะไม่โกรธ!”“อ๋า?”เกาเหอตกตะลึงอะไรกันนี่หยุนเจิงกลอกตามอง แล้วกระซิบด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าอยากกินเมี่ยวอินจริงๆ หรือ ที่ข้าซื้อตัวหญิงนางโลมกลับไปก็เพื่อยั่วให้ลั่วเยี่ยนโกรธ!”เป็นอย่างนั้นเองหรือ?เกาเหอมองดูเขาอย่างสงสัย แต่แล้วก็จำใจต้องพูดประจบประแจง “องค์ชายปรีชา!”หยุนเจิงยิ้มบางๆ แล้วกระซิบ “ข้ายังสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเมี่ยวอินอยู่เล็กน้อย คราวนี้นางไปอยู่ในจวนแล้ว ประเดี๋ยวกลับไปเจ้าก็ให้คนจับตาดูนางและหมิงเย่ว์ไว้ด้วย จำไว้ อย่าให้นางรู้ตัว!”“ขอรั
หยุนเจิงพาเมี่ยวอินและหมิงเย่ว์ออกไปเลยโดยไม่ให้เงินแม้แต่อีแปะเดียวเมื่อประหยัดเงินได้หลายหมื่นตำลึง หยุนเจิงก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากพาเมี่ยวอินและหมิงเย่ว์กลับจวน หยุนเจิงเพิ่งสั่งให้คนจัดแจงที่พักให้พวกนางไปหยกๆ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็มาหาแล้ว“ท่านอ๋องอารมณ์ดีจริงๆ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดจาเหน็บแนม “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายพาสาวงามสองคนจากฉวินฟางย่วนกลับมาด้วย เรียกออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ อยากรู้ว่างดงามอย่างไร!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเกือบจะอกแตกตายด้วยความโกรธนี่เป็นวันที่สองของการแต่งงานของพวกเขานะ!หยุนเจิงกลับพาหญิงนางโลมกลับมาสองคน?นี่มันไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลย!เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าหึงรึ”“หึง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเม้มปาก พูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่เห็นต้องหึงสักนิด! หากเจ้ามีปัญญา ก็นำผู้หญิงทุกคนในฉวินฟางย่วนกลับมาสิ ข้าจะไม่หึงเลย!”“หึงก็บอกว่าหึงสิ!”มุมปากของหยุนเจิงโค้งขึ้น “ถ้าเจ้าหึง ข้าจะจัดหาที่อยู่ใหม่ให้พวกนางอยู่”“ไม่ต้อง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนรีบห้ามหยุนเจิง “เป่ยจิ้งอ๋องต้องการหาอนุ ใครจะกล้าห้าม”เมื่อฟังคำพูดเย้ยห
เมี่ยวอินส่ายศีรษะซ้ำๆ นัยน์ตาฉายแววลำพองใจเงียบๆเสิ่นลั่วเยี่ยนเดินมาที่เรือนหลังด้วยอารมณ์คุกรุ่น ระบายความโกรธทั้งหมดใส่เสาไม้ที่เป็นตัวแทนของหยุนเจิงภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของเสิ่นลั่วเยี่ยน เสาไม้ก็แตกเป็นชิ้นๆ เต็มพื้นเสิ่นลั่วเยี่ยนยังไม่พอใจ ไม่ปล่อยเศษไม้ที่หักแล้วด้วยซ้ำ นางทำลายเศษไม้เหล่านั้นเป็นผุยผงเฉกเช่นการบดขยี้หยุนเจิงให้กลายเป็นเถ้าถ่านตอนที่เยี่ยจื่อรีบมาหาเพราะได้รับรายงานจากคนรับใช้ เสิ่นลั่วเยี่ยนยังคงกวัดแกว่งหอกลายเมฆทำลายเศษไม้บนพื้นระบายโทสะเรือนหลังเละเทะไปหมดเพราะฝีมือนางเมื่อเยี่ยจื่อเข้ามาใกล้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ตวัดหอกและแทงตรงไปยังเยี่ยจื่อพอนางเห็นชัดเจนว่าผู้ที่มาคือเยี่ยจื่อ นางก็รีบเก็บหอกกลับคืน“เจ้าต้องการเอาชีวิตของพี่สะใภ้งั้นหรือ!”เยี่ยจื่อมองค้อนนาง“เปล่า!” เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดด้วยความโมโห “ข้าคิดว่าเป็น...”พูดไปได้ครึ่งประโยค เสิ่นลั่วเยี่ยนก็หยุดพูด“เจ้าคิดว่าเป็นองค์ชายหกใช่ไหม”เยี่ยจื่อเม้มปากยิ้ม “เจ้ากำลังรอให้เขามาโอ๋เจ้าหรือมาขอโทษเจ้าใช่หรือไม่”“ข้าไม่สนใจหรอก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดอย่างปากแข็ง“ปากไม่ตรงกับ
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ