รอจนงานเลี้ยงจบลงแล้ว หยุนเจิงและเยี่ยจื่อก้ประเมินค่าของขวัญที่ได้รับตลอดทั้งคืน“พอแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้เพคะ!”เยี่ยจื่อให้หยุนเจิงดูของขวัญที่อยู่ในห้องเก็บของ และผลักหยุนเจิงออกไปด้านนอก “ลั่วเยี่ยนดื่มจนเมาแล้ว ท่านควรไปอยู่กับนาง!”องค์ชายหกก็เห็นแก่เงินจริงๆ!วันสำคัญขนาดนี้ กลับไม่ยอมเข้าห้องหอไปอยู่กับพระชายาองค์ชายหกของเขา จะวิ่งมาที่นี่เพื่ออะไรกัน? “ช่างเถอะน่า!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดิมทีนางก็ไม่มีความสุขอยู่แล้ว ตอนนี้ยังดื่มจนเมาอีก หากข้าไปหานาง ข้ากลัวว่านางจะเห็นข้าเป็นพวกจอมลวนลาม เดี๋ยวจะยิงข้าตายเสียก่อน!”เยี่ยจื่อขำพรวดออกมา “ไม่ร้ายแรงเหมือนที่ท่านพูดหรอกเพคะ! เอาล่ะ รีบออกไปได้แล้วเพคะ!”เมื่อพูดจบ เยี่ยจื่อก็ผลักหยุนเจิงออกจากห้องเก็บของไปหยุนเจิงทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเดินไปที่ห้องของตัวเองทันทีที่เข้าห้อง ก็พบว่าซินเซิงกำลังดูแลเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เมาหลับอยู่“นางตื่นแล้วหรือไม่?”หยุนเจิงกดเสียงต่ำถามซินเซิงซินเซิงพยักหน้าเบาๆ “ก่อนหน้านี้พระชายาองค์ชายตื่นขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วเพคะ ลากตัวหม่อมฉันไปฟังคำพูดคนเมา จากนั้นก็หลับไปอีกเพคะ
นอนหมอบอยู่บนโต๊ะตลอดทั้งคืน ตอนที่หยุนเจิงตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกปวดเมื่อยเอวเล็กน้อยตอนที่เขาหันหลังกลับไป ก็สบตากับเสิ่นลั่วเยี่ยนพอดี“อ้าว ตื่นแล้วงั้นหรือ?”หยุนเจิงขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองหน้าเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างมีเลศนัย ยิ้มแล้วพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ข้าควรเรียกเจ้าว่าสนมรักหรือไม่?”“ตามแต่ท่านจะเรียก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ขึ้นมานอนบนเตียง?”“ข้าไม่กล้า”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “หากช่วงที่เจ้าสะลึมสะลือ คิดว่าข้าเป็นโจรลวนลามเจ้า แล้วมาทุบตีข้าเล่า องค์ชายหกอย่างข้าคงขายหน้าแย่”“ถือว่าท่านรู้ตัวดีนเพคะ!” เสิ่นลั่วเยี่ยนเบ้ปากความจริงแล้ว นางแกล้งเมาด้วยเหตุผลนี้หากหยุนเจิงกล้าคิดเรื่องชั่วร้าย นางจะใช้ข้ออ้างในการเมาทุบตีหยุนเจิงแรงๆเพราะอย่างไรตัวเองก็ทำเพราะ “ดื่มจนเมา”!แม้ว่าฝ่าบาทจะลงโทษ ก็คงทำอะไรนางได้ไม่มากนักไม่ได้คิดว่า หยุนเจิงจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอหยุนเจิงกลอกตามองนาง ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เอาล่ะ รีบลุกขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง! อีกสักครู่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ!”โ
ภักดีสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ!ต้องแสดงละครกันเสียหน่อย!เพิ่งได้รับของดีมากมาย อย่างไรก็ต้องพูดให้น่าฟังไว้ก่อนอีกอย่าง แม้ว่าเขาจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว การเรียกเขาว่าองค์ชายก็ไม่ถือว่ามีความผิดเขาเป็นท่านอ๋อง แต่ก็ยังเป็นองค์ชายหก!ตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่ว่าเป็นใครก็เรียกเขาว่า ‘องค์ชายหก’ ได้โดยไม่ผิดต่อกฎหมาย“คำพูดขององค์ชาย กระหม่อมจะกราบทูลฝ่าบาทโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว หากฝ่าบาทได้รู้ จะต้องดีพระทัยมากแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” มู่ซุ่นหัวเราะเหอะๆ และพูดอีกว่า “องค์ชายคงไม่รู้ว่า เพื่อทำลายกฎบัญญัติและแต่งตั้งองค์ชายเป็นอ๋อง วันนี้ตอนที่ฝ่าบาทเข้าประชุมในราชสำนัก พระองค์ได้มีปากเสียงกับเหล่าขุนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ...”เรื่องจริงหรือหลอกกันเนี่ย?เสด็จพ่อทะเลาะกับเหล่าขุนนางด้วยงั้นหรือ?หยุนเจิงรีบดึงตังมู่ซุ่นไปอีกด้าน และถามเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักอย่างละเอียดเมื่อฟังดูแล้ว ความจริงเรื่องราวมีเพียงนิดเดียวจักรพรรดิเหวินต้องการทำลายกฎบัญญัติเพื่อแต่งตั้งหยุนเจิงเป็นอ๋อง แน่นอนว่าต้องได้รับการคัดค้านที่ดุเดือดจากเหล่าขุนนางสุดท้าย จักรพรรดิเหวินก็แ
ในพระราชวังมู่ซุ่นกลับวังมารายงานพระบัญชา“เจ้าหกมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้ฟังพระราชโองการ?”จักรพรรดิเหวินถามมู่ซุ่นโดยไม่เงยศีรษะขึ้นมู่ซุ่นเหลือบมองฉินลิ่วก่านที่อยู่ด้านข้าง และตอบอย่างสัตย์จริงว่า “องค์ชายหกงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังพระราชโองการ ถึงขั้นที่ฟังเนื้อหาพระราชโองการด้านหลังไม่เข้าใจนัก...”งุนงง?ตกใจจนบื้อไปเลยงั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆเจ้าโง่นี่ ชอบคัดลอกบทกลอนไม่ใช่หรือ?ครั้งนี้คงพอใจแล้วสินะ!ก่อนหน้ารี้ ซั่วเป่ยไม่มีสงคราม เขาไม่ให้หยุนเจิงไปที่ซั่วเป่ยก็ย่อมได้แต่วันนี้ สงครามที่ซั่วเป่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เขาต้องการให้หยุนเจิงไปซั่วเป่ยก็คงไม่ได้แล้วนี่เป็นหลักการที่ง่ายดายอย่างมากไม่มีสงครามก็ส่งลูกชายไปที่ซั่วเป่ยได้ เมื่อมีสงครามกลับไม่ส่งลูกชายไปซั่วเป่ยเสียแล้ว ถึงตอนนั้นไพร่ฟ้าประชาชนจะมองฮ่องเต้แบบเขาอย่างไร?ลูกชายของประชาชนขึ้นสนามรบได้ แต่ลูกชายของเขาขึ้นสนามรบไม่ได้งั้นหรือ?ห้ามปากประชาชน ยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ!ในขณะที่จักรพรรดิเหวินแอบถอนหายใจ มู่ซุ่นจึงบอกเล่าคำพูดทั้งหมดของหยุนเจิงให้แก่จักรพรรดิเหวินได้ฟังจักรพรรดิเหวิน
จักรพรรดิเหวินโบกมือ “วันนี้ข้าไม่ต้องการคุยเรื่องเจ้าหกกับเจ้า!”“เรื่องขององค์รัชทายาท ไม่ต้องมาถามข้า!”ฉินลิ่วก่านคาดเดาความคิดของจักรพรรดิเหวินได้ จึงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้ายอมเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งหลายเพื่อท่านได้ แต่เรื่ององค์รัชทายาท ข้าไม่มีทางยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด!”เมื่อจักรพรรดิเหวินได้ยินก็มีน้ำโห เขาจ้องฉินลิ่วก่านแล้วพูดว่า “เจ้าให้คำแนะนำกับข้าเพียงนิดเดียวจะตายหรือไม่?”“ท่านไม่รู้จักลูกชายของตัวเองดีไปกว่าข้า ผู้ซึ่งไม่เคยถามไถ่งานในราชสำนักมาตลอดห้าปีงั้นหรือ?” ฉินลิ่วก่านพูดเสียงฮึดฮัดว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจว่าท่านจะเลือกใครเป็นองค์รัชทายาท แต่ข้าผู้เฒ่าตระกูลฉินไม่มีทางแบ่งฝ่ายเด็ดขาด!”เรื่องขององค์รัชทายาท เป็นหัวข้อที่อ่อนไหวอย่างมากมาโดยตลอดฉินลิ่วก่านยังได้สัมผัสบทเรียนการแย่งชิงอำนาจที่นองเลือดและเคล้าน้ำตาของสมัยจักรพรรดิเหวินเขาติดตามจักรพรรดิเหวินมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเขาไม่อาจเลือกอะไรได้ จึงต้องยืนอยู่ฝ่ายจักรพรรดิเหวินแต่ตอนนี้ เขาสามารถเลือกได้แล้ว!เขาไม่เคยแบ่งฝ่าย และไม่เคยถามเรื่ององค์รัชทายาทเมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ข
ณ จวนองค์ชายสามเรื่องการแต่งตั้งหยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ทำให้หยุนลี่โกรธเป็นอย่างมากเขายังคงเป็นเพียงองค์ชายคนหนึ่ง!หยุนเจิงเพียงขยับตัวก็ได้เป็นถึงจิ้งเป่ยอ๋องงั้นหรือ?หากพวกเขาพบกับหยุนเจิงครั้งหน้า จำเป็นต้องเรียกเขาว่าท่านอ๋องหรือไม่?เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาทรมานเสียยิ่งกว่าอะไรดี“ไม่เป็นไร!”สวีสือฝู่หัวเราะเหอะๆ และพูดปลอบใจหยุนลี่ว่า “จิ้งเป่ยอ๋อง ไม่ได้น่าเป็นขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ! ท่านถือว่าฝ่าบาทมอบตำแหน่งให้เขาเพื่อเป็นการสาปแช่งก็ได้!”เรื่องนี้ ดูออกได้ไม่ยากผู้ที่เฉลียวฉลาดเพียงเล็กน้อยต่างก็มองออก จักรพรรดิเหวินได้เตรียมใจให้หยุนเจิงตายในสนามรบของซั่วเป่ยแล้วไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงแต่งตั้งแค่ตำแหน่ง แต่ไม่มีกองอาวุธเกียรติยศของท่านอ๋องเล่า?อย่างน้อยๆ ก็ควรสร้างจวนอ๋องให้เขาใหม่สิ?หยุนเจิงไปซั่วเป่ยก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพียงการหนีเอาชีวิตรอดแต่ตอนนี้ สงครามซั่วเป่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความสามารถของหยุนเจิงที่มีเพียงแค่นั้น การไปสนามรบก็คือการวิ่งสู่ความตาย!“ข้ารู้!”หยุนลี่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่เพียงแต่ไม่สามารถฆ่าไอ้สารเลวนี่ด้วยน้ำมือของตั
หยุนลี่รับราชโองการ และถามมู่ซุ่นด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้ามู่ เหตุใดเสด็จพ่อจึงคิดจะให้ข้าเตรียมการงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า? งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงมีสิ่งใดให้น่าเตรียมการงั้นหรือ?”งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นเพียงแค่การกินดื่ม และประพันธ์บทกลอนกันไม่ใช่หรือ?เมื่อกินจนอิ่มหนำก็ให้ข้าหลวงหญิงในวังมาเต้นระบำเพื่อเพิ่มความสนุกสนานเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ มอบหมายงานให้คนอื่นทำก็ได้ ยังต้องเตรียมการอะไรอีก?“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นส่ายหน้าเบาๆ “ความคิดของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่กระหม่อมสามารถคาดเดาได้”“เอาเถอะ! ขอบใจหัวหน้ามู่มากนะ”หยุนลี่ทำอะไรไม่ได้ จึงตรวจดูของรางวัลและส่งมู่ซุ่นออกจากจวนด้วยตัวเองหลังจากกลับไปแล้ว หยุนลี่รีบไปหาสวีสือฝู่ และถามเรื่องนี้กับสวีสือฝู่สวีสือฝู่ไม่อาจเข้าใจความคิดของจักรพรรดิเหวินได้ในทันที แต่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน จึงทำได้เพียงให้หยุนลี่เริ่มทำงานนี้ก่อน และเขาจะลองไปคิดเพื่อมาคุยกันคราวหลังดีไม่ดี เรื่องนี้อาจมีผลตัดสินว่าหยุนลี่สามารถเป็นองค์รัชทายาทได้หรือไม่!เขาให้หยุนลี่ทำเรื่องนี้
ในตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงจัดเลี้ยงรับรองเมี่ยวอินที่ตึกเต๋อเย่ว์ วันที่เขาแต่งงาน เมี่ยวอินก็ส่งของขวัญมาให้ด้วยเขาจึงควรจัดงานเลี้ยงรับรองเมี่ยวอินด้วยอาหารง่ายๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขายังกังขาเกี่ยวกับตัวตนของเมี่ยวอินอยู่เขาต้องการใช้โอกาสนี้สืบหาภูมิหลังของเมี่ยวอินตอนที่เขาแต่งงาน เมี่ยวอินฝากจางซูช่วยส่งของขวัญมาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านางต้องการประจบประแจงเขาที่เป็นองค์ชาย หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าเมี่ยวอินดูไม่ธรรมดาอย่างที่คิด“เมี่ยวอินคารวะท่านอ๋องเพคะ”ทันทีที่เมี่ยวอินเดินเข้าประตูมา นางก็คำนับหยุนเจิงเรื่องที่หยุนเจิงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องเป็นกรณีพิเศษนั้น จักรพรรดิเหวินได้ประกาศให้ใต้หล้ารู้แล้ว เมี่ยวอินจึงรู้ว่าหยุนเจิงถูกแต่งตั้งเป็นจิ้งเป่ยอ๋องเป็นธรรมดา“คุณหนูเมี่ยวอินไม่ต้องมากพิธี”หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ พูดโดยไม่ถือตัวแม้แต่น้อย “ข้าเคยชินกับการถูกเรียกว่าองค์ชายหกมากกว่า หากเดินไปตามถนน แล้วจู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาเรียกว่าท่านอ๋อง ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังเรียกข้าอยู่”“เช่นนั้นต้องขอบคุณองค์ชายแล้ว”